:: WAT 2016 at The Most Magical Place on Earth :: - ประสบการณ์ทำงาน ณ Walt Disney World Orlando

Life Time Experiences at Walt Disney World, Orlando

สวัสดีค่ะทุกคน นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ที่อยากมาบอกเล่าเรื่องราวการไป Work & Travel เมื่อปี 2016 ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมานี้ เนื่องจากมีเนื้อหาที่อยากเล่าเยอะมากกกกก กระทู้นี้จึงอาจจะยาวไปสักหน่อยนะคะ เราได้รับแรงผลักดันจากเพื่อนๆ หลายคน ให้เรามาเขียนกระทู้แชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้ โดยสถานที่ทำงานของเราก็คือ
Walt Disney World Orlando, Florida, USA


โครงการที่เราไปมามีชื่อว่า Disney International College Program (DICP) ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดรับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจากทั่วโลก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ Cast Member (คำเรียกของทีมงานที่ทำงานใน Disney ทุกคน ตั้งแต่พนักงานขาย Hot dog จนกระทั่งเจ้าหญิงทุกองค์) ณ Walt Disney World โดยเราได้รู้จักโครงการนี้จากพี่สาวของเรา ที่ไม่มีโอกาสไป เนื่องจากอายุเกินวัยไปมากแล้ว แต่ยังอยากจะไป เลยส่งน้องไปแทน เย้ เราก็เลยติดตามและเฝ้ารอโครงการนี้มาตลอด ส่วนตัวเราชอบ Disney มากๆ ดูการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ จนปัจจุบันก็ยังดู บวกกับเราอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ขึ้นปี 3 แล้วอยากไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่หาไม่ได้ในไทย อยากได้ภาษา เราก็เลยตัดสินใจ สมัครโครงการนี้โลดดด



Job Application

เริ่มต้นจากการสมัครกันก่อนเลย การสมัครเข้าร่วมโครงการของ Disney ต้องสมัครผ่านตัวแทนของประเทศไทย นั่นก็คือ
London House โดยจะมีการสัมภาษณ์ 2 รอบ รอบแรกจะสัมภาษณ์โดยคนไทยแน่นอนว่าเป็นภาษาอังกฤษ คำถามก็เบสิกมาก อย่างเราตอนนั้นโดนถามว่า ทำไมอยากไปโครงการนี้ เราก็จัดเต็มมาก เล่าเป็นฉากๆ สงสัยกรรมการเห็นว่าโม้ดีเลยให้ผ่านมา 55555 อีกรอบจะเป็นทีมของ Disney คำถามก็คล้ายๆกัน สิ่งที่เราจำได้ คือ โดนถามว่าอยากแชร์อะไรเกี่ยวกับประเทศไทยพอไปแล้วไรงี้ เราก็เลยบอกเรื่องผีมั้ง ผีไทยนี่แบบที่สุดในโลกละ (แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าตอนเราไป เราได้แชร์เรื่องผีไทยจริงๆ) ส่วนดีของโครงการนี้ก็คือ เราไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าโครงการ การสอบ การสัมภาษณ์ทุกครั้งจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ตอนเราไปสมัครเราไปกับเพื่อนรร. เดียวกัน ไปกันหลายคนมากๆ แต่สุดท้ายที่ได้ไป WAT ด้วยกันมีแค่ 2 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นเมทเรา และเป็นบุคคลที่ล้มละลายไปด้วยกันในทุกเมืองที่ได้ไปต่อจริงๆ โครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่โหดพอสมควร เพราะคนสมัครเยอะ เปิดรับก่อนโครงการอื่นมากๆ จะเปิดช่วง สค.- กย. สำหรับรายละเอียดสามารถติดตามได้ที่ http://www.londonhouse-cm.com/

