Phrasal Verb for Business ตอนที่ 1
หนึ่งในหัวข้อทางไวยากรณ์ (grammar) ที่ค่อนข้างสร้างความสับสนให้กับ
ผู้เรียนภาษาอังกฤษทั่วโลกรวมทั้งนักเรียนไทยด้วยก็คือ
phrasal verb (อาจแปลง่ายๆว่า กริยาวลี)
ซึ่งหากดูตามชื่อก็จะได้ความว่ามันคือกริยาที่อยู่ในรูปวลี(phrase) นั่นเอง
เช่น make up, look after, put up with, get rid of
และอื่นๆ อีกมากมาย หลักๆ คือ มันจะประกอบด้วย verb คำหนึ่ง
กับ particle อีกหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งคำ (โดย particle อาจเป็นคำประเภท adverb
หรือ preposition ก็ได้ แต่ประเด็นนี้ไม่ใช่สาระสำคัญในการเรียนเรื่อง phrasal verb
ความสำคัญอยู่ที่เมื่อมันประกอบกันขึ้นเป็น phrasal verb ต่างหาก) ความน่าสนใจของ
phrasal verb พวกนี้เห็นได้ชัดว่าอยู่ที่ความหมายและการใช้งานของมัน ซึ่งแน่นอนว่า
ความหมายของ phrasal verb เหล่านี้อาจไม่ใช่ความหมายแบบตรงตัวตามตัวอักษรใน
วลีที่เราเห็นเสมอไป (แต่phrasal verb บางคำก็แปลตรงตัว ไม่ได้มีอะไรพลิกแพลง
เช่น get in, take back หรือ call back เป็นต้น) ในแง่การใช้
บางวลีก็ใช้ได้เพียงรูปเดิมแบบตายตัว(คือต้องเขียนติดกัน)เท่านั้น แต่บางวลีก็สามารถ
ใช้ได้ทั้งแบบเขียนติดกันและแบบเขียนแยกกัน(คือเขียน verb และ particle ห่างกัน
โดยมีคำอื่นเข้ามาแทรกได้) (ในบทความนี้ให้สังเกตเครื่องหมายดอกจันทน์*
ใน phrasal verb บางตัวซึ่งหมายความว่า phrasal verb ดังกล่าว
สามารถใช้งานได้ทั้งสองแบบ)
ในบทความชุดนี้ ผู้เขียนขออนุญาตคัดเอาเฉพาะ phrasal verb ที่มักพบบ่อยๆ
ในภาษาอังกฤษธุรกิจ(business English) มานำเสนอเท่านั้น
เนื่องจากในภาษาอังกฤษประจำวันนั้นมี phrasal verb เป็นจำนวนมากที่นิยมใช้งานกัน
จึงพ้นวิสัยที่ผู้เขียนจะนำมาแนะนำได้ภายในพื้นที่อันจำกัดของคอลัมน์นี้
คงต้องฝากเป็นการบ้านให้ผู้อ่านไปศึกษาค้นคว้าต่อเอง
เพื่อให้เกิดความแตกฉานในเรื่องนี้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ทีนี้เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
to ask around
แปลว่า เที่ยวไปถามหลายๆ คนด้วยคำถามเดียวกัน เช่น
I need a good insurance agent. Could you ask around and see if anyone knows one?
ฉันอยากได้ตัวแทนประกันภัยที่ดีๆ สักคน เธอช่วยไปถามๆให้หน่อยได้ไหมว่ามีใครพอจะรู้จักบ้างไหม
to back * up
หมายถึง สนับสนุน หรือส่งกำลังสนับสนุน เช่น
Thanks for backing me up in the meeting.
ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนฉันในการประชุมนะ
The assistant manager should try in every way to back up the manager in all projects.
ผู้ช่วยผู้จัดการควรพยายามในทุกๆ ทางเพื่อสนับสนุนผู้จัดการในทุกๆ โครงการ
to call * back
แปลว่า โทรกลับ
We have a bad connection. I’ll call you back in a few minutes.
สายมีปัญหา อีกสักครู่ฉันจะโทรไปหาคุณใหม่นะ
to call * off
แปลว่า ยกเลิก
Management is going to call the meeting off because so many people are out sick today.
