หลีเป๊ะ ทริปแรกของปีนี้ แปลกใจเหมือนกัน ว่าทำไมหลีเป๊ะถึงเป็นทริปแรกของปีนี้ ทั้งๆที่ทุกปีต้องจัดทริป 4 - 5 ทริป
ที่ไปผจญภัยกับเพื่อน อย่างปีที่แล้ว ทริปแรกเขาค้อ ไปฟังเพลง นอนเต้นท์ ก่อกองไฟ ไล่ลมหนาว
พร้อมจิบเบียร์เบาๆให้ร่างกายอบอุ่น หลังจากทริปนั้นก็ไปภูทับเบิก แต่เสียดายที่ช่วงที่เราไปมันไม่มีทะเลหมอกให้เห็นแล้ว
เราก็เลยตัดสินใจ จัดทริปปิดท้ายปี คือ ทะเลหมอกเบตง ให้เพื่อนมาเที่ยวบ้านเกิดเราซ่ะเรย ><
ได้เจอทะเลหมอกแบบระยะประชิด ฟินกันไป ไว้ปีนี้จะขึ้นไปดูทะเลหมอกอีก แล้วจะเอารูปสวยๆกับรีวิวฟินๆมาฝากนะจ่ะ
มาฟังเรื่องราวของทริปแรกในปีนี้ดีกว่า "หลีเป๊ะ มัลดีฟเมืองไทย"
ตอนแรกมีความรู้สึกว่าตัวเองชอบเที่ยวแบบภูเขา ป่าไม้ ทะเลหมอก ชอบไปฟินกับอากาศหนาวๆมากกว่า
มาเที่ยวทะเลที่อากาศร้อน มีแต่น้ำเค็มๆกับทราย แต่พอได้มาที่นี่แล้วเลยรู้สึกว่า อ่อออออออ
เราไม่ได้ชอบเที่ยวแค่ป่าไม้ภูเขา เราชอบเที่ยวทุกที่ ที่คนสามารถไปได้ ก็ดูวิวดิ ให้ทนยังไงไหว ใครจะไม่หลงรักร่ะ
สุดยอดไปเรยใช่ไหมร่ะ หลังจากตกหลุมรักมัน เราก็เรยมีความคิดว่าอยากจะทำรีวิว
ให้คนอื่นหลงรักทะเลที่หลีเป๊ะแบบเราบ้าง ส่วนข้อมูลคราวๆของทริปนี้
ต้นทาง :: กรุงเทพ
ปลายทาง :: หลีเป๊ะ
ระยะเวลา :: 3 วัน 2 คืน
เราเริ่มต้นการเดินทางกับสายการบินสิงโตนำโชค อ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา เหมือนเทอออ โว้ยยยย แบบนี้ไม่น่าใช่แร้ว
สงสัยจะตื่นเต้นเกินไป การเดินทางด้วยสายการบินสิงโตแดงก็ผ่านไปได้ด้วยดี ท้องฟ้าแจ่มใส ตามที่เห็นเรย
พอลงจากเครื่องปับบ จากการศึกษาข้อมูลการไปหลีเป๊ะ คือเราต้องไปที่ท่าเรือปากบารา อ.ละงู เพื่อต่อเรือไปยังหลีเป๊ะ
ที่หามามันก็มีสองทาง คือติดต่อกับทางรีสอร์ทที่เราเข้าพัก ให้ส่งรถมารอรับที่สนามบินเพื่อไปยังท่าเรือ ราคารวมเรือไปกลับหลีเป๊ะ
ก็จะอยู่ที่ราคาประมาณ 1500 บาท/คน อันนี้เป็นราคาไปกลับนะ ไม่รู้ว่ามีราคาถูกกว่านี้ไหม ต้องลองหาดู
อีกทางนึงคือนั่งรถเข้าเมืองหาดใหญ่ แล้วไปต่อรถไปท่าเรือปากบารา ส่วนเราไหนๆก็มาร่ะ เราก็เรยเลือกทางเลือกที่สอง
พอเราลงเครื่องออกมาตรงทางออก จะเจอ เคาเตอร์ ที่เป็นโต๊ะตัวเดียวตั้งอยู่ เราก็เลยไปสอบถาม
