สวัสดีครับ ก่อนอื่นคือ
กระทู้นี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์นะครับ และออกตัวก่อนว่าเราไม่ใช่นักวิจารณ์ เราเป็นแค่ผู้ชมทั่วไปเท่านั้นเอง เพราะงั้นแล้ววิธีการที่เราถนัดที่สุดคือการเล่าแบบบอกต่อ เหมือนเราคุยกับเพื่อน มีการใส่เรื่องราวทั้งของตัวเองและภาพยนตร์ลงไป อาจจะมีทั้งตรงจริตและแตกต่างจากจริตคนทั่วไป โปรดใช่วิจารณญาณในการรับชม
ลาลาแลนด์ ดารานคร เป็นภาพยนตร์ประเภทมิวสิคัลนะครับ คืออารมณ์ประมาณร้องเพลงแทนการพูดบทนั้นแหละ ยอมรับก่อนว่าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบมิวสิคัลเลย แต่เราว่าเรื่องนี้เป็นมิวสิคัลที่ขนาดกำลังดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป
หนังเล่าถึง "มีอา" หญิงสาวที่มีความหวังว่าสักวันว่าจะเป็นดาว แรงบันดาลใจจากน้าสาวที่เป็นนักแสดงในคณะเร่ร่อนที่ประเทศปารีส แน่นอนว่าแรกๆเธอไม่ประสบความสำเร็จหรอก เจออุปสรรคในการแคสงาน ไม่ว่าจะเป็นจากทั้งตัวเองและบุคคลรอบข้าง รวมทั้งการที่มีอาต้องเผชิญความหว้าเหว้จากความล้มเหลว รวมไปถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งไล่ตาม "ความฝัน"
เธอเหนื่อย เหนื่อยกับการพยายาม "สร้าง" โอกาส
ต้องไปแคสงานบ่อยๆ ต้องแต่งตัวสวยๆ ต้องเข้าสังคม ตรงนี้จะเห็นได้ว่าสาวๆทั้งสี่คน(ตัวประกอบสาม นางเอกหนึ่ง) ไปปาร์ตี้และเข้างานเลี้ยงบ่อยมาก ทั้งยังมีการบ่นๆถึงการใช้ "เต้าไต้" (ซึ่งปัจจุบันก็...ยังมีอยู่นะ ) มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งที่คนอยากเป็นดาวต้องได้เจอจริงๆนะครับ (อาจจะไม่ใช่ทุกคน แต่เชื่อเถอะ ใครๆก็เริ่มจากการวิ่งแคสงานกันทั้งนั้นแหละในอดีต)
ทุกอย่างดูจะดำเนินไปตามเรื่องตามราวจนมีอาได้ไปเจอกับ 'เซบาสเตียน'
แน่นอน เป็นเฟิร์สที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่หรอก หล่อนเจอเขาในร้านอาหารแห่งหนึ่งตอนพ่อพระเอกของเรากำลังถูก "ไล่ออก" ขณะที่มีอากำลังจะเอยชน พ่อพระเอกของเราก็กระทำกิริยาด้วยการกระแทกไหล่แล้วเดินจากไป ทิ้งให้นางเอกยืนงงกับชีวิตว่ากูผิดอะไรวะ?
....ทำไมถึงถูกไล่ออกล่ะ ? ฝีมือห่วยเหรอ ?
