Day 3 (27-12-59)--> กิ่วแม่ปาน-->อ่างกา-->จุดสูงสุดดอยอินทนนท์
-ติดตามอ่านตอนที่ 1 Day 1 ได้จากที่นี่
https://ppantip.com/topic/35966979
-ติดตามอ่านตอนที่ 2 Day 2 ได้จากที่นี่
https://ppantip.com/topic/35971711
-ติดตามอ่านตอนที่ 3 Day 3 ได้จากที่นี่
https://ppantip.com/topic/35973073
-ติดตามอ่านตอนที่ 4 Day 4 ได้จากที่นี่
https://ppantip.com/topic/35973518
ช่วงเช้าๆ รถที่มาต่อแถวรอขึ้นดอยอินทนนท์ เราไปรอตั้งแต่ก่อนตี 5 ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะเปิดให้ขึ้นประมาณ 05.30น. แต่ดูจากสภาพรถจอดรอเข้าคิวเจ้าหน้าที่เลยปล่อยรถขึ้นช่วงประมาณ 05.10 น.
สำหรับจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นก็จะอยู่บริเวณลานจอดรถของ "เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน" ซึ่งนักท่องเที่ยวก็จะไปรอชม และ ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกันเป็นจำนวนมาก การที่จะได้มุมสวยๆ ต้องอาศัยโชคช่วยด้วยเพราะคนมาก ถึง มากที่สุดแย่งกันหามุมดีๆ ในการบันทึกภาพเพราะพระอาทิตย์ขึ้นมีช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ไม่นาน อีกอย่างที่ใครๆ ก็กำหนดไม่ได้คือ "สภาพอากาศ" ในแต่ละวันจะเปลี่ยนแปลงตลอดวันที่เราไปอุณหภูมิบนยอดดอยประมาณ 6 องศา แต่ท้องฟ้าค่อนข้างปิด คือมีเมฆมาก ทำให้มุมมองพระอาทิตย์ขึ้นออกมาไม่ค่อยได้อย่างใจที่คาดหวังไว้
หลังจากที่ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกันแล้วก็ถึงคิวต้องมาต่อแถวเตรียมเข้าเดินชมผืนป่าของกิ่วแม่ปานกันบ้าง
คิวยาวกันเลยทีเดียว สภาพอากาศวันนั้นเย็น ลูกชายแกล้มแดงเลยเพราะลมแรงพอสมควร
อาหารเช้าต้องเติมพลัง ไม่งั้ยไม่มีแรงเดินชมผืนป่าแน่นอน วันนั้นได้ข้าวต้มกระดูกหมูใส่เห็ดหอม รองท้องกันไปก่อน
อากาศเช้าๆ กับรถยนต์ที่มาจอดรอคิวเข้าชมผืนป่า กิ่วแม่ปาน
ป้ายแจ้งเวลาเปิด-ปิด "เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน" ถ้าต่อแถวมาถึงป้ายนี้นั่นก็แสดงว่าเรากำลังจะได้เข้าไปเดินในป่าแล้วอีกไม่เกิน 10 นาทีก็จะถึงคิวเราแล้ว
สภาพพื้นป่ายังเขียวขจีเป็นห้องแอร์ธรรมชาติที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ๆ
เดินมาสักพักก็เจอกับน้ำตก ซึ่งไกด์นำทางแจ้งว่า ตาน้ำที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำตกเล็กนิดเดียวเอง