ฝ่ายบริหารกำลังจะแจ้งยกเลิกการประชุมเนื่องจากวันนี้หลายคนลาป่วยกัน
to check in
แปลว่า ไปถึงและลงทะเบียนที่โรงแรมหรือที่สนามบิน บางทีก็เรียกทับศัพท์ว่า"เช็กอิน"
We checked in at the hotel around 5 p.m. and then got something to eat.
พวกเราไปถึงและลงทะเบียนเข้าพักที่โรงแรมเมื่อราวๆ 5 โมงเย็น แล้วเราจึงไปหาอะไรทานกัน
to check in (with someone)
to talk with someone to ensure things are going okay
check in ยังมีการใช้ในอีกความหมายหนึ่ง โดยจะตามด้วย (with someone) ซึ่งจะมีความหมายว่า พูดคุยกับใครบางคนเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย
As a manager, I feel it’s important to check in with everyone on my team at least once a day.
ในฐานะผู้จัดการ ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพูดคุยกับทุกๆ คนในทีมของผมอย่างน้อยวันละหนเพื่อให้แน่ใจว่าทุกๆอย่างยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย
to check out
เมื่อมี to check in ก็ต้องมี to check out เป็นธรรมดา ส่วนความหมายก็คือ ออกจากโรงแรมไปแล้ว หรือใช้ทับศัพท์ว่า เช็กเอาท์
We checked out a few hours late and had to pay an extra fee.
เราเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมล่าช้าไป2-3 ชั่วโมง เลยต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
to check * out
ถ้าเขียนแบบแยกห่างจากกัน ความหมายก็จะเปลี่ยนไป จะแปลว่า มองดูอย่างถี่ถ้วนตรวจสอบดู
I’m not sure why the copier isn’t working. I’ll check it out.
ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเครื่องถ่ายสำเนานี่มันใช้งานได้ ฉันจะลองตรวจมันดูก่อน
มาเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ง่ายๆกับเราได้ที่ www.engtest.net
Phrasal Verb for Business ตอนที่ 1
หนึ่งในหัวข้อทางไวยากรณ์ (grammar) ที่ค่อนข้างสร้างความสับสนให้กับ
ผู้เรียนภาษาอังกฤษทั่วโลกรวมทั้งนักเรียนไทยด้วยก็คือ
phrasal verb (อาจแปลง่ายๆว่า กริยาวลี)
ซึ่งหากดูตามชื่อก็จะได้ความว่ามันคือกริยาที่อยู่ในรูปวลี(phrase) นั่นเอง
เช่น make up, look after, put up with, get rid of
และอื่นๆ อีกมากมาย หลักๆ คือ มันจะประกอบด้วย verb คำหนึ่ง
กับ particle อีกหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งคำ (โดย particle อาจเป็นคำประเภท adverb
หรือ preposition ก็ได้ แต่ประเด็นนี้ไม่ใช่สาระสำคัญในการเรียนเรื่อง phrasal verb
ความสำคัญอยู่ที่เมื่อมันประกอบกันขึ้นเป็น phrasal verb ต่างหาก) ความน่าสนใจของ
phrasal verb พวกนี้เห็นได้ชัดว่าอยู่ที่ความหมายและการใช้งานของมัน ซึ่งแน่นอนว่า
ความหมายของ phrasal verb เหล่านี้อาจไม่ใช่ความหมายแบบตรงตัวตามตัวอักษรใน
วลีที่เราเห็นเสมอไป (แต่phrasal verb บางคำก็แปลตรงตัว ไม่ได้มีอะไรพลิกแพลง
เช่น get in, take back หรือ call back เป็นต้น) ในแง่การใช้
บางวลีก็ใช้ได้เพียงรูปเดิมแบบตายตัว(คือต้องเขียนติดกัน)เท่านั้น แต่บางวลีก็สามารถ
ใช้ได้ทั้งแบบเขียนติดกันและแบบเขียนแยกกัน(คือเขียน verb และ particle ห่างกัน
โดยมีคำอื่นเข้ามาแทรกได้) (ในบทความนี้ให้สังเกตเครื่องหมายดอกจันทน์*
ใน phrasal verb บางตัวซึ่งหมายความว่า phrasal verb ดังกล่าว
สามารถใช้งานได้ทั้งสองแบบ)
ในบทความชุดนี้ ผู้เขียนขออนุญาตคัดเอาเฉพาะ phrasal verb ที่มักพบบ่อยๆ
ในภาษาอังกฤษธุรกิจ(business English) มานำเสนอเท่านั้น
เนื่องจากในภาษาอังกฤษประจำวันนั้นมี phrasal verb เป็นจำนวนมากที่นิยมใช้งานกัน
จึงพ้นวิสัยที่ผู้เขียนจะนำมาแนะนำได้ภายในพื้นที่อันจำกัดของคอลัมน์นี้
คงต้องฝากเป็นการบ้านให้ผู้อ่านไปศึกษาค้นคว้าต่อเอง
เพื่อให้เกิดความแตกฉานในเรื่องนี้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ทีนี้เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
to ask around
แปลว่า เที่ยวไปถามหลายๆ คนด้วยคำถามเดียวกัน เช่น
I need a good insurance agent. Could you ask around and see if anyone knows one?