เปล่าเลย นอกจากจะไม่ห่วยแล้ว ฝีมือการเล่นเปียโนของพระเอกเข้าขั้นมืออาชีพ(ก็มันทำเป็นอาชีพ?)ด้วยซ้ำ
หนังเล่าไปถึง "ความล้มเหลว" ของเขาหลังจากโดนเพื่อนตัวเองโกงเงินไปต่างหาก เซบาสเตียนเป็นนักเปียโนที่ชื่นชอบ..ไม่สิ ใช้คำนิยามว่า "คลั่งไคล้" จนแทบจะถวายชีวิตทั้งชีวิตให้กับมัน เขาดื้อ เขามึน และเขาอึน พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ดนตรีแจ๊ส "ขนานแท้" ยังมีตัวตนต่อไป ซึ่งความดื้อนี้แหละที่ทำให้หลายครั้งต่อหลายครั้งเกิดปัญหาตามขึ้นมาจากความเอาแต่ใจของเขาเอง ทุกอย่างดำเนินไปต่อจนกระทั้งทั้งคู่ได้ไปเจอกันที่งานเลี้ยงอีกครั้ง มีอาขอให้พระเอกช่วยเธอปีกตัวจากมากกับบุรุษผู้ไม่มีซิบรูดปากท่านหนึ่ง ก่อนทั้งคู่จะเดินเล่นหารถของนางเอกกัน
ซีนนี้เป็นซีนที่เราประทับใจหลายๆอย่าง ประทับใจในความซึ่นของคนทั้งคู่ ปากบอกไม่มีหวังหรอก ไม่ประทับใจหรอกนะ นาย/เธอ มันก็แค่ยัยห่วย !!! ฉัน/ผม ไม่ชอบคุณหรอก มันประทั้งใจในท่วงทำนองและเสียงเพลง เป็นภาพยนตร์มิวสิคัลที่เราโอเคมากที่สุดแล้วจริงๆ ฮ่าๆ
หนังพาเราไปต่อถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ มีอาตัดสินใจทิ้งแฟนหนุ่มที่คบกันมาก่อนจะไปออกเดทกับเซบาสเตียน ตรงฉากที่นางเอกบอกว่าเกลียดเพลงแจ๊สนี้เองที่เราได้เห็นมุมมองของพ่อหนุ่มนักเปียโนว่าทำไมเขาถึงได้ชอบเพลงแจ๊สนักหนา ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะค่อยๆ “ปรับจูน” เข้าหากันและกัน
แต่กระนั้นเอง “ความสำเร็จ” ของทั้งคู่ก็ยังดูเหมือนจะยัง “ห่างไกล” ทั้งความฝันบาร์แจ๊สขนาดแท้ของเซบาสเตียส และความฝันที่จะไปเป็นดาวของมีอา
....ฤดูกาลเปลี่ยนไป อะไรๆก็เปลี่ยนตาม
หนังเล่ามาถึงจุดที่คนทั้งสองย้ายมาอยู่ด้วยกัน ก่อนจะเล่ามาถึง “จุดตัด” (ในความคิดของเราอ่ะนะ) คือฉากที่มีอาคุยโทรศัพท์กับแม่ หนังพยายามให้สังเกตถึงสีหน้าของเซบาสเตียนเมื่อแม่ของมีอาถามถึง ”ความมั่นคง” ในชีวิตของเซบาสเตียน แน่ล่ะว่ามันยังไม่มีหรอก เพราะเขาก็เป็นแค่ฟรีแลนซ์ตัวเล็กๆที่ยังไม่มีผลงานอะไรเลยด้วยซ้ำไป อีกจุดที่ชอบคือฉากที่กล้องแพลนไปที่ฝาด้านบน เหมือนกับเป็นการตอกย้ำความไม่มั่งคงของพระเอก
แค่ตัวเองยังไม่เท่าไหร่หรอก... ถ้ามีแค่ตัวเราที่ต้อง “รับผิดชอบและคิดถึง” ....แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมีใครให้คิดถึงและรับผิดชอบมากกว่า “แค่ตัวเอง” บ่วงรัดบ่วงนั้น จะพันธนาการและจองจำคุณให้ยึดติดกับความคิดสารพัดนึก เพราะการกระทำของเรา ไม่ใช่แค่ตัวเรา การกระทำของตัวเรา ที่มีไว้เพื่อ “พยุง” ใครอีกคน ความเป็นเสาหลักไม่ได้แลกมาด้วยความง่ายดาย ผมเข้าใจเช่นนั้นนะครับ
จุดนี้เองที่เซบาสเตียน “ปล่อย” บางสิ่งสำหรับตัวเอง เขายอมเล่นเพลงแจ๊สที่ไม่ใช่แค่แจ๊ส ยอมเล่นวงสากลวงหนึ่งรวมทั้งเซ็นสัญญากับค่ายเพลงเพื่อแสวงหา “ความมั่นคง” ในขณะเดียวกัน มีอาเองก็พยายามสร้างเส้นทางความฝันของตัวเองด้วยการเล่นละครหญิงเดี่ยว ที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขียนบทเอง ร้องเอง เล่นเอง
หนังเล่าถึงความสำเร็จของเซบาสเตียนและความล้มเหลวของมีอา ค่ำวันนั้นเองที่เขาไปไปหามีอาเพื่อเตรียมการเซอร์ไพร์ ทุกอย่างดูจะเป็นไปได้สวย เว้นวรรคเพียงแต่ “ความฝัน” ที่ทำหายไประหว่างทาง มีอาถามเซบาสเตียน่านี้ใช่จริงๆเหรอ นี้มันคือความฝันของคุณแน่เหรอ? มันคือความสุขของคุณใช่ไหม?
