คนส่วนมากยังเห็นการรังแกในห้องเรียนเป็นเรื่องขำๆ

สวัสดีครับ ผมเองก็เป็นเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้งภายในห้องเรียนคนหนึ่ง ซึ่งผมเคยโดนรังแกอย่างหนัก ในสมัย ม.ต้น เรื่องนานแล้วครับ โดยปัจจุบันผมเรียนมหาวิทยาลัย ปี1

แต่
เรื่องการโดนรังแกในช่วงสมัย ม.ต้น มันหลอกหลอนผมตลอด ผมพยายามปรึกษากับแม่ ที่น่าจะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ได้รับคำตอบ "เค้าแค่หยอกขำๆ ลืมๆซะเถอะ" และหลักการที่ดูสวยงาม ซึ่งผมพยายามทุกทางแล้ว ก็ไม่สามารถทำได้
โดยคนที่รังแกผม ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น "ลูกของเพื่อนแม่" ซึ่งเป็นคนที่แม่ผมแนะนำและไว้ใจมาก ในตอนเเรกๆ นางจะดีกับผม

แต่
เมื่อเวลาผ่านไป นางเริ่มเอาเปรียบผม โดยการยืมงานผมไปลอก ตอนนั้นผมยังไม่เห็นถึงความร้ายกาจของนาง เลยให้นางยืมไป แต่วันที่ผมจะต้องส่งงานนั้น นางบอกว่าไม่ได้เอางานมา ผมก็เลยขออาจารย์ให้ส่งช้า แต่วันต่อๆมา นางก็อ้างเรื่อยๆ ว่าลืม จนในที่สุดนางก็บอกว่างานหาย ซึ่งทำให้ผมเสียคะแนนตรงนั้นไป
แล้วก็มาเริ่มร้ายแรง ตรงที่ช่วงคาบวิชาภาษาอังกฤษ วันนั้นแม่ผมซื้อไม้บรรทัดเหล็กให้ผม ผมเอาไปใช้ แล้วนั่งข้างนาง เมื่อผมลุกไปส่งงาน นางขโมยไม้บรรทัดของผม ผมบอกว่านี่คือของผม นางก็ทำเป็นหูทวนลม ผมฟ้องอาจารย์ อาจารย์ก็ช่วยจัดการให้ แต่พอมาช่วงทำเวร ไม้บรรทัดนั้นก็หายไป ต่อมาผมจับได้ว่านางขโมยไป ผมเลยเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแม่ แต่ก็ได้คำตอบทรงเดิมๆ "ให้เขาไปเถอะ คิดซะว่าเค้าเป็นเจ้ากรรมนายเวร" ซึ่งพอถึงตรงนี้ผมจุกมากจนพูดไม่ออก ทำไมแม่เราถึงให้อภัยคนง่ายขนาดนี้
แต่นางก็ยังไม่สำนึก พอขึ้น ม.2
นางเริ่มทำเป็นรังเกียจผม โดยเมื่อผมเข้าใกล้ นางก็ไล่ผมไปห่างๆ แล้วก็แรงขึ้นมาตรงที่นางไปคบกับกลุ่มอื่น ที่เป็นกลุ่มที่แรงๆหน่อย ช่วงเรียนคาบแรกๆที่ผมจะไปจองที่นั่หลังห้อง เพื่อที่จะได้นั่งใกล้อาจารย์ แต่พวกนางก็ยกพวกมาไล่ที่ผมให้ไปนั่งหลังห้อง ซึ่งมีแต่พวกอันธพาลนั่ง ผมไม่ยอม จึงทวงสิทธิกับอาจารย์ อาจารย์บางคนก็ดี คือให้ผมนั่งหน้าห้อง แล้วให้พวกนางไปนั่งช่วงกลางๆ-หลังห้อง แต่อาจารย์บางคนก็จับผมกับพวกนั้นนั่งรวมกัน แล้วนางก็หาเรื่องผมตลอดเวลา ผมเถียงนางกลับ เพื่อนในกลุ่มของนางก็เอาแต่พูด "ไม่พอใจก็ลาออกไป" ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมากตอนนั้น ผมขอแม่ แต่ก็กลายเป็นดราม่าทุกที ทำให้ผมต้องทนกับคนเลวๆพวกนั้นต่อไป
ต่อมาก็เป็นเรื่องที่เจ็บอย่างมาก คือเรื่องทำแฟลชไดท์หาย ซึ่งมีแต่งานสำคัญทั้งนั้น นางมาซ้ำเติมถึงที่ แถมยังยั่วโมโหผม ประมาณว่า "เราขโมยไปเองแหละ ลบข้อมูลในนั้นด้วย" แน่นอนว่าผมโดนแม่ด่า ว่ารักษาของไม่ดีอีกด้วย
และมาถึงจุดพีค ตอน ม.3 ที่ผมได้รับเลือกให้ผมเป็นคนพูดเรื่องมีสาระหน้าระดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไฝ่ฝันอยากทำมากด้วย แต่ต่อมาผมโดนเปลี่ยนตัว แล้วนางก็ไม่พลาดที่จะมาเหยียบย่ำความรู้สึกผม โดยนางพูดคำพูดที่ดูถูกผมอย่างมาก "ไม่ได้พูดแหละดีแล้ว น่ารำคาญ" ผมไปเล่าให้แม่ฟัง ก็ได้รับคำตอบ "ก็มาพูดแค่ในบ้านก็พอ" ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย กลับทำให้ความรู้สึกผมนั้นถูกสั่นคลอนเข้าไปอีก