ลูกชายตัวน้อยเดินนำหน้าไปก่อน ให้คุณพ่อได้ถ่ายภาพ
สัตว์ตัวน้อยเป็นตัวชี้บ่งถึงสภาพความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในบริเวณนี้
สภาพป่าช่วงที่เดินผ่านเขียวชอุ่มเลยที่เดียว
พอหลุดออกมาจากผืนป่า เราก็จะออกมาเจอกับทุ่งหญ้า ซึ่งไกด์นำทางแจ้งว่าถ้าสภาพอากาศเป็นใจ บริเวณนี้จะสวยงามมากๆ เพราะสภาพอากาศเป็นยอดดอยจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราไปวันนั้นสภาพอากาศท้องฟ้าค่อนข้างปิด ฟ้าไม่ค่อยสวย
เดินต่อแถวกันโดยมีไกด์ของแต่ละชุดเป็นผู้นำทาง ได้อีกบรรยากาศซิวๆ กันไป ขอบอกระยะทางในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ โดยประมาณ 3.2 กม. มีทั้งหมด 21 ฐาน มีทั้งขึ้นเขา และ ทางลงเขา มีจุดให้นักท่องเที่ยวได้พักเหนื่อยกันเแ็นระยะๆ สำหรับค่าไกด์นำทางคิดที่ราคา 200 บาท / กลุ่ม โดยกลุ่มละไม่เกิน 10 คน ถ้ามากกว่านี้ไกด์นำทางจะดูแลไม่ทั่วถึง สำหรับกลุ่มเรามีแค่ พ่อ แม่ ลูก เดินแบบสบายๆ ไม่รีบเร่ง พี่ไกด์นำทางใจเย็นมากๆ ต้องขอแอบชมพี่ไกด์เค้าด้วยและไกด์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพผืนป่าด้วย
พืชอีกหนึ่งอย่างที่เราได้เห็นซึ่งบ่งบอกถึงสภาพป่าได้เป็นอย่างดี
จุดชมวิววันนั้นท้องฟ้าไม่เปิด เลยมีสภาพแบบนี้
อีกสิ่งหนึ่งที่ไกด์นำทางแนะนำซึ่งถือได้ว่าเป็น "ไฮไลท์" อีกจุดหนึ่งบนกิ่วแม่ปานเลยก็ว่าได้ ซึ่งชาวบ้านนี้เรียกว่าหินนี้ว่า "แง่มน้อย" เป็นรูปหินลักษณะคล้ายรูปหัวใจ
ดอกกุหลาบพันปี ในระหว่างเดินบนสันเขา ซึ่งไกด์นำทางบอกกับเราว่า ถ้ามาในช่วงที่บานเต็มทีในบริเวณนี้จะมีสีแดงสดใส ทั่วทั้งสันเขาเลยที่เดียว กุหลาบพันปี พี่ไกด์นำทางแจ้งว่า มีอยู่ 2 สี ที่ขึ้นในลริเวณนี้ คือสีขาว และ สีแดง
มุมมองจากสันเขา กิ่วแม่ปานไปยัง องค์พระธาตุนภเมทนีดล และ พระธาตุนภพลภูมิสิริ สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ท้องฟ้าไม่เปิด แต่ก็ได้บรรยากาศ
ถ้าเป็นฤดูฝนพืชตะกูลมอส คงจะเขียวเต็มผืนป่าอย่างแน่นอน แต่ไกด์นำทางแจ้งว่าช่วงหน้าฝน ทางราชการจะปิดป่าเพื่อให้ป่าฟื้นตัวตามธรรมชาติเองและจะเปิดอีกครั้งช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน ของทุกปี