คำตอบคือไม่ใช่...แต่ในชีวิตจริงๆ บางสถานการณ์เราก็ ไม่มี ‘ตัวเลือก’ ให้มากพอที่จะเดินทางไปหาความฝัน เซบาสเตียนถึงขั้นพูดว่า “เธอไม่ชอบที่ฉันประสบความสำเร็จเหรอ? ....หรือจริงๆที่เธอคบกับฉันที่เป็นไอ้ห่วย แค่เพราะเธออยากให้ตัวเองสบายใจ ว่าเป็นได้แค่นี่ก็ดีมากพอแล้วรึเปล่า?”
ทุกอย่างเลวร้ายลงเรื่อยๆจนกระทั้งมีอาทำการแสดงเสร็จโดยที่เซบาสเตียนมาชมไม่ทัน เธอเลือกที่จะขอหยุดทุกอย่าง และขอกลับไปพักที่บ้านเกิดกับพ่อและแม่ของเธอ
เช้าวันต่อมา เซบาสเตียนได้รับโทรศัพท์ที่พยายามติดต่อหามีอาเพื่อไปแคสงาน ขับรถไปหาเธอก่อนพยายามเกลี่ยกล่อมให้มีอาไปแคสบท ก่อนทั้งคู่จะไปแคสบท ฉากตัดไปที่ห้องแคส มีอาเล่าถึงความฝัน ความต้องการ และความทะเยอทะยานของคนโง่เขลาที่อยากเฉิดฉายบนโลกมายา เรื่องทั้งหมดในห้องแคสจบลง ก่อนทั้งคู่จะพากันไปนั่งเล่นในสถานทีที่เดิมที่เคยเต้นรำกัน (ตามหนังอ่ะนะ)
“เรื่องของเราจะเอายังไงต่อ?”
“คงดูๆกันต่อไป”
“ฉันจะยังรักคุณเสมอ”
“ผมเองก็จะยังรักคุณต่อไป”
....
ห้าปีต่อมา
เสมือนย้อนไปฉากแรกสุด แต่เปลี่ยนนักแสดง มีอากลายเป็นนักแสดงหญิงชื่อดังคนหนึ่ง ตรงนี้เองที่เนื้อเรื่องเปิดเผยต่อว่า มีอาได้แต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่น มีบ้านหลังขนาดกำลังพอดี มีพี่เลี้ยงเล็ก มีลูกสาวที่น่ารักหนึ่งคน....