หลังจากผ่านขั้นตอนสัมภาษณ์มากมาย ก็มาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย เมื่อ Disney ส่งเมลล์มาหาว่าเราได้ไป
คือ เราดีใจมากกกกกกก กรี้ดลั่นห้องเลย โมเม้นนั้นคือแบบ ช็อกมาก ไม่คิดว่าจะได้ไป รู้สึกพระที่เราไหว้ขอพรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอีก 50%
หลังจากรอมาแสนนานด้วยความติ่งดิสนีย์อย่างถึงที่สุด หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนเอกสาร เพื่อเตรียมตัว
ส่วนนี้ขอข้ามไปนะคะ เนื่องจากจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้ว แต่เอกสารค่อยข้างยุ่งยากเลย ทั้งวีซ่า เอกสารต่างๆที่ดิสนีย์ต้องให้ยอมรับข้อตกลงอีกล้านแปด



Roles


ในส่วนของ Role ที่ได้รับทาง Disney จะเป็นคนกำหนดค่ะ โดยจะมีเอกสารให้เราเรียงลำดับความชอบ ความถนัดเกี่ยวกับงานให้เลือกก่อนว่าสนใจมากแค่ไหน แต่พยายามติ๊กสนใจมากน้อยไปทุกอันให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง 55555 ขั้นตอนทุกอย่างจะทำผ่านเว็ปของ Disney ที่จะมีรหัสมาให้ ซึ่งเรานี่แบบมีปัญหากับเว็ปตลอดดดดด เข้าไม่ได้มั่ง เพราะต้องเข้าอยู่เรื่อยๆ ห้ามเกินกี่วันๆ ซึ่งเราก็หลงๆ ลืมๆ account โดนล็อกไปตามระเบียบ ต้องส่งเมลล์หาฝ่ายเทคนิคตลอดดดด

Role ที่เราได้รับก็คือ Merchandise (ดีใจซ้ำอีกรอบ เป็น Role ที่อยากทำ55555) Roles ของ Disney จะมีหลากหลายมากค่ะ เช่น Food&Beverage, Merchandise, Lifeguard, Custodial, Operation เป็นต้น เมื่อไปถึงแล้วจะมีการ Train งานของแต่ละ Role แยกกันไป ซึ่งช่วง Train เนี่ย เป็นช่วงที่ง่ายที่สุดแล้วของการทำงาน คือมีคนคอยประกบตลอด ทำอะไรผิดก็หยวนๆ หลังจากนั้นก็ของจริงค่ะ วันแรกทำงานคนเดียว เรานี่แอบกลัวเลยว่าจะทำอะไรผิดรึเปล่า หน้าที่ที่เราต้องทำนี้จะเป็นหน้าที่เดียวที่สามารถทำได้
(ยกเว้นเคยมาแล้วเคย Train Role อื่นมาก่อน จะมีข้อกำหนดว่าจะรับงานนี้ได้ต้องเทรนด์อะไรมาบ้าง)



Work Places

Walt Disney World ประกอบด้วย 4 สวนสนุกหลัก, 2 สวนน้ำ, โรงแรมอีกมากมาย, Disney Springs และ Sport Complex โดย ICP ทุกคนที่เข้าร่วมโครงการ จะแยกกันไปทำงานตามสถานที่ต่างๆ ทั้งโรงแรม สวนน้ำ ร้านค้าต่างๆ ในแต่ละ location โดยเราจะขออธิบายเกี่ยวกับแต่ละ park เท่าที่เรารู้
(บางที่เราก็ไม่เคยไปเลยค่ะ เนื่องจากพื้นที่กว้างมากกกกกกก แถมวันหยุดก็มีน้อยนิดเลยไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไหร่)


Magic Kingdom


          Park นี้เป็น Park ที่เราชอบที่สุดค่ะ เพราะว่ามันมีกลิ่นไอความเป็น Disney มากๆ โดยเฉพาะ Main Street และที่นี่ก็เป็นสถานที่ทำงานของเรานั่นเอง เรียกได้ว่า มาเกือบทุกวัน วันหยุดก็ยังจะมา มีปราสาทคล้ายกับ Disney ที่อื่น โดยปราสาทของที่นี่จะเป็น Cinderella’s castle ซึ่งข้างในจะมีร้านอาหาร และ Boutiques ให้ little guest ได้มาแปลงโฉมเป็นเจ้าหญิงน่ารัก ตัวน้อยๆ มี pixie dust โปรยฟรุ้งฟริ้งกันเต็มไปหมด ขอเม้าท์ว่าทีมทำผมของ Boutiques ของเด็กๆ แบบเป๊ะมากกก ผมแน่นมาก ไม่ว่าเด็กจะเล่นอะไรมา เย็นค่ำแค่ไหน ผมก็ยังคงเป็นทรงหนาแน่นมากเว่อร์


โชว์หน้าปราสาทตอนกลางวัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิง เจ้าชายแต่ละองค์ พึ่งเปลี่ยนตอนเราไปได้สักพักเองง

ขบวนพาเหรดตอนกลางวัน มีตัวกระตูนเกือบทุกตัว สดใสสุดๆ

Main Street หลังจากพลุจบตอนกลางคืนก่อน Park ปิด

Park นี้จะมี โชว์ต่างๆ หน้าปราสาท, Parades และพลุตอนกลางคืน ช่วงที่เราไปพลุจะมีชื่อว่า Wishes และ
ตอน Independent Day ของอเมริกา (3rd-4th of July) จะมีพลุอีกแบบหนึ่ง ชื่อว่า Disney’s Celebrate America!
(เป็นพลุที่จุดรอบด้านแบบ surround คือดีงามที่สุดใน 3 โลกกกกก)


Location ที่เราทำงานก็คือออออ **Tomorrowland** แต่นแต๊นนนนน

ที่นี่เป็น Land ที่เราอยู่เกือบตลอดทั้งสัปดาห์ ยกเว้นไปกด take shift ที่อื่น ปกติเราได้กะบ่ายถึงค่ำๆตลอดค่ะ เหมาะกับคนตื่นสายแบบเราเป็นที่สุด Managers กับ Co-ordibators ดีมากจริงๆค่ะ พิมพ์แล้วน้ำตาจะไหลด้วยความคิดถึง เนื่องจากเราเอ๋อบ่อยค่ะ ทำผิดบ่อย ไม่ใช่คิดเงินผิดนะคะ ส่วนมากจะเป็นพวก ส่วนลด Refund และอีกล้านแปดพันเก้าที่เกิดขึ้น หัวหน้าทุกคนก็ให้อภัยเราค่ะ ไม่โมโห
ไม่เหวี่ยง เพื่อนๆ ที่ทำงานก็ช่วยเสมอ (ถึงจะมีบางคนหน้าบูดมาก แต่ก็ช่วยเราค่ะ)


Disney’s Hollywood Studios


          Park ที่เราชอบรองลงมา ที่นี่จะมีเครื่องเล่นที่หวาดเสียวขึ้นมานิดนึง เช่น Rock n’ Roller coaster, Tower of Terror
(ปกติเรียกกันว่าลิฟต์ตก เครื่องเล่นนี้เราชอบมากกกกก) โดยเครื่องเล่นพวกนี้ควรจอง Fast pass มาเพราะว่าคนเยอะมากกกกกกก
          รวมถึงโชว์ตอนเย็นจะมีโชว์ Fantasmic! บางวันจะมีพลุ Star Wars: A Galactic Spectacular เป็นพลุที่เรารู้สึกว่าต้องมาดูด้วยตาจริงๆ มีเรื่องราวให้ติดตาม ถ่ายรูปแล้วมันไม่สวยแบบตาเห็นจริงๆ



บรรยากาศในเครื่องเล่นของ Toy Story เหมือนจำลองว่าเราตัวเล็กลง เป็นของเล่นอะไรฟีลนั้นนน
ที่นี่จะมีการแสดงของเรื่องต่างๆ เป็นโชว์ที่ใช้คนแสดง เช่น Beauty & The Beast, Little Mermaid, Frozen sing along
(นี่ดูไปหลายรอบอยู่ เพราะเพื่อนมาหา รอบแรกไปคนเดียว ไม่กล้าร้อง จนกระทั่งคุณพ่อที่มากับลูกข้างๆ ร้องดังมาก ก็เลยร้องบ้าง555555555)
มีโซนของ Pixar ที่ธีมหลักเป็น Toy Story ถ้าใครชอบนี่พลาดไม่ได้แน่นอน จะมีเครื่องเล่นของ Toy Story อยู่เป็นคล้ายๆ นั่งรถไปแล้วให้ยิงเป้าต่างๆ
สนุกดี ออกมาปวดแขนกันไปอีกหลายวัน