ว่าจะเข้าเมืองยังไงได้บ้าง ก็ได้ความว่า ไปรถตู้ได้เรย คนละ 100 บาท บอกเค้าว่าไปลง สถานีขนส่งผู้โดยสาร 2
สถานนีขนส่งผู้โดยสาร 2 จะอยู่หาดใหญ่ใน เรยปั้ม shell กับ esso มาสักพัก
ก่อนจะถึง tesco lotus พอถึงก็จะเจอรถตู้จอดเรียงกันอยู่
เราก็ต้องทำการซื้อตั๋วที่ช่องซื้อตั๋ว เดินเข้าไปเรยค่ะ เดินเข้าไปที่ช่อง 9 มันจะเขียนว่าปากบารา
ควักตังขึ้นมาค่ะ คนละ 110 บาท จ่ายไปค่ะ แร้วก็ขึ้นรถข้างหน้าตรงช่องเลข 9 นั้นแหละค่ะ
ก่อนขึ้นรถเราได้ข้อมูลมาว่า รถจะออกทุก 45 นาที ถ้าเต็มก่อนก็ออกก่อน
รถรอบเช้าสุด 7.30 น รอบสุดท้ายอยู่ที่ 18.45 น แต่เรือที่ปากบารารอบสุดท้ายจะอยู่ที่เวลา 15.00 น.
พอขึ้นรถตู้ เราก็งีบพักสายตาเรยค่ะ เพราะใช้เวลาเดินทางถึงที่หมายท่าเรือปากบารา ประมาณ 2 ชมค่ะ
พอถึงที่หมายก็ยืดเส้นยืดสายกันหน่อย เดินหาตั๋วเรือกัน ที่ถามๆมา ราคาจะอยู่ที่ ประมาน 800-1000 บาท
เป็นเรือสปีทโบ้ท เลือกเอาบริษัทที่พอใจเรยค่ะ
พอได้ตั๋วเรือเรียบร้อย เราก็จะต้องไปขึ้นเรือ ที่ท่าเรือ เดินเข้าไปทางตึกศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อเข้าไปยังท่าเรือ
เราจะต้องเสียค่าเข้าใช้บริการท่าเรือคนละ 20 บาท ที่ทางเข้า แต่ก่อนขึ้นเรือแนะนำให้เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย
เปลี่ยนเป็นรองเท้าเตะด้วยจะดีมาก พอเข้าไปจะมีโต๊ะหลายๆโต๊ะ ให้เราไปยื่นตั๋วเรือกับบริษัทที่เราซื้อเรย
เราจะได้รับเลขที่นั่งมา นั่งรอเดี๋ยวเค้าจะเรียกขึ้นเรือ ถ่ายรูปเพลินๆไปก่อนเรยจ้า
--> วิวตรงท่าเรือ รอลงเรือ ยังขนาดนี้ <--
ก่อนที่เราจะถึงเกาะหลีเป๊ะ เราจะแวะที่เกาะไข่ ที่เป็นที่ตั้งของ ซุ้มประตูรักนิรันดร์ ซึ่งมีซุ้มประตูหินโค้งขนาดใหญ่และเล็ก 2 ช่อง
วางเรียงตัวอยู่คู่กัน โดยมีความเชื่อว่าหากใครพาคู่รักลอดเข้าซุ้มประตูหินช่องใหญ่ แล้วลอดกลับออกมาทางซุ้มประตูช่องเล็ก
จะได้พบกับความรักที่มั่นคง ได้ยินแบบนี้แล้วคนมีคู่ก็จูงมือกันไปลอดซุ้มเรยจ้าาาา
แต่นอกจากตำนานรักอันแสนหวานจนมดขึ้นของ ซุ้มประตูรักนิรันดร์ แห่งเกาะไข่แล้ว
เหตุผลที่แท้จริงที่ได้ชื่อว่าเกาะไข่ เพราะว่าในอดีตมักจะมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่บนเกาะอยู่เป็นประจำ