....กับคนอื่นที่ไม่ใช่เซบาสเตียน
ยอมรับว่าเป็นซีนที่ผมร้อง “เพ้ย” ออกมาจากปากจริงๆ และกำหมัดแน่นมากๆ อารมณ์ที่ดูมันสุดมากๆเหมือนผมนั่งรถไฟเหาะตีลังกากลับหัว แล้วมันสุด สุดมากๆ ผมรู้สึกแบบ เห้ยยย นี้แหละ
มันเจ็บปวด แต่แมร่งงง โคตรงดงามวะ มันงดงามในความเจ็บปวด เจ็บปวดที่คนสองคนไม่สมหวังกัน เจ็บปวดที่ความสัมพันธ์ไปต่อไม่สุดทาง แต่งดงามในโลกของความเป็นจริง โลกที่ไม่ได้มีแค่คำว่าสมหวัง โลกที่ไม่มีตัวอักษรว่า “The End” หรือ “จบบริบูรณ์” โลกที่ต่อให้คุณเศร้าเสียใจเจียนตายหรือหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด ก็ไม่อาจย้อนกลับความสัมพันธ์บางอย่างที่สูญเสียไป
....ความไม่สมบูรณ์แบบและความไม่สมหวัง แมร่งโคตรเป็นเสน่ห์ของโลกกลมๆใบนี้สำหรับผมเลยนะคุณ
ไม่ใช่แค่ว่ารักแล้วจะมากพอให้เราสองคนเดินทางกันไปจนสุดถนน
มันสะใจ มันซึ้ง มันร้องไห้ตาม ผมนั่งกุมมือตัวเองแบบนั้นแหละ อีกอย่างที่ผมชอบคือเขาไม่บอกเราด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้าปีนั้นวะ ทำไมคนสองคนถึงเลิกกันซึ่งเอาเข้าจริงๆ เลิกกันมันไม่มีเหตุผลอ่ะคุณ บางคนรักแต่ก็เลิก มันมีเรื่องราวอีกนานาประการให้คิดต่อได้ไม่รู้จักจบ
ตอนแรกคิดว่าหนังจะจบแล้ว แต่ไม่ ไม่เลย....ผกก.แมร่งขยี้หนักมาก
ค่ำวันหนึ่งมีอาละสามีได้ไปทางข้าวกันที่ริมถนนแห่งหนึ่ง เขาชวนมีอาเข้าไปในร้านที่มีชื่อว่า
“เซปท์”
คุณ...เคยมีรึเปล่าครับ?
....เคยมี ‘สายตา’ ที่ต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติ คุณก็ไม่มีวันลืมดวงตาคู่นั้น
สายตาที่ครั้งหนึ่ง เราเคยจับจ้อง....’กันและกัน’
เซบาสเตียนเปิดร้านดนตรีแจ๊สร่วมสมัยได้จริงๆ และจังหวะนั้นเองที่เขาค่อยๆเล่นดนตรีแรกที่เจอกันกับนางเอกในร้าน
หนังพาเราย้อนกลับไปถึงฉากแรกที่พระนางพบกัน หนังเล่าถึงความสำเร็จของคนทั้งสองคน ไล่เรียงมากตั้งแต่ฉากแรกเริ่มยันฉากจบ แม้กระทั้งฉากที่มีอานั่งเล่นกับลูกของเซบาสเตียนโดยมีพ่อแม่ลูกกันสามคน ด้วยฟุตเทจภาพแบบจงใจทำให้เก่าๆ เลือนราง และขาดหายไปบางส่วน แมร่งโคตรสะเทือนอารมณ์ ขยี้จนน้ำตาไหลอีกรอบ
...มันจะดีขนาดไหนกันนะ ถ้าคนที่ตื่นนอนมาข้างๆคุณในทุกๆวันเป็นผม?
เพราะไม่มีใครสามารถอาศัยอยู่ในโลกของความฝันได้ สวยงามสมจริงเพียงใด ...สุดท้ายเราก็ต้องตื่นขึ้นมา
หนังย้อนกลับมาถึงฉากในร้าน มีอาตัดสินใจให้สามีพากลับบ้าน ทั้งคู่ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกมา มีอาหยุดอยู่ตรงประตูทางออกก่อนจะมองกลับเขามา
...ไม่มีคำพูด ไม่มีคำอวยพร ไม่มีคำจากลา
เพียงสายตาที่เรามองกัน ....