บรรยากาศนักท่องเที่ยวต่อแถวเตรียมเข้าชม "เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน" หลังจากที่เราใช้เวลาเดินชมประมาณ 2 ชม. กว่าๆ โดยเราเริ่มเข้าเดินประมาณช่วง 09.10 - 11.30 น. (มารอต่อแถวตั้งแต่ช่วง 6 โมงกว่าๆ ) เหนื่อยแต่สนุกมากๆ อากาศไม่ร้อนเย็นสบายๆ แนะนำว่าก่อนเข้าไปเดินในเส้นทางนี้ต้อง หาอาหารรองท้องให้เรียนร้อยก่อน เพราะด้านในเค้าให้เรานำเพียงแค่น้ำเปล่าเข้าไปเท่านั้น และที่สำคัญขยะต้องช่วยกันรักษาสภาพผืนป่า โดยไม่นำขยะไปเพิ่ม และเป็นไปได้ควรช่วยกันเก็บออกมาด้วยซ้ำ เพื่อที่นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ๆ จะได้เข้าไปชื่นชมธรรมชาติกันต่อไป
สภาพความวุ่นวายช่วงที่เรากลับออกมาจากการเดินป่า ต้องแวะเติมพลัง ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ไส้อั้ว จากร้านอาหารข้างหน้าทางเข้าสักหน่อย
รถสองแถวแดงรอรับส่งนักท่องเที่ยว
หลังจากเราออกมาจากกิ่วแม่ปาน เราก็มุ่งหน้าตรงมาที่ เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ต่อเลย ซึ่งระยะทางจาก กิ่วแม่ปานมาที่ อ่างกา ใช้เวลาเดินทางไม่นานไม่เกิน 20 นาที
สถูปบรรจุอัฐิของเจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้ครอบครองนครเชียงใหม่สมัยก่อน
เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา
สภาพผืนป่า ถ้าเป็นช่วงฤดูฝน น่าจะเต็มไปด้วยสีเขียวๆ
หลังจากเดินกันจนเมื่อยขาทั้ง 3 คนแล้วก็มุ่งหน้ากลับลงไปยังบ้านพักโครงการหลวงฯ พักผ่อนเพื่อเตรียมตัวในวันรุ่งขึ้น
-ติดตามอ่านตอนที่ 1 Day 1 ได้จากที่นี่
https://ppantip.com/topic/35966979
-ติดตามอ่านตอนที่ 2 Day 2 ได้จากที่นี่
https://ppantip.com/topic/35971711
-ติดตามอ่านตอนที่ 3 Day 3 ได้จากที่นี่
https://ppantip.com/topic/35973073
-ติดตามอ่านตอนที่ 4 Day 4 ได้จากที่นี่
https://ppantip.com/topic/35973518
[CR] ทริปเที่ยวเชียงใหม่ 4 คืน 5 วัน ตอนที่ 3
-ติดตามอ่านตอนที่ 1 Day 1 ได้จากที่นี่ https://ppantip.com/topic/35966979
-ติดตามอ่านตอนที่ 2 Day 2 ได้จากที่นี่ https://ppantip.com/topic/35971711
-ติดตามอ่านตอนที่ 3 Day 3 ได้จากที่นี่ https://ppantip.com/topic/35973073
-ติดตามอ่านตอนที่ 4 Day 4 ได้จากที่นี่ https://ppantip.com/topic/35973518
ช่วงเช้าๆ รถที่มาต่อแถวรอขึ้นดอยอินทนนท์ เราไปรอตั้งแต่ก่อนตี 5 ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะเปิดให้ขึ้นประมาณ 05.30น. แต่ดูจากสภาพรถจอดรอเข้าคิวเจ้าหน้าที่เลยปล่อยรถขึ้นช่วงประมาณ 05.10 น.
สำหรับจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นก็จะอยู่บริเวณลานจอดรถของ "เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน" ซึ่งนักท่องเที่ยวก็จะไปรอชม และ ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกันเป็นจำนวนมาก การที่จะได้มุมสวยๆ ต้องอาศัยโชคช่วยด้วยเพราะคนมาก ถึง มากที่สุดแย่งกันหามุมดีๆ ในการบันทึกภาพเพราะพระอาทิตย์ขึ้นมีช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ไม่นาน อีกอย่างที่ใครๆ ก็กำหนดไม่ได้คือ "สภาพอากาศ" ในแต่ละวันจะเปลี่ยนแปลงตลอดวันที่เราไปอุณหภูมิบนยอดดอยประมาณ 6 องศา แต่ท้องฟ้าค่อนข้างปิด คือมีเมฆมาก ทำให้มุมมองพระอาทิตย์ขึ้นออกมาไม่ค่อยได้อย่างใจที่คาดหวังไว้
หลังจากที่ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกันแล้วก็ถึงคิวต้องมาต่อแถวเตรียมเข้าเดินชมผืนป่าของกิ่วแม่ปานกันบ้าง
คิวยาวกันเลยทีเดียว สภาพอากาศวันนั้นเย็น ลูกชายแกล้มแดงเลยเพราะลมแรงพอสมควร
อาหารเช้าต้องเติมพลัง ไม่งั้ยไม่มีแรงเดินชมผืนป่าแน่นอน วันนั้นได้ข้าวต้มกระดูกหมูใส่เห็ดหอม รองท้องกันไปก่อน
อากาศเช้าๆ กับรถยนต์ที่มาจอดรอคิวเข้าชมผืนป่า กิ่วแม่ปาน
ป้ายแจ้งเวลาเปิด-ปิด "เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน" ถ้าต่อแถวมาถึงป้ายนี้นั่นก็แสดงว่าเรากำลังจะได้เข้าไปเดินในป่าแล้วอีกไม่เกิน 10 นาทีก็จะถึงคิวเราแล้ว
สภาพพื้นป่ายังเขียวขจีเป็นห้องแอร์ธรรมชาติที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ๆ
เดินมาสักพักก็เจอกับน้ำตก ซึ่งไกด์นำทางแจ้งว่า ตาน้ำที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำตกเล็กนิดเดียวเอง
ลูกชายตัวน้อยเดินนำหน้าไปก่อน ให้คุณพ่อได้ถ่ายภาพ
สัตว์ตัวน้อยเป็นตัวชี้บ่งถึงสภาพความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในบริเวณนี้
สภาพป่าช่วงที่เดินผ่านเขียวชอุ่มเลยที่เดียว
พอหลุดออกมาจากผืนป่า เราก็จะออกมาเจอกับทุ่งหญ้า ซึ่งไกด์นำทางแจ้งว่าถ้าสภาพอากาศเป็นใจ บริเวณนี้จะสวยงามมากๆ เพราะสภาพอากาศเป็นยอดดอยจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราไปวันนั้นสภาพอากาศท้องฟ้าค่อนข้างปิด ฟ้าไม่ค่อยสวย
เดินต่อแถวกันโดยมีไกด์ของแต่ละชุดเป็นผู้นำทาง ได้อีกบรรยากาศซิวๆ กันไป ขอบอกระยะทางในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ โดยประมาณ 3.2 กม. มีทั้งหมด 21 ฐาน มีทั้งขึ้นเขา และ ทางลงเขา มีจุดให้นักท่องเที่ยวได้พักเหนื่อยกันเแ็นระยะๆ สำหรับค่าไกด์นำทางคิดที่ราคา 200 บาท / กลุ่ม โดยกลุ่มละไม่เกิน 10 คน ถ้ามากกว่านี้ไกด์นำทางจะดูแลไม่ทั่วถึง สำหรับกลุ่มเรามีแค่ พ่อ แม่ ลูก เดินแบบสบายๆ ไม่รีบเร่ง พี่ไกด์นำทางใจเย็นมากๆ ต้องขอแอบชมพี่ไกด์เค้าด้วยและไกด์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพผืนป่าด้วย
พืชอีกหนึ่งอย่างที่เราได้เห็นซึ่งบ่งบอกถึงสภาพป่าได้เป็นอย่างดี
