สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมในการรีวิวโน้ตบุ๊คเลยก็ว่าได้ ออกตัวก่อนเลยว่าผมทำเว็บไซต์เกี่ยวกับ Smartphone อยู่ครับ ก็เลยพอมี Connection อยู่บ้าง ทีนี้รีวิว ASUS Transformer 3 Pro ตัวนี้ มันเริ่มจาก Macbook ที่ผมใช้อยู่ประจำดันมีปัญหาเรื่องหน้าจอลอก ก็เลยว่าเอาไปเคลมดีกว่า แต่ระหว่างที่เคลม Macbook แล้วจะใช้คอมอะไรล่ะทีนี้?

ก็เลยลองสอบถามไปยังพี่ที่รู้จักกัน ว่าจะขอยืมโน้ตบุ๊คสักรุ่นมาใช้งานระหว่างรอ Macbook ซ่อมได้ไหม ซึ่งพี่แกก็ส่งเจ้า Transformer 3 Pro มาให้ยืมถึง 2 สัปดาห์เลยทีเดียว ก็เลยเป็นที่มาของรีวิว ASUS Transformer 3 Pro ในกระทู้นี้นี่แหละครับ โดยผมใช้งาน ASUS Transformer 3 Pro แทนเครื่องหลักไปเลย พกไปไหนมาไหนด้วยตลอด แต่คงไม่เขียนรีวิวในเชิงเทคนิคเท่าไหร่นะครับ จะเน้นที่ความรู้สึกในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเพื่อนคู่กายอย่าง Macbook Pro Retina 13 ว่ามันแตกต่างกันไหม แล้วใช้งานทดแทนกันได้หรือเปล่า

งานหลัก ๆ ของผมก็คือการเขียน Content ครับ เปิด Wordpress หาข้อมูล มีทำรูปด้วย Adobe Lightroom/ Adobe Photoshop บ้างเล็กน้อย แม้จะดูว่างานไม่หนักมาก คอมพิวเตอร์ราคาหมื่นสองหมื่นก็ใช้งานได้ แต่มันใช้งานได้ไม่ดีพอแน่นอน ส่วนตัวผมตอนใช้งานคือเปิด Email, เปิด Tab ใน Google Chrome หลายสิบแท็บ และยังเปิดใช้งานแทบจะทั้งวัน มีทำงานนอกสถานที่อยู่บ่อย ๆ อีกด้วย

ในแง่ของดีไซน์ ASUS Transformer 3 Pro เมื่อรวมกับ Keyboard Cover แล้ว ส่วนตัวผมก็ยังรู้สึกว่ามันเบากว่า Macbook Pro Retina 13 นิดหน่อยครับ การพกพาทำได้สะดวกกว่า คือมันจะไปในแนว ๆ ของ Surface Pro 4 พวกนี้มากกว่า แต่ ASUS Transformer 3 Pro ได้สเปคที่สูงกว่า ในราคาใกล้เคียงกัน

ขาตั้งของ ASUS Transformer 3 Pro ปรับได้หลายระดับครับ หากใช้เป็นเหมือนโน้ตบุ๊ค (ใส่ Keyboard Cover) หน้าจอจะพับได้มากกว่าโน้ตบุ๊คปกติทั่วไป โดยตัวบานพับสามารถปรับได้มากถึง 155 องศา และถ้าใช้เป็นแท็บเล็ต จะยืนเล่น, นั่งเล่น หรือนอนเล่นก็สามารถปรับขาตั้งให้เหมาะสม และครอบคลุมทุกอิริยาบทในการใช้งาน อีกทั้งตัวขาพับก็แข็งแรง ไม่ก็อกแก้กด้วยครับ

หน้าจอ ASUS Transformer 3 Pro มีขนาด 12.6 นิ้ว อัตราส่วนหน้าจอแบบ 3:2 ซึ่งผมประทับใจอัตราส่วนหน้าจอนี้ตอนที่เปิดทำรูปมาก ๆ มันสามารถเปิดรูปได้เต็มจอพอดี ความละเอียดหน้าจอระดับ 3K คมชัดมาก ๆ ในระดับเดียวกับ Macbook Pro Retina 13 มีโทนสีกว้างพิเศษ 121% ในมาตรฐาน sRGB และ 85% ในมาตรฐาน NTSC และยังมีมุมมองหน้าจอที่กว้างถึง 178 องศา ซึ่งมันสอดคล้องกับลักษณะการพับของขาตั้งได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าปรับขาตั้งได้หลายแบบ แต่จอดันแสดงผลได้มุมมองจำกัด แบบนั้นมันเปล่าประโยชน์ครับ

ASUS Transformer 3 Pro ยังมีเทคโนโลยีหน้าจออีกหลายตัวที่เป็นเอกสิทธิเฉพาะของทาง ASUS ไม่ว่าจะเป็นโหมด Eye-Care จะลดการปล่อยแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อสายตาลงได้ถึง 30%, ASUS Tru2Life Video ซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ช่วยในการเพิ่มความคมและคอนทราสต์ในทุกเฟรมวิดีโอ ทำให้วิดีโอดูชัดขึ้น มีรายละเอียดมากขึ้นและดูสมจริงมากขึ้น สุดท้ายก็คือ ASUS TruVivid เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยขจัดการดูดซับแสงของชั้นกระจกบางส่วนเพื่อทำให้คมชัดยิ่งขึ้นและลดการสะท้อนแสงได้ถึง 67%

กล้องที่เห็นอยู่บนหน้าจอ ASUS Transformer 3 Pro ไม่ใช่ว่ามีกล้องหน้า 2 ตัวนะครับ แต่เป็น Windows Hello ที่เอาไว้สำหรับปล็ดล็อกตัวเครื่องผ่านการสแกนม่านตา โดยกล้องอีกตัวจะเป็น IR Camera สามารถสแกนได้แม้ว่าแสงสว่างน้อย ส่วนกล้องหน้าจะมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล

กล้องหลัง ASUS Transformer 3 Pro มีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล สารภาพเลยว่าตั้งแต่ได้ยืมมาเนี่ย ผมไม่เคยแตะกล้องหลังมันแม้แต่ครั้งเดียว 555

ด้านประสิทธิภาพ ASUS Transformer 3 Pro แม้หน้าตาจะดูเหมือนแท็บเล็ต (จริง ๆ มันก็นับว่าเป็นแท็บเล็ตได้) แต่หน่วยประมวลผลในเครื่องนั้นคือ Intel Core i5 Gen 6 ตัวเดียวกับในโน้ตบุ๊คเลยนะครับ ส่วนแรมอยู่ที่ 8 GB แบบ LPDDR3 ที่เก็บข้อมูลแบบ PCIe SSD ความจุ 512 GB (รุ่นท็อปสุด 1 TB) การบูทเครื่องและการทำงานลื่น ๆ แบบไม่ติดขัด เท่าที่ได้ใช้งานมา 2 สัปดาห์ก็ต้องบอกว่ามันเร็วไม่แพ้เครื่องที่ผมใช้ประจำอยู่เลยล่ะ เปิด Tab Google Chrome รัว ๆ รวมถึงใช้ในการเอนเตอร์เทน อย่างการดูหนัง, ฟังเพลงก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี

แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะราบรื่นไปหมดทุกอย่างนะครับ ยังมีปัญหาเรื่องความร้อนที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากตัวเครื่องบาง และใช้ CPU เกรด Notebook (Core i5 6200U) เวลาใช้งานหนัก ๆ ความร้อนจะออกมามากอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังไม่เคยใช้งานแล้วร้อนจนดับไปนะครับ

พอร์ตเชื่อมต่อของ ASUS Transformer 3 Pro ก็ให้มาครบครันไม่แพ้ Notebook ปกติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น USB Type-A, หรือแม้แต่พอร์ต Thunderbolt 3 หัว USB-C ก็มีติดมาให้เช่นกัน (ชาร์จไฟผ่าน USB Type-C) ตามสเปคบอกว่าเชื่อมต่อได้เร็วกว่า USB 2.0 ถึง 40 เท่าเลยทีเดียว และยังมีพอร์ต HDMI แบบเต็มติดมาให้อีก สามารถต่อจอแยกได้เลยไม่ต้องง้อตัวแปลง


ส่วนปากกาของ ASUS Transformer 3 Pro สารภาพตามตรงว่าผมแทบไม่ได้เอามาใช้งานเลยครับ ส่วนตัวก็เป็นคนที่ศิลปะเกรด 2 อยู่แล้ว แต่เท่าที่ลองเอามาขีด ๆ เขียน ๆ จดบันทึกก็ถือว่าใช้ได้ สัมผัสผมว่าใกล้เคียงกับปากกาใน Surface เลยล่ะ

ความบางของ ASUS Transformer 3 Pro ก็ตามนี้ครับ เทียบกับปากกาที่ติดมาในเครื่องก็ได้


ลำโพงของ ASUS Transformer 3 Pro เป็นลำโพงสเตอริโอครับ พัฒนาขึ้นโดย Harman Kardon

การพิมพ์งานบน ASUS Transformer 3 Pro เจ้าตัว Keyboard Cover ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าลำบากเวลาพิมพ์งาน ฟิลลิ่ง สัมผัสในการพิมพ์ใช้งานได้เทียบเท่ากับ Notebook พิมพ์สัมผัสได้สบาย ๆ  ตัวคีย์บอร์ดมีไฟใต้ปุ่ม


ส่วนตัวผมใช้งาน Transformer 3 Pro มา 2 สัปดาห์ก็แฮปปี้กับหลาย ๆ อย่างครับ ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด คงเป็นเพราะ Windows 10 นั้นใช้งานได้ดีขึ้นเยอะแล้วก็เป็นได้ และตัว ASUS Transformer 3 Pro เองก็ตอบโจทย์การทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งหน้าจอที่คมชัด, พอร์ตเชื่อมต่อครบ ๆ แบตเตอรี่ก็อึดพอที่จะเอาไปทำงานนอกสถานที่ โดยที่ไม่ต้องหยิบอะแดปเตอร์ USB Type C ติดไปด้วยได้ทั้งวัน

แต่ไม่มีอะไร Perfect ไปทุกอย่างครับ สิ่งที่ผมรู้สึกว่า ASUS Transformer 3 Pro ขาดไปก็มีเช่นกัน อย่างแรกเลยก็คือช่องเสียบ SD Card ไซส์ปกติที่ใช้ในกล้อง DSLR ส่วนตัวผมเป็นคนถ่ายรูปด้วยกล้องใหญ่ประจำ พอมาใช้ ASUS Transformer 3 Pro นี่ลำบากเหมือนกันครับ ต้องคอยพก Card Reader ไปไหนมาไหนด้วย เพราะตัว ASUS Transformer 3 Pro มีเพียงช่องเสียบ Micro SD Card ส่วนปัญหาอีกอย่างที่พบก็คงเป็นเรื่องความร้อนเมื่อเครื่องทำงานหนัก ๆ แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของข้อจำกัดในการออกแบบ ซึ่งความร้อนจะขึ้นสูงก็ต่อเมื่อมีการเปิดโปรแกรมที่กินทรัพยากรเครื่องหนัก ๆ เช่นตอนผมเปิด Lightroom แล้วกำลัง Export รูป เป็นต้น