รอยยิ้มที่เธอยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ผมยิ้มให้คุณ
...เพียงเท่านั้นก็สื่อสารทุกอย่างแทนคำพูดนับล้านได้จริงๆ
หนังจบลงตรงนี้ ก่อนมีอาจะหันหลังจากมา เซบาสเตียนเองก็เล่นดนตรีของตนต่อไป
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเราเคยคบกัน
กาลครั่งหนึ่งนั้นเราเคยมีคืนวันความสัมพันธ์ที่สดใส
กาลครั้งหนึ่งนั้นไม่มีคำว่าเราอีกต่อไป
กาลครึ่งในใจฉันเคยมีเธอ
โลกของความฝัน....สวยงามและสมจริงเพียงใดสุดท้ายคุณก็ต้องตื่นขึ้นมา
เช่นเดียวกันกับโลกของความเป็นจริง ไม่ว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนจะแฮปปี้แอนด์ดิ้งหรือเศร้าเสียใจ
ทั้งหมดนั้นล้วนคือสิ่งที่ “
เคยเกิดขึ้นจริง” ในชีวิตของคนๆหนึ่ง
ขอบคุณที่สร้างสรรค์หนังดีๆเพื่อโลกใบนี้อีกหนึ่งเรื่องครับ
[มีการเปิดเผยเนื้อหา] LA LA LAND ดารานคร .... ความรัก ความฝัน ความสัมพันธ์ และ "ความเป็นจริง"
ลาลาแลนด์ ดารานคร เป็นภาพยนตร์ประเภทมิวสิคัลนะครับ คืออารมณ์ประมาณร้องเพลงแทนการพูดบทนั้นแหละ ยอมรับก่อนว่าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบมิวสิคัลเลย แต่เราว่าเรื่องนี้เป็นมิวสิคัลที่ขนาดกำลังดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป
หนังเล่าถึง "มีอา" หญิงสาวที่มีความหวังว่าสักวันว่าจะเป็นดาว แรงบันดาลใจจากน้าสาวที่เป็นนักแสดงในคณะเร่ร่อนที่ประเทศปารีส แน่นอนว่าแรกๆเธอไม่ประสบความสำเร็จหรอก เจออุปสรรคในการแคสงาน ไม่ว่าจะเป็นจากทั้งตัวเองและบุคคลรอบข้าง รวมทั้งการที่มีอาต้องเผชิญความหว้าเหว้จากความล้มเหลว รวมไปถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งไล่ตาม "ความฝัน"
เธอเหนื่อย เหนื่อยกับการพยายาม "สร้าง" โอกาส
ต้องไปแคสงานบ่อยๆ ต้องแต่งตัวสวยๆ ต้องเข้าสังคม ตรงนี้จะเห็นได้ว่าสาวๆทั้งสี่คน(ตัวประกอบสาม นางเอกหนึ่ง) ไปปาร์ตี้และเข้างานเลี้ยงบ่อยมาก ทั้งยังมีการบ่นๆถึงการใช้ "เต้าไต้" (ซึ่งปัจจุบันก็...ยังมีอยู่นะ ) มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งที่คนอยากเป็นดาวต้องได้เจอจริงๆนะครับ (อาจจะไม่ใช่ทุกคน แต่เชื่อเถอะ ใครๆก็เริ่มจากการวิ่งแคสงานกันทั้งนั้นแหละในอดีต)
ทุกอย่างดูจะดำเนินไปตามเรื่องตามราวจนมีอาได้ไปเจอกับ 'เซบาสเตียน'
แน่นอน เป็นเฟิร์สที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่หรอก หล่อนเจอเขาในร้านอาหารแห่งหนึ่งตอนพ่อพระเอกของเรากำลังถูก "ไล่ออก" ขณะที่มีอากำลังจะเอยชน พ่อพระเอกของเราก็กระทำกิริยาด้วยการกระแทกไหล่แล้วเดินจากไป ทิ้งให้นางเอกยืนงงกับชีวิตว่ากูผิดอะไรวะ?
....ทำไมถึงถูกไล่ออกล่ะ ? ฝีมือห่วยเหรอ ?