เราเคยโดน Deployed มาที่ Park นี้หนึ่งสัปดาห์ ทำให้เราชอบ Park นี้ไปโดยปริยาย สำหรับแฟนๆ Star Wars ที่นี่จะมี Shop สำหรับขายของเกี่ยวกับ Star Wars และมีเครื่องเล่นโดยเฉพาะ! สิ่งที่เราไม่ชอบอย่างเดียวของการโดน Deployed ก็คือ ชุดที่ต้องใส่ แต่เพื่อนๆ บอกว่าน่ารักดี เราก็ต้องทำใจยอมรับกันไป ชุดมี 2 ชุด ได้แก่ ชุดสตอเบอร์รี่ และชุดทานตะวัน ซี่งชุดทานตะวันเนี่ยฝรั่งจะตื่นเต้นมาก เพราะมันเป็นกางเกงที่ดูเหมือนกระโปรง


Epcot

Landmark ของ Epcot ด้านในเป็นเครื่องเล่น ชื่อว่า Spaceship Earth

Park นี้เราชอบเครื่องเล่นที่ชื่อว่า Soarin (เป็นแนวหนัง 4D บินไปบนฟ้า มีกลิ่นหอมมมมม)
ที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ Future World กับ World Show Case


World Show Case จะเป็นส่วนที่จำลองเป็นประเทศต่างๆ มีอาหาร และ Characters ของแต่ละประเทศอยู่ ถ่ายรูปสวยมาก
โดยตอนช่วงที่เราไปพึ่งเปิดตัวเครื่องเล่นใหม่ค่ะ ชื่อว่า Frozen Ever After Ride ซึ่งต่อแถวกันยาวมาก ประมาณ 5 ชม. เลยทีเดียว
แต่เราได้ไปเล่นรอบ Test ของ Cast Member เนื่องจากช่วงเราไปเป็นช่วงแรกที่เครื่องเล่นเปิด ทำให้มีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ
เลยต้องมีการ Test กันตอน Park ปิด(ตี 3 เบาๆ) ซึ่งเราก็สมัครไปเป็นตัวทดลองเล่นนั่นเอง
นั่งไปรวมๆ ประมาณ 30 รอบ อัดครบเลยคลิปวีดีโอ ถ่ายภาพนิ่ง สแนปแชท
ส่งไลน์หาเพื่อน ส่งเฟสหาพ่อแม่ เช็คอิน แต่คุ้มค่าที่สุด เพราะถ้าเป็นรอบปกติเราคงไม่มีเวลาไปต่อแน่ๆ
เรานั่งวนจนร้องเพลงได้ จำคำพูดได้เลยอะ

ตอนกลางคืนจะมีพลุ ชื่อว่า Illuminations: Reflections of Earth ซึ่งจุดกลางทะเลสาบของ Epcot
เราเคยมาทำงานที่นี่อยู่ครั้งนึง ในร้านใหญ่ของ Park ชื่อว่า Mouse Gear ชุดน่ารัก ของเยอะมาก แต่ว่าสนุกดี
เนื่องจากเรามาทำตอน 4th of July หัวหมุนเลยทีเดียว คนเยอะจริงๆ


Disney’s Animal Kingdom

Park นี้มีเครื่องเล่นอีกอันที่เราชอบที่สุดค่ะ นั่นก็คือ Expedition Everest เป็นเหมือนปีนเขา Everest แล้วไปเจอตัวเยติ (เล่นตอนกลางคืนได้อารมณ์น่ากลัวกว่า ถ้าใครมีโอกาสไปลองนะคะ) Park นี้จะมีสัตว์ต่างๆ มีรถซาฟารี นั่งไปชมสัตว์ แบ่งออกเป็นโซนๆ เช่น Asia, Africa

Expedition Everest

Tree of Life เป็น Landmark หลักที่นี่ มีโชว์ตอนกลางคืนเป็นเรื่องราวของสัตว์ชนิดต่างๆ


เดี๋ยวมาต่อน้าาาา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่