คนท้องถิ่นจึงมักจะเรียกเกาะแห่งนี้ด้วยความคุ้นเคยว่า “เกาะไข่” นั่นเอง เป็นไงร่ะที่มาของชื่อ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เกาะไข่ก็ประทับใจเราอยู่ดี หลังจากแวะเกาะไข่ ก็นั่งเรือมาอีก 20 นาที ก็จะถึงเกาะหลีเป๊ะ
มาครั้งนี้ เรามาพักที่ ศลิษา รีสอร์ท โดยจองผ่านทางแฟนเพจใน facebook รีสอร์ทจะอยู่ฝั่งหาด sunrise
ซึ่งจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า
----------------------------
การผจญภัยในวันแรกได้สิ้นสุดลงไป โปรแกรมต่อไปเราจะออกไปดำน้ำ ไปสัมผัสกับโลกใต้น้ำกัน
บอกเรยว่าตื่นเต้นสุดๆ จุดแรกที่เราไปวันนี้ คือ เกาะหินซ้อน เป็นหินที่วางซ้อนกัน2ก้อนใหญ่ๆ อยู่กลางทะเล
หลังจากนั้นก็ไปเกาะรอ กลอย ที่นี่น้ำจะไม่ลึก เค้าจะให้เราลองฝึกใช้สน็อกเกิ้ลกันก่อน
ถึงแม้น้ำจะไม่ลึกแต่ที่นี่ก็มีปลาให้เห็นนะ ใกล้ๆโขดหินแอบเห็นปลานีโม่ด้วย >< ที่นี่ยังมีให้ปีนขึ้นไปข้างบนมีจุดชมวิว
จะมีที่ให้เรายืนถ่ายรูปเล่นกันก่อนที่จะไปฝึกดำน้ำ
พอใช้อุปกรณ์เริ่มคล่องแล้ว เราก็ออกเดินทางไปยังจุดดำน้ำจุดต่างกัน
ซึ่งส่วนใหญ่การดำน้ำเค้าจะพาเราไปประมาน 5-6 จุด
จุดแรก *อ่าวลิง ที่ได้ชื่อนี้มา เพราะว่ามีลิงอาศัยอยู่ มาถึงที่นี่ก็ต้องระวังของเรานิดนึงนะ ลิงมันชอบขโมย
แต่ก็มีพี่ๆคนขับเรือคอยดูแลให้อยู่ ปะการังที่นี่สวยมาก มีปลากับปะการังเยอะมาก เพลินเลยหล่ะ
จุดต่อไป *เกาะผึ้งค่ะ เกาะนี้ ลึกกว่าเกาะที่แล้ว พี่เค้าบอกว่า เราจะเพิ่มเลเวลความยากไปเรื่อยๆน้าาาา
หลังจากว่ายน้ำจนหมดแรง ท้องก็เริ่มร้อง ดำน้ำจนเพลินลืมเวลาเลยค่ะ
ทริปดำน้ำที่เราซื้อเค้าเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้ และตบท้ายด้วยผลไม้อันแสนหวาน
พออิ่มท้องแล้วเราก็ลุยกันต่อเรยย
เกาะต่อไปปปปป เกาะหินงามค่ะ โดยหาดที่นี่จะเป็นสีดำ จากหาดทรายเนียนละเอียดกลายเป็นหาดหินอันสวยงาม
แต่บอกไว้ก่อนเรย ใส่รองเท้าลงไปกันด้วยนะค่ะ เพราะร้อนเท้าพองแน่นอน
หลังจากถ่ายรูปกับหาดหินอันสวยงามเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาดำน้ำกันต่อ
ที่ต่อไป ก็ไม่ใกล้ไม่ไกล เรย หลังเกาะหินงามนั้นเอง ที่นี่เจอปลาเป็นฝูงเลยอ่ะ
อย่างสวยยยย ปะการังก็เยอะ คือดีงามมากกก ต้องมาเห็นกับตา จริงๆน้าาา