เปล่าเลย นอกจากจะไม่ห่วยแล้ว ฝีมือการเล่นเปียโนของพระเอกเข้าขั้นมืออาชีพ(ก็มันทำเป็นอาชีพ?)ด้วยซ้ำ
หนังเล่าไปถึง "ความล้มเหลว" ของเขาหลังจากโดนเพื่อนตัวเองโกงเงินไปต่างหาก เซบาสเตียนเป็นนักเปียโนที่ชื่นชอบ..ไม่สิ ใช้คำนิยามว่า "คลั่งไคล้" จนแทบจะถวายชีวิตทั้งชีวิตให้กับมัน เขาดื้อ เขามึน และเขาอึน พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ดนตรีแจ๊ส "ขนานแท้" ยังมีตัวตนต่อไป ซึ่งความดื้อนี้แหละที่ทำให้หลายครั้งต่อหลายครั้งเกิดปัญหาตามขึ้นมาจากความเอาแต่ใจของเขาเอง ทุกอย่างดำเนินไปต่อจนกระทั้งทั้งคู่ได้ไปเจอกันที่งานเลี้ยงอีกครั้ง มีอาขอให้พระเอกช่วยเธอปีกตัวจากมากกับบุรุษผู้ไม่มีซิบรูดปากท่านหนึ่ง ก่อนทั้งคู่จะเดินเล่นหารถของนางเอกกัน
ซีนนี้เป็นซีนที่เราประทับใจหลายๆอย่าง ประทับใจในความซึ่นของคนทั้งคู่ ปากบอกไม่มีหวังหรอก ไม่ประทับใจหรอกนะ นาย/เธอ มันก็แค่ยัยห่วย !!! ฉัน/ผม ไม่ชอบคุณหรอก มันประทั้งใจในท่วงทำนองและเสียงเพลง เป็นภาพยนตร์มิวสิคัลที่เราโอเคมากที่สุดแล้วจริงๆ ฮ่าๆ
หนังพาเราไปต่อถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ มีอาตัดสินใจทิ้งแฟนหนุ่มที่คบกันมาก่อนจะไปออกเดทกับเซบาสเตียน ตรงฉากที่นางเอกบอกว่าเกลียดเพลงแจ๊สนี้เองที่เราได้เห็นมุมมองของพ่อหนุ่มนักเปียโนว่าทำไมเขาถึงได้ชอบเพลงแจ๊สนักหนา ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะค่อยๆ “ปรับจูน” เข้าหากันและกัน
แต่กระนั้นเอง “ความสำเร็จ” ของทั้งคู่ก็ยังดูเหมือนจะยัง “ห่างไกล” ทั้งความฝันบาร์แจ๊สขนาดแท้ของเซบาสเตียส และความฝันที่จะไปเป็นดาวของมีอา
....ฤดูกาลเปลี่ยนไป อะไรๆก็เปลี่ยนตาม
หนังเล่ามาถึงจุดที่คนทั้งสองย้ายมาอยู่ด้วยกัน ก่อนจะเล่ามาถึง “จุดตัด” (ในความคิดของเราอ่ะนะ) คือฉากที่มีอาคุยโทรศัพท์กับแม่ หนังพยายามให้สังเกตถึงสีหน้าของเซบาสเตียนเมื่อแม่ของมีอาถามถึง ”ความมั่นคง” ในชีวิตของเซบาสเตียน แน่ล่ะว่ามันยังไม่มีหรอก เพราะเขาก็เป็นแค่ฟรีแลนซ์ตัวเล็กๆที่ยังไม่มีผลงานอะไรเลยด้วยซ้ำไป อีกจุดที่ชอบคือฉากที่กล้องแพลนไปที่ฝาด้านบน เหมือนกับเป็นการตอกย้ำความไม่มั่งคงของพระเอก
แค่ตัวเองยังไม่เท่าไหร่หรอก... ถ้ามีแค่ตัวเราที่ต้อง “รับผิดชอบและคิดถึง” ....แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมีใครให้คิดถึงและรับผิดชอบมากกว่า “แค่ตัวเอง” บ่วงรัดบ่วงนั้น จะพันธนาการและจองจำคุณให้ยึดติดกับความคิดสารพัดนึก เพราะการกระทำของเรา ไม่ใช่แค่ตัวเรา การกระทำของตัวเรา ที่มีไว้เพื่อ “พยุง” ใครอีกคน ความเป็นเสาหลักไม่ได้แลกมาด้วยความง่ายดาย ผมเข้าใจเช่นนั้นนะครับ
จุดนี้เองที่เซบาสเตียน “ปล่อย” บางสิ่งสำหรับตัวเอง เขายอมเล่นเพลงแจ๊สที่ไม่ใช่แค่แจ๊ส ยอมเล่นวงสากลวงหนึ่งรวมทั้งเซ็นสัญญากับค่ายเพลงเพื่อแสวงหา “ความมั่นคง” ในขณะเดียวกัน มีอาเองก็พยายามสร้างเส้นทางความฝันของตัวเองด้วยการเล่นละครหญิงเดี่ยว ที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขียนบทเอง ร้องเอง เล่นเอง
หนังเล่าถึงความสำเร็จของเซบาสเตียนและความล้มเหลวของมีอา ค่ำวันนั้นเองที่เขาไปไปหามีอาเพื่อเตรียมการเซอร์ไพร์ ทุกอย่างดูจะเป็นไปได้สวย เว้นวรรคเพียงแต่ “ความฝัน” ที่ทำหายไประหว่างทาง มีอาถามเซบาสเตียน่านี้ใช่จริงๆเหรอ นี้มันคือความฝันของคุณแน่เหรอ? มันคือความสุขของคุณใช่ไหม?