ที่จริงยังมีมากกว่านี้อีกนะครับ แต่ผมเขียนย่อๆไว้เท่านี้ เพราะระหว่างที่ผมเขียน ผมรู้สึกทั้งเจ็บ และตัวสั่นและสะเทือนใจอย่างมาก ที่ทำไมผมถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ เมื่อผมได้ยินเกี่ยวกับมิตรภาพสมัยมัธยม มิตรภาพที่เชื่อมโดยผู้ใหญ่ทีไรผมแทบจะร้องไห้และตะโกนด่าคนเล่าหรือบรรยายเหตุการณ์นี้ทุกครั้ง เพราะเมื่อได้ยินเรื่องนั้น ความทรงจำแสนไม่ดีมันหลอกหลอนผมตลอดเวลา บ่อยครั้ง ที่ผมระบายให้ผู้ใหญ่ฟัง ไม่ว่าจะเป็นแม่ พ่อ ญาติฝั่งแม่ ลูกของลุง ก็มักจะได้คำตอบแนวเดียวๆกัน คือ "เค้าแค่หยอกเล่น" "จริงจังอะไรมาก" "สวดมนต์ไหว้พระซะมั่ง" ซึ่งผมคิดว่ามันเลยไปใกลกว่านั้นมากแล้ว ยิ่งสวดมนต์ ที่ต้องมาท่องอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้ช่วยให้ผมใจสงบเลย ยิ่งผมแทบสติแตกเกือบจะอาระวาดต่อหน้าหิ้งพระมาหลายรอบแล้ว ยังดีที่มีป้า ที่เข้าใจผมมากที่สุด ที่แนวคิดค่อนข้างไปทางเดียวกับผม ไม่ค่อยเป็นทางการเท่ากับแม่หรือคนอื่นๆเท่าไหร่

ผมอยากจะบอกไว้ ว่าการรังแก มันไม่ใช่สิ่งที่น่าขำเลย ผมออกตัวแรงทุกครั้งที่มีข่าวแนวรังแกในห้องเรียน ผมมักไปคอมเมนต์ด่าทอ พร้อมสาปแช่งคนที่เคยรังแกผมด้วยความโกรธ แล้วก็อย่าไปแนะนำให้สวดมนต์ทันที เพราะนั่น ไม่ช่วยอะไรเลย การสวดมนต์ยิ่งทำให้ร้อนหนักเข้าไป เพราะจะต้องสำรวมกาย-ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำยากกว่าอะไรทั้งหมด ณ ห้วงเวลานั้น ยิ่งร้อนกาย-ใจหนักขึ้น เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ก็คงไม่มีทางเข้าใจ ผมอยากให้หลายๆคนเลิกมองว่าการโดนรังแกคือเรื่องขำได้แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องของความซับซ้อนของกาย-ใจ มันสร้างแผลใจไม่ต่างจากการโดนข่มขืนที่พวกคุณว่าทำให้เป็นแผลใจเลย คือทั้งเสียดายเวลา ความรู้สึกดีๆที่ควรจะมีในช่วงนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เปลี่ยนโลกไม่ไหวก็เปลี่ยนที่ใจตัวเองค่ะ
เข้าใจนะคะว่ามันหนักหนามากสำหรับเด็กคนหนึ่งและชีวิตวัยเรียนที่ควรจะสดใส เราก็ไม่ได้ทำการต่อต้านแล้วเป็นตัวตลกของห้องมาก่อน
กลับมาบ้านก็ไม่ได้รับความเข้าใจ หรือกำลังใจ กลับถูกรำคาญด้วยซ้ำ แล้วยังซ้ำเติมเราเพิ่มไปอีก เป็นวัยเด็กที่โครตเฟล

พูดไปเถอะค่ะ พูดความจริงให้มันดังๆ เถียงด้วยเหตุผล นิ่ง อย่าใช้อารมณ์ อย่าใช้กำลัง พูดให้น้อย ให้ใช้สติและปัญญาโต้ตอบ พูดความจิงให้เพื่อนฟัง ทุกวันๆมันก็ซึมเข้าไปได้ สู้ๆนะ
อยู่ตรงนี้มันพูดง่าย ก็ใช่ แต่แนะนำได้แค่ ให้สู้ ให้ลองดู เพราะเราเคยสู้แล้วโดนครูฟาด เอ้ยไม่ใช่ เคยสู้แล้วเพื่อนจำนวนหนึ่งก็เบาลง บางคนก็ยอมใจ
คิดมากก็คิดได้ค่ะ แต่คิดแล้วอย่าจม ล้มแล้วให้ลุก เป็นกำลังใจให้นะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่