ร่องน้ำจาบัง เป็นจุดดำน้ำสุดท้ายของวันนี้ พี่เค้าบอกว่าที่นี่มีปะการังสีแดงกับสีม่วง ร่องน้ำที่นี่ คลื่นจะแรงนิดๆ
ต้องไต่เชือกที่เค้าทำไว้ ไต่ไปเรื่อยๆจนถึงจุดตัดของเชือก นั้นแหละคือจุดพีคเลยหล่ะ มองลงไปค่ะใต้ท้องทะเล
เราจะเห็นปะการังสีแดงกับสีม่วง แถมมาด้วยปลา ประทับใจสุดๆเรย ถึงจะเหนื่อยก็เถอะ แต่ก็คุ้มมั๊กมากกกกกก 😍
กลับถึงที่พัก อาบน้ำพักผ่อนแป๊บนึง คืนนี้เราต้องลุยกันต่อ ที่ walking street
จากรีสอร์ท เราสามารถเดินไป walking street ได้ มันไม่ได้ไกลมาก วันที่ไป คนคึกคักกันพอสมควร
มาทะเลทั้งทีก็ต้องลองของเด็ดกันบ้างหล่ะ ถ้าอยากกินบุฟเฟ่ต์ทะเลที่นี่ก็มีนะค่ะ กุ้งหอยปูปลาก็มา
หรือจะเป็นโรตี ที่นี่มี 3-4 ร้านได้ เลือกเอาร้านที่ชอบเรย มีหลากหลายไส้ให้เลือกเรย 😋
แต่ที่ติดใจเรยก็คงจะเป็น ไอติมมะพร้าว ใส่ท็อปปิ้งเองตามชอบ
อิ่มเอมไปกับอาหารเรียบร้อย ต่อด้วย ร้านชิลๆกัน มีทั้งที่เป็นบาร์สไตล์บาหลี
แต่ส่วนใหญ่บาร์ที่นี้มีสไตล์การตกแต่งที่สวยงาม ใครมาก็เลือกเอาตามชอบเรย
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศ ก็กลับไปพักผ่อนกันเถอะ เพลียมาทั้งวันแล้ว ถ้าใครขี้เกียดเดินกลับ
ที่ walking street ที่นี่มีแท็กซี่ด้วยนะ คนละ 50 บาทค่ะ น่าตา Taxi ของเกาะจะเป็นเหมือนรถพวงข้างตามตลาดสด
เช้าวันที่ 3 ท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนเดิม แต่เวลาแห่งความสุขก็ผ่านไปเร็วเสมอ หมดเวลาสนุกแล้วหรอ
ต้องกลับไปโลกแห่งความวุ่นวายแล้วซินะ บายนะ หลีเป๊ะ
[CR] [kit-cheng-guide] - อยากพักใจ...ไปหลีเป๊ะ
หลีเป๊ะ ทริปแรกของปีนี้ แปลกใจเหมือนกัน ว่าทำไมหลีเป๊ะถึงเป็นทริปแรกของปีนี้ ทั้งๆที่ทุกปีต้องจัดทริป 4 - 5 ทริป
ที่ไปผจญภัยกับเพื่อน อย่างปีที่แล้ว ทริปแรกเขาค้อ ไปฟังเพลง นอนเต้นท์ ก่อกองไฟ ไล่ลมหนาว
พร้อมจิบเบียร์เบาๆให้ร่างกายอบอุ่น หลังจากทริปนั้นก็ไปภูทับเบิก แต่เสียดายที่ช่วงที่เราไปมันไม่มีทะเลหมอกให้เห็นแล้ว
เราก็เลยตัดสินใจ จัดทริปปิดท้ายปี คือ ทะเลหมอกเบตง ให้เพื่อนมาเที่ยวบ้านเกิดเราซ่ะเรย ><
ได้เจอทะเลหมอกแบบระยะประชิด ฟินกันไป ไว้ปีนี้จะขึ้นไปดูทะเลหมอกอีก แล้วจะเอารูปสวยๆกับรีวิวฟินๆมาฝากนะจ่ะ
มาฟังเรื่องราวของทริปแรกในปีนี้ดีกว่า "หลีเป๊ะ มัลดีฟเมืองไทย"
