อันตรายเมื่อ หน้ามืด "วูบ" ล้มหัวฝาดพื้นหน้าห้องน้ำ

คืนก่อน เราตื่นมาปัสสาวะ พอเสร็จ กำลังจะก้าวออกจากประตูห้องน้ำ เรามีอาการเวียนหัวหน้ามืด มืดจริงๆค่ะ และวูบไปเลย รู้สึกอีกทีตอนหน้าผากกระแทกพื้น งงค่ะ เหมือนฝัน แต่มันคือความจริง เพราะปวดสิค่ะ เราค่อยๆทรงตัวและมานอนที่เตียง ลูบหน้าผาก หัวแตกมั้ยเนี่ย หรือเราตายละ หยิกตัวเอง เจ็บสิแล้วจะหยิกทำไมหัวก็ปวด ด้วยความเพลียเราคงนอนดึกเลยหลับไปค่ะ วันนี้หาข้อมูลในเน็ตมา เราคิดว่าตัวเองเป็นลม แต่ไม่ใช่ค่ะ มันคือ โรควูบ อันตรายมาก

โรควูบคือ อาการเป็นลมเกือบหมดสติ หรือบางรายหมดสติไป การเป็นลมหมดสติ มีตั้งแต่เป็นลมธรรมดา จนถึงเป็นลมเนื่องจากความผิดปกติขั้นรุนแรงของหัวใจ
       
       • อาการ
       
       อาการวูบหรือการเป็นลมหมดสติ เป็นอาการที่พบบ่อย เป็นภาวะที่ร่างกายสูญเสียความรู้สึกตัวและแรงของกล้ามเนื้อชั่วคราว อันเป็นผลมาจากเลือดไปเลี้ยงก้านประสาทสมองลดลง ซึ่งมีปัจจัยเกี่ยวข้องจากปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจและแรงต้านทานของหลอดเลือดทั่วร่างกาย อาการวูบนี้มักจะฟื้นกลับเป็นปกติได้เอง และอาจเป็นซ้ำได้อีก
       
       จากการสำรวจในต่างประเทศพบว่าเกือบ 10% ของผู้ป่วยที่มาพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา และผู้ใหญ่กว่า 50% ต่างเคยมีอาการวูบมาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง
       
       ผู้ป่วยโรควูบหมดสติที่หาสาเหตุไม่ได้ มีอัตราเสียชีวิตในปีแรกที่เป็น สูงถึง 6% โดย 4% เสียชีวิตแบบเฉียบพลัน แต่หากมีสาเหตุจากโรคหัวใจ อัตราเสียชีวิตในปีแรกที่เป็นจะสูงถึง 18 - 33% โดยที่ 24% เป็นการเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน
       
       สำหรับคนที่ปฏิบัติวิชาชีพ เช่น พนักงานขับรถ นักบิน กรรมกรก่อสร้าง หรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ยิ่งมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตหลังจากอาการวูบได้สูงขึ้น
       
       โรควูบแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีอาการวูบจากภาวะโลหิตต่ำชั่วคราว แต่ไม่ใช่อาการโรคหัวใจ หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาการเป็นลมทั่วไป เนื่องจากร่างกายทนกับสภาพแวดล้อมไม่ได้ โดยมีสาเหตุจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ยืนหรือนั่งนานเกินไป ส่วนอีกกลุ่มคือ อาการวูบจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ การอุดตันของเส้นเลือด
       
       • สาเหตุ
       
       สาเหตุของการเป็นลมเกือบหมดสติหรือหมดสติ มีหลายสาเหตุ ดังนี้
       
       1. ภาวะตกใจหรือเสียใจรุนแรง
       
       2. ไอหรือจามแรงมากเกินไป
       
       3. ขณะยืนถ่ายปัสสาวะ หรือหลังถ่ายปัสสาวะ หลังจากที่กลั้นมานาน
       
       4. ออกกำลังกายมากเกินไป
       
       5. หลังอาหารมื้อหนัก
       
       6. เส้นประสาทสมองที่ 5,9 อักเสบ
       
       7. เป็นโรคสมองเสื่อมหรือสมองฝ่อ
       
       8. โรคพาร์คินสัน บางรายที่มีระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติร่วมอยู่ด้วย
       