คำตอบคือไม่ใช่...แต่ในชีวิตจริงๆ บางสถานการณ์เราก็ ไม่มี ‘ตัวเลือก’ ให้มากพอที่จะเดินทางไปหาความฝัน เซบาสเตียนถึงขั้นพูดว่า “เธอไม่ชอบที่ฉันประสบความสำเร็จเหรอ? ....หรือจริงๆที่เธอคบกับฉันที่เป็นไอ้ห่วย แค่เพราะเธออยากให้ตัวเองสบายใจ ว่าเป็นได้แค่นี่ก็ดีมากพอแล้วรึเปล่า?”
ทุกอย่างเลวร้ายลงเรื่อยๆจนกระทั้งมีอาทำการแสดงเสร็จโดยที่เซบาสเตียนมาชมไม่ทัน เธอเลือกที่จะขอหยุดทุกอย่าง และขอกลับไปพักที่บ้านเกิดกับพ่อและแม่ของเธอ
เช้าวันต่อมา เซบาสเตียนได้รับโทรศัพท์ที่พยายามติดต่อหามีอาเพื่อไปแคสงาน ขับรถไปหาเธอก่อนพยายามเกลี่ยกล่อมให้มีอาไปแคสบท ก่อนทั้งคู่จะไปแคสบท ฉากตัดไปที่ห้องแคส มีอาเล่าถึงความฝัน ความต้องการ และความทะเยอทะยานของคนโง่เขลาที่อยากเฉิดฉายบนโลกมายา เรื่องทั้งหมดในห้องแคสจบลง ก่อนทั้งคู่จะพากันไปนั่งเล่นในสถานทีที่เดิมที่เคยเต้นรำกัน (ตามหนังอ่ะนะ)
“เรื่องของเราจะเอายังไงต่อ?”
“คงดูๆกันต่อไป”
“ฉันจะยังรักคุณเสมอ”
“ผมเองก็จะยังรักคุณต่อไป”
....
ห้าปีต่อมา
เสมือนย้อนไปฉากแรกสุด แต่เปลี่ยนนักแสดง มีอากลายเป็นนักแสดงหญิงชื่อดังคนหนึ่ง ตรงนี้เองที่เนื้อเรื่องเปิดเผยต่อว่า มีอาได้แต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่น มีบ้านหลังขนาดกำลังพอดี มีพี่เลี้ยงเล็ก มีลูกสาวที่น่ารักหนึ่งคน....
....กับคนอื่นที่ไม่ใช่เซบาสเตียน
ยอมรับว่าเป็นซีนที่ผมร้อง “เพ้ย” ออกมาจากปากจริงๆ และกำหมัดแน่นมากๆ อารมณ์ที่ดูมันสุดมากๆเหมือนผมนั่งรถไฟเหาะตีลังกากลับหัว แล้วมันสุด สุดมากๆ ผมรู้สึกแบบ เห้ยยย นี้แหละ มันเจ็บปวด แต่แมร่งงง โคตรงดงามวะ มันงดงามในความเจ็บปวด เจ็บปวดที่คนสองคนไม่สมหวังกัน เจ็บปวดที่ความสัมพันธ์ไปต่อไม่สุดทาง แต่งดงามในโลกของความเป็นจริง โลกที่ไม่ได้มีแค่คำว่าสมหวัง โลกที่ไม่มีตัวอักษรว่า “The End” หรือ “จบบริบูรณ์” โลกที่ต่อให้คุณเศร้าเสียใจเจียนตายหรือหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด ก็ไม่อาจย้อนกลับความสัมพันธ์บางอย่างที่สูญเสียไป
....ความไม่สมบูรณ์แบบและความไม่สมหวัง แมร่งโคตรเป็นเสน่ห์ของโลกกลมๆใบนี้สำหรับผมเลยนะคุณ
ไม่ใช่แค่ว่ารักแล้วจะมากพอให้เราสองคนเดินทางกันไปจนสุดถนน
มันสะใจ มันซึ้ง มันร้องไห้ตาม ผมนั่งกุมมือตัวเองแบบนั้นแหละ อีกอย่างที่ผมชอบคือเขาไม่บอกเราด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้าปีนั้นวะ ทำไมคนสองคนถึงเลิกกันซึ่งเอาเข้าจริงๆ เลิกกันมันไม่มีเหตุผลอ่ะคุณ บางคนรักแต่ก็เลิก มันมีเรื่องราวอีกนานาประการให้คิดต่อได้ไม่รู้จักจบ
ตอนแรกคิดว่าหนังจะจบแล้ว แต่ไม่ ไม่เลย....ผกก.แมร่งขยี้หนักมาก
ค่ำวันหนึ่งมีอาละสามีได้ไปทางข้าวกันที่ริมถนนแห่งหนึ่ง เขาชวนมีอาเข้าไปในร้านที่มีชื่อว่า “เซปท์”
คุณ...เคยมีรึเปล่าครับ?