ตอนแรกมีความรู้สึกว่าตัวเองชอบเที่ยวแบบภูเขา ป่าไม้ ทะเลหมอก ชอบไปฟินกับอากาศหนาวๆมากกว่า
มาเที่ยวทะเลที่อากาศร้อน มีแต่น้ำเค็มๆกับทราย แต่พอได้มาที่นี่แล้วเลยรู้สึกว่า อ่อออออออ
เราไม่ได้ชอบเที่ยวแค่ป่าไม้ภูเขา เราชอบเที่ยวทุกที่ ที่คนสามารถไปได้ ก็ดูวิวดิ ให้ทนยังไงไหว ใครจะไม่หลงรักร่ะ
สุดยอดไปเรยใช่ไหมร่ะ หลังจากตกหลุมรักมัน เราก็เรยมีความคิดว่าอยากจะทำรีวิว
ให้คนอื่นหลงรักทะเลที่หลีเป๊ะแบบเราบ้าง ส่วนข้อมูลคราวๆของทริปนี้
ต้นทาง :: กรุงเทพ
ปลายทาง :: หลีเป๊ะ
ระยะเวลา :: 3 วัน 2 คืน
เราเริ่มต้นการเดินทางกับสายการบินสิงโตนำโชค อ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา เหมือนเทอออ โว้ยยยย แบบนี้ไม่น่าใช่แร้ว
สงสัยจะตื่นเต้นเกินไป การเดินทางด้วยสายการบินสิงโตแดงก็ผ่านไปได้ด้วยดี ท้องฟ้าแจ่มใส ตามที่เห็นเรย
พอลงจากเครื่องปับบ จากการศึกษาข้อมูลการไปหลีเป๊ะ คือเราต้องไปที่ท่าเรือปากบารา อ.ละงู เพื่อต่อเรือไปยังหลีเป๊ะ
ที่หามามันก็มีสองทาง คือติดต่อกับทางรีสอร์ทที่เราเข้าพัก ให้ส่งรถมารอรับที่สนามบินเพื่อไปยังท่าเรือ ราคารวมเรือไปกลับหลีเป๊ะ
ก็จะอยู่ที่ราคาประมาณ 1500 บาท/คน อันนี้เป็นราคาไปกลับนะ ไม่รู้ว่ามีราคาถูกกว่านี้ไหม ต้องลองหาดู
อีกทางนึงคือนั่งรถเข้าเมืองหาดใหญ่ แล้วไปต่อรถไปท่าเรือปากบารา ส่วนเราไหนๆก็มาร่ะ เราก็เรยเลือกทางเลือกที่สอง
พอเราลงเครื่องออกมาตรงทางออก จะเจอ เคาเตอร์ ที่เป็นโต๊ะตัวเดียวตั้งอยู่ เราก็เลยไปสอบถาม
ว่าจะเข้าเมืองยังไงได้บ้าง ก็ได้ความว่า ไปรถตู้ได้เรย คนละ 100 บาท บอกเค้าว่าไปลง สถานีขนส่งผู้โดยสาร 2
สถานนีขนส่งผู้โดยสาร 2 จะอยู่หาดใหญ่ใน เรยปั้ม shell กับ esso มาสักพัก
ก่อนจะถึง tesco lotus พอถึงก็จะเจอรถตู้จอดเรียงกันอยู่
เราก็ต้องทำการซื้อตั๋วที่ช่องซื้อตั๋ว เดินเข้าไปเรยค่ะ เดินเข้าไปที่ช่อง 9 มันจะเขียนว่าปากบารา
ควักตังขึ้นมาค่ะ คนละ 110 บาท จ่ายไปค่ะ แร้วก็ขึ้นรถข้างหน้าตรงช่องเลข 9 นั้นแหละค่ะ
ก่อนขึ้นรถเราได้ข้อมูลมาว่า รถจะออกทุก 45 นาที ถ้าเต็มก่อนก็ออกก่อน
รถรอบเช้าสุด 7.30 น รอบสุดท้ายอยู่ที่ 18.45 น แต่เรือที่ปากบารารอบสุดท้ายจะอยู่ที่เวลา 15.00 น.