ฉันอยากได้ตัวแทนประกันภัยที่ดีๆ สักคน เธอช่วยไปถามๆให้หน่อยได้ไหมว่ามีใครพอจะรู้จักบ้างไหม
to back * up
หมายถึง สนับสนุน หรือส่งกำลังสนับสนุน เช่น
Thanks for backing me up in the meeting.
ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนฉันในการประชุมนะ
The assistant manager should try in every way to back up the manager in all projects.
ผู้ช่วยผู้จัดการควรพยายามในทุกๆ ทางเพื่อสนับสนุนผู้จัดการในทุกๆ โครงการ
to call * back
แปลว่า โทรกลับ
We have a bad connection. I’ll call you back in a few minutes.
สายมีปัญหา อีกสักครู่ฉันจะโทรไปหาคุณใหม่นะ
to call * off
แปลว่า ยกเลิก
Management is going to call the meeting off because so many people are out sick today.
ฝ่ายบริหารกำลังจะแจ้งยกเลิกการประชุมเนื่องจากวันนี้หลายคนลาป่วยกัน
to check in
แปลว่า ไปถึงและลงทะเบียนที่โรงแรมหรือที่สนามบิน บางทีก็เรียกทับศัพท์ว่า"เช็กอิน"
We checked in at the hotel around 5 p.m. and then got something to eat.
พวกเราไปถึงและลงทะเบียนเข้าพักที่โรงแรมเมื่อราวๆ 5 โมงเย็น แล้วเราจึงไปหาอะไรทานกัน
to check in (with someone)
to talk with someone to ensure things are going okay
check in ยังมีการใช้ในอีกความหมายหนึ่ง โดยจะตามด้วย (with someone) ซึ่งจะมีความหมายว่า พูดคุยกับใครบางคนเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย
As a manager, I feel it’s important to check in with everyone on my team at least once a day.
ในฐานะผู้จัดการ ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพูดคุยกับทุกๆ คนในทีมของผมอย่างน้อยวันละหนเพื่อให้แน่ใจว่าทุกๆอย่างยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย
to check out
เมื่อมี to check in ก็ต้องมี to check out เป็นธรรมดา ส่วนความหมายก็คือ ออกจากโรงแรมไปแล้ว หรือใช้ทับศัพท์ว่า เช็กเอาท์
We checked out a few hours late and had to pay an extra fee.
เราเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมล่าช้าไป2-3 ชั่วโมง เลยต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
to check * out
ถ้าเขียนแบบแยกห่างจากกัน ความหมายก็จะเปลี่ยนไป จะแปลว่า มองดูอย่างถี่ถ้วนตรวจสอบดู
I’m not sure why the copier isn’t working. I’ll check it out.
ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเครื่องถ่ายสำเนานี่มันใช้งานได้ ฉันจะลองตรวจมันดูก่อน
มาเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ง่ายๆกับเราได้ที่ www.engtest.net