....เคยมี ‘สายตา’ ที่ต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติ คุณก็ไม่มีวันลืมดวงตาคู่นั้น
สายตาที่ครั้งหนึ่ง เราเคยจับจ้อง....’กันและกัน’
เซบาสเตียนเปิดร้านดนตรีแจ๊สร่วมสมัยได้จริงๆ และจังหวะนั้นเองที่เขาค่อยๆเล่นดนตรีแรกที่เจอกันกับนางเอกในร้าน
หนังพาเราย้อนกลับไปถึงฉากแรกที่พระนางพบกัน หนังเล่าถึงความสำเร็จของคนทั้งสองคน ไล่เรียงมากตั้งแต่ฉากแรกเริ่มยันฉากจบ แม้กระทั้งฉากที่มีอานั่งเล่นกับลูกของเซบาสเตียนโดยมีพ่อแม่ลูกกันสามคน ด้วยฟุตเทจภาพแบบจงใจทำให้เก่าๆ เลือนราง และขาดหายไปบางส่วน แมร่งโคตรสะเทือนอารมณ์ ขยี้จนน้ำตาไหลอีกรอบ
...มันจะดีขนาดไหนกันนะ ถ้าคนที่ตื่นนอนมาข้างๆคุณในทุกๆวันเป็นผม?
เพราะไม่มีใครสามารถอาศัยอยู่ในโลกของความฝันได้ สวยงามสมจริงเพียงใด ...สุดท้ายเราก็ต้องตื่นขึ้นมา
หนังย้อนกลับมาถึงฉากในร้าน มีอาตัดสินใจให้สามีพากลับบ้าน ทั้งคู่ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกมา มีอาหยุดอยู่ตรงประตูทางออกก่อนจะมองกลับเขามา
...ไม่มีคำพูด ไม่มีคำอวยพร ไม่มีคำจากลา
เพียงสายตาที่เรามองกัน ....
รอยยิ้มที่เธอยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ผมยิ้มให้คุณ
...เพียงเท่านั้นก็สื่อสารทุกอย่างแทนคำพูดนับล้านได้จริงๆ
หนังจบลงตรงนี้ ก่อนมีอาจะหันหลังจากมา เซบาสเตียนเองก็เล่นดนตรีของตนต่อไป
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเราเคยคบกัน
กาลครั่งหนึ่งนั้นเราเคยมีคืนวันความสัมพันธ์ที่สดใส
กาลครั้งหนึ่งนั้นไม่มีคำว่าเราอีกต่อไป
กาลครึ่งในใจฉันเคยมีเธอ
โลกของความฝัน....สวยงามและสมจริงเพียงใดสุดท้ายคุณก็ต้องตื่นขึ้นมา
เช่นเดียวกันกับโลกของความเป็นจริง ไม่ว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนจะแฮปปี้แอนด์ดิ้งหรือเศร้าเสียใจ
ทั้งหมดนั้นล้วนคือสิ่งที่ “เคยเกิดขึ้นจริง” ในชีวิตของคนๆหนึ่ง
ขอบคุณที่สร้างสรรค์หนังดีๆเพื่อโลกใบนี้อีกหนึ่งเรื่องครับ