       9. โรคเบาหวาน ในรายที่เส้นประสาทโดนทำลายจากเบาหวาน
       
       10. จากยาบางชนิดเช่น รับประทานยาลดความดันมากเกินไป
       
       11. ดื่มสุรามากเกินไป
       
       12. จุดกำเนิดไฟฟ้าของหัวใจเสื่อมสภาพ
       
       13. เสียเลือดมาก หรือเสียน้ำออกจากร่ายกายมากเกินไป เช่น ท้องร่วงรุนแรง อาเจียนรุนแรง
       
       14. มีการกระตุ้นในระบบทางเดินอาหาร เช่น ล้วงคอ อาเจียน เบ่งถ่ายอุจจาระ ปวดท้องรุนแรง
       
       15. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง
       
       16. ระบบทางเดินไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพหรือผิดปกติ
       
       17. สาเหตุจากการเสียสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจและหลอดเลือด
       
       18. ภาวะเสียเลือดจากหัวใจอุดตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
       
       19. โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
       
       20. เนื้องอกในห้องหัวใจ
       
       21. ลิ้นหัวใจตีบรุนแรง
       
       22. ภาวะที่มีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจมาก และมีการกดการทำงานของหัวใจ
       
       23. ภาวะเสียเลือดใหญ่ที่ออกจากหัวใจแตก หรือมีการฉีกขาดรุนแรง
       
       24. มีลิ่มเลือดใหญ่ไปอุดตันเส้นเลือดในปอด
       
       25. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงมากเกินไป
       
       • การรักษา
       
       ผู้ป่วยที่มีประสบการณ์กับตนเองรวมถึงคนใกล้ชิดผู้ป่วยจะเกิดความวิตกกังวลสูญเสียความมั่นใจ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดจะเป็นลมหมดสติอีกเมื่อไร
       
       ดังนั้น ผู้ที่เคยมีอาการวูบ ควรเข้ารับการตรวจรักษาเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและหาหนทางแก้ไข แม้จะมีเพียง 75% ของคนที่เคยมีอาการวูบที่หาสาเหตุได้ แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอย่างน้อยอาการวูบก็เป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
       
       • อาการเตือนเป็นลมหมดสติ
       
       บางคนก่อนจะเป็นลมหมดสติ จะมีอาการเตือนนำมาก่อน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง อยากถ่าย เหงื่อแตก ตัวเย็น ถ้าเป็นจากโรคหัวใจอาจมีใจสั่นนำมาก่อน หรืออาจไม่มีอาการเตือนเลยก็ได้ ขณะหมดสติอาจมีอาการเกร็ง กระตุกได้ ซึ่งอาจทำให้สันสนกับโรคลมชัก
       
       ● ควรปฏิบัติตัวอย่างไร
       เมื่อกำลังจะเป็นลมหมดสติ
           
       เมื่อเริ่มมีอาการ ให้หาที่พักเกาะยึดไว้ และซอยเท้า เพื่อให้เลือดกลับสู่หัวใจได้มากขึ้น ถ้ายังไม่บรรเทา ให้นั่งลง และถ้ายังไม่ดีขึ้นให้นอนราบเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น และจะสามารถป้องกันการเป็นลมได้ รวมทั้งยังลดการเกิดการบาดเจ็บหากล้มกระแทกพิ้นหรือวัตถุอื่นๆ
           
       ถ้าขับรถอยู่ ควรจอดทันที แล้วปรับที่นั่งให้อยู่ในท่านอนราบ ถ้าอยู่ในรถโดยสารควรหาที่นั่ง/นอนในรถ แล้วรีบแจ้งคนรอบข้างว่ากำลังจะเป็นลม ไม่ควรรีบลงจากรถ เพราะอาจหมดสติตรงทางลง ทำให้เกิดอันตรายได้
       
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 137 พฤษภาคม 2555 โดย กองบรรณาธิการ)
จาก http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000061323
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่