พอขึ้นรถตู้ เราก็งีบพักสายตาเรยค่ะ เพราะใช้เวลาเดินทางถึงที่หมายท่าเรือปากบารา ประมาณ 2 ชมค่ะ
พอถึงที่หมายก็ยืดเส้นยืดสายกันหน่อย เดินหาตั๋วเรือกัน ที่ถามๆมา ราคาจะอยู่ที่ ประมาน 800-1000 บาท
เป็นเรือสปีทโบ้ท เลือกเอาบริษัทที่พอใจเรยค่ะ
พอได้ตั๋วเรือเรียบร้อย เราก็จะต้องไปขึ้นเรือ ที่ท่าเรือ เดินเข้าไปทางตึกศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อเข้าไปยังท่าเรือ
เราจะต้องเสียค่าเข้าใช้บริการท่าเรือคนละ 20 บาท ที่ทางเข้า แต่ก่อนขึ้นเรือแนะนำให้เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย
เปลี่ยนเป็นรองเท้าเตะด้วยจะดีมาก พอเข้าไปจะมีโต๊ะหลายๆโต๊ะ ให้เราไปยื่นตั๋วเรือกับบริษัทที่เราซื้อเรย
เราจะได้รับเลขที่นั่งมา นั่งรอเดี๋ยวเค้าจะเรียกขึ้นเรือ ถ่ายรูปเพลินๆไปก่อนเรยจ้า
--> วิวตรงท่าเรือ รอลงเรือ ยังขนาดนี้ <--
ก่อนที่เราจะถึงเกาะหลีเป๊ะ เราจะแวะที่เกาะไข่ ที่เป็นที่ตั้งของ ซุ้มประตูรักนิรันดร์ ซึ่งมีซุ้มประตูหินโค้งขนาดใหญ่และเล็ก 2 ช่อง
วางเรียงตัวอยู่คู่กัน โดยมีความเชื่อว่าหากใครพาคู่รักลอดเข้าซุ้มประตูหินช่องใหญ่ แล้วลอดกลับออกมาทางซุ้มประตูช่องเล็ก
จะได้พบกับความรักที่มั่นคง ได้ยินแบบนี้แล้วคนมีคู่ก็จูงมือกันไปลอดซุ้มเรยจ้าาาา
แต่นอกจากตำนานรักอันแสนหวานจนมดขึ้นของ ซุ้มประตูรักนิรันดร์ แห่งเกาะไข่แล้ว
เหตุผลที่แท้จริงที่ได้ชื่อว่าเกาะไข่ เพราะว่าในอดีตมักจะมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่บนเกาะอยู่เป็นประจำ
คนท้องถิ่นจึงมักจะเรียกเกาะแห่งนี้ด้วยความคุ้นเคยว่า “เกาะไข่” นั่นเอง เป็นไงร่ะที่มาของชื่อ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เกาะไข่ก็ประทับใจเราอยู่ดี หลังจากแวะเกาะไข่ ก็นั่งเรือมาอีก 20 นาที ก็จะถึงเกาะหลีเป๊ะ
มาครั้งนี้ เรามาพักที่ ศลิษา รีสอร์ท โดยจองผ่านทางแฟนเพจใน facebook รีสอร์ทจะอยู่ฝั่งหาด sunrise
ซึ่งจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า
----------------------------
การผจญภัยในวันแรกได้สิ้นสุดลงไป โปรแกรมต่อไปเราจะออกไปดำน้ำ ไปสัมผัสกับโลกใต้น้ำกัน
บอกเรยว่าตื่นเต้นสุดๆ จุดแรกที่เราไปวันนี้ คือ เกาะหินซ้อน เป็นหินที่วางซ้อนกัน2ก้อนใหญ่ๆ อยู่กลางทะเล
หลังจากนั้นก็ไปเกาะรอ กลอย ที่นี่น้ำจะไม่ลึก เค้าจะให้เราลองฝึกใช้สน็อกเกิ้ลกันก่อน
ถึงแม้น้ำจะไม่ลึกแต่ที่นี่ก็มีปลาให้เห็นนะ ใกล้ๆโขดหินแอบเห็นปลานีโม่ด้วย >< ที่นี่ยังมีให้ปีนขึ้นไปข้างบนมีจุดชมวิว
จะมีที่ให้เรายืนถ่ายรูปเล่นกันก่อนที่จะไปฝึกดำน้ำ
พอใช้อุปกรณ์เริ่มคล่องแล้ว เราก็ออกเดินทางไปยังจุดดำน้ำจุดต่างกัน
ซึ่งส่วนใหญ่การดำน้ำเค้าจะพาเราไปประมาน 5-6 จุด