จุดชมวิววันนั้นท้องฟ้าไม่เปิด เลยมีสภาพแบบนี้
อีกสิ่งหนึ่งที่ไกด์นำทางแนะนำซึ่งถือได้ว่าเป็น "ไฮไลท์" อีกจุดหนึ่งบนกิ่วแม่ปานเลยก็ว่าได้ ซึ่งชาวบ้านนี้เรียกว่าหินนี้ว่า "แง่มน้อย" เป็นรูปหินลักษณะคล้ายรูปหัวใจ
ดอกกุหลาบพันปี ในระหว่างเดินบนสันเขา ซึ่งไกด์นำทางบอกกับเราว่า ถ้ามาในช่วงที่บานเต็มทีในบริเวณนี้จะมีสีแดงสดใส ทั่วทั้งสันเขาเลยที่เดียว กุหลาบพันปี พี่ไกด์นำทางแจ้งว่า มีอยู่ 2 สี ที่ขึ้นในลริเวณนี้ คือสีขาว และ สีแดง
มุมมองจากสันเขา กิ่วแม่ปานไปยัง องค์พระธาตุนภเมทนีดล และ พระธาตุนภพลภูมิสิริ สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ท้องฟ้าไม่เปิด แต่ก็ได้บรรยากาศ
ถ้าเป็นฤดูฝนพืชตะกูลมอส คงจะเขียวเต็มผืนป่าอย่างแน่นอน แต่ไกด์นำทางแจ้งว่าช่วงหน้าฝน ทางราชการจะปิดป่าเพื่อให้ป่าฟื้นตัวตามธรรมชาติเองและจะเปิดอีกครั้งช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน ของทุกปี
บรรยากาศนักท่องเที่ยวต่อแถวเตรียมเข้าชม "เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน" หลังจากที่เราใช้เวลาเดินชมประมาณ 2 ชม. กว่าๆ โดยเราเริ่มเข้าเดินประมาณช่วง 09.10 - 11.30 น. (มารอต่อแถวตั้งแต่ช่วง 6 โมงกว่าๆ ) เหนื่อยแต่สนุกมากๆ อากาศไม่ร้อนเย็นสบายๆ แนะนำว่าก่อนเข้าไปเดินในเส้นทางนี้ต้อง หาอาหารรองท้องให้เรียนร้อยก่อน เพราะด้านในเค้าให้เรานำเพียงแค่น้ำเปล่าเข้าไปเท่านั้น และที่สำคัญขยะต้องช่วยกันรักษาสภาพผืนป่า โดยไม่นำขยะไปเพิ่ม และเป็นไปได้ควรช่วยกันเก็บออกมาด้วยซ้ำ เพื่อที่นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ๆ จะได้เข้าไปชื่นชมธรรมชาติกันต่อไป
สภาพความวุ่นวายช่วงที่เรากลับออกมาจากการเดินป่า ต้องแวะเติมพลัง ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ไส้อั้ว จากร้านอาหารข้างหน้าทางเข้าสักหน่อย รถสองแถวแดงรอรับส่งนักท่องเที่ยว
หลังจากเราออกมาจากกิ่วแม่ปาน เราก็มุ่งหน้าตรงมาที่ เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ต่อเลย ซึ่งระยะทางจาก กิ่วแม่ปานมาที่ อ่างกา ใช้เวลาเดินทางไม่นานไม่เกิน 20 นาที
สถูปบรรจุอัฐิของเจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้ครอบครองนครเชียงใหม่สมัยก่อน
เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา
สภาพผืนป่า ถ้าเป็นช่วงฤดูฝน น่าจะเต็มไปด้วยสีเขียวๆ
หลังจากเดินกันจนเมื่อยขาทั้ง 3 คนแล้วก็มุ่งหน้ากลับลงไปยังบ้านพักโครงการหลวงฯ พักผ่อนเพื่อเตรียมตัวในวันรุ่งขึ้น
-ติดตามอ่านตอนที่ 1 Day 1 ได้จากที่นี่ https://ppantip.com/topic/35966979
-ติดตามอ่านตอนที่ 2 Day 2 ได้จากที่นี่ https://ppantip.com/topic/35971711
-ติดตามอ่านตอนที่ 3 Day 3 ได้จากที่นี่ https://ppantip.com/topic/35973073
-ติดตามอ่านตอนที่ 4 Day 4 ได้จากที่นี่ https://ppantip.com/topic/35973518