จุดแรก *อ่าวลิง ที่ได้ชื่อนี้มา เพราะว่ามีลิงอาศัยอยู่ มาถึงที่นี่ก็ต้องระวังของเรานิดนึงนะ ลิงมันชอบขโมย
แต่ก็มีพี่ๆคนขับเรือคอยดูแลให้อยู่ ปะการังที่นี่สวยมาก มีปลากับปะการังเยอะมาก เพลินเลยหล่ะ
จุดต่อไป *เกาะผึ้งค่ะ เกาะนี้ ลึกกว่าเกาะที่แล้ว พี่เค้าบอกว่า เราจะเพิ่มเลเวลความยากไปเรื่อยๆน้าาาา
หลังจากว่ายน้ำจนหมดแรง ท้องก็เริ่มร้อง ดำน้ำจนเพลินลืมเวลาเลยค่ะ
ทริปดำน้ำที่เราซื้อเค้าเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้ และตบท้ายด้วยผลไม้อันแสนหวาน
พออิ่มท้องแล้วเราก็ลุยกันต่อเรยย
เกาะต่อไปปปปป เกาะหินงามค่ะ โดยหาดที่นี่จะเป็นสีดำ จากหาดทรายเนียนละเอียดกลายเป็นหาดหินอันสวยงาม
แต่บอกไว้ก่อนเรย ใส่รองเท้าลงไปกันด้วยนะค่ะ เพราะร้อนเท้าพองแน่นอน
หลังจากถ่ายรูปกับหาดหินอันสวยงามเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาดำน้ำกันต่อ
ที่ต่อไป ก็ไม่ใกล้ไม่ไกล เรย หลังเกาะหินงามนั้นเอง ที่นี่เจอปลาเป็นฝูงเลยอ่ะ
อย่างสวยยยย ปะการังก็เยอะ คือดีงามมากกก ต้องมาเห็นกับตา จริงๆน้าาา
ร่องน้ำจาบัง เป็นจุดดำน้ำสุดท้ายของวันนี้ พี่เค้าบอกว่าที่นี่มีปะการังสีแดงกับสีม่วง ร่องน้ำที่นี่ คลื่นจะแรงนิดๆ
ต้องไต่เชือกที่เค้าทำไว้ ไต่ไปเรื่อยๆจนถึงจุดตัดของเชือก นั้นแหละคือจุดพีคเลยหล่ะ มองลงไปค่ะใต้ท้องทะเล
เราจะเห็นปะการังสีแดงกับสีม่วง แถมมาด้วยปลา ประทับใจสุดๆเรย ถึงจะเหนื่อยก็เถอะ แต่ก็คุ้มมั๊กมากกกกกก 😍
กลับถึงที่พัก อาบน้ำพักผ่อนแป๊บนึง คืนนี้เราต้องลุยกันต่อ ที่ walking street
จากรีสอร์ท เราสามารถเดินไป walking street ได้ มันไม่ได้ไกลมาก วันที่ไป คนคึกคักกันพอสมควร
มาทะเลทั้งทีก็ต้องลองของเด็ดกันบ้างหล่ะ ถ้าอยากกินบุฟเฟ่ต์ทะเลที่นี่ก็มีนะค่ะ กุ้งหอยปูปลาก็มา
หรือจะเป็นโรตี ที่นี่มี 3-4 ร้านได้ เลือกเอาร้านที่ชอบเรย มีหลากหลายไส้ให้เลือกเรย 😋
แต่ที่ติดใจเรยก็คงจะเป็น ไอติมมะพร้าว ใส่ท็อปปิ้งเองตามชอบ
อิ่มเอมไปกับอาหารเรียบร้อย ต่อด้วย ร้านชิลๆกัน มีทั้งที่เป็นบาร์สไตล์บาหลี
แต่ส่วนใหญ่บาร์ที่นี้มีสไตล์การตกแต่งที่สวยงาม ใครมาก็เลือกเอาตามชอบเรย
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศ ก็กลับไปพักผ่อนกันเถอะ เพลียมาทั้งวันแล้ว ถ้าใครขี้เกียดเดินกลับ
ที่ walking street ที่นี่มีแท็กซี่ด้วยนะ คนละ 50 บาทค่ะ น่าตา Taxi ของเกาะจะเป็นเหมือนรถพวงข้างตามตลาดสด
เช้าวันที่ 3 ท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนเดิม แต่เวลาแห่งความสุขก็ผ่านไปเร็วเสมอ หมดเวลาสนุกแล้วหรอ
ต้องกลับไปโลกแห่งความวุ่นวายแล้วซินะ บายนะ หลีเป๊ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น