จากมุมมองส่วนตัวของผมนะ
เพราะได้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับวัดนี้มานานทีเดียว
ก่อนที่จะคุยเรื่องคดี หรือเรื่องที่ว่าทำให้ใครมาเดือดร้อนหรือไม่นั้น จะขอเท้าความเกี่ยวกับตัวท่านเจ้าอาวาสก่อน
ให้ท่านผู้อ่านตัดสินด้วยตนเองว่า ท่านเจ้าอาวาสทำให้คนต้องเดือดร้อนจริงหรือไม่
เท่าที่ทราบก็คือท่านเจ้าอาวาสป่วยเบาหวานมา 20 ปีแล้ว เดินทางออกนอกวัดไปตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ท่านส่งคนไปเชิญดีเอสไอมาแจ้งข้อหาที่วัด เขาไม่ยอมมา
แต่เขาไปแจ้งข้อหาคุณศุภชัยที่ในคุกได้ หลังจากนั้นเขาก็ไปขอศาลออกหมายจับหลวงพ่อเลย ...
(ทั้งที่เขาเคยมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าหลวงพ่อท่านป่วยจริงๆ)
ปมปัญหามันอยู่ที่เมื่อตอนตั้งคดี เขาใช้กฎหมายผิดพลาดก่อปัญหาให้ตัวเอง
แล้วมาบังคับให้ผู้ป่วยเข้ากระบวนการ ซึ่งทำไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม
และมันกระเทือนหลักพื้นฐานการใช้กฎหมายทั้งระบบยุติธรรม
เพราะถ้าทำตามไปทั้งที่ผิด มันจะกลายเป็นการตั้งบรรทัดฐานใหม่
ในการบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนและพระสงฆ์ทั้งประเทศ
คือที่ผ่านมาการใช้กฎหมายมันบิดเบี้ยวผิดหลักการหลายครั้ง เช่น
1. เอาคดีที่ถอนฟ้องแล้วมาฟ้องใหม่ ซึ่งทำไม่ได้ ผิด ป. วิ อาญา. มาตรา 39 (2)
2. ตั้งคดีจากผู้ไม่มีอำนาจในการร้องทุกข์แทนสหกรณ์ ซึ่งทำไม่ได้ ผิด ป.อาญา มาตรา 5 (3)
3. ตั้งข้อหาดำเนินคดีโดยอาศัยคำร้องทุกข์ที่ไม่มีผลเป็นคำร้องทุกข์ ซึ่งทำไม่ได้ ผิดหลักฎีกาที่ 610/2515
4. ออกหมายจับโดยไม่มีการตรวจสอบอาการป่วยของประชาชน ซึ่งทำไม่ได้ ผิดหลักละเมิดสิทธิผู้ป่วย และผิดหลักฎีกาที่ 313/2480
5. นำคดีที่ฟ้องข้อหาฉ้อโกงประชาชนไม่ได้ มาใช้เป็นมูลฐานความผิดในการฟ้องข้อหาฟอกเงิน ซึ่งทำไม่ได้ ผิดหลักฎีกาที่ 87/2506
นี่คือความบิดเบี้ยวของการบังคับใช้กฎหมายที่เกิดขึ้นในเวลานี้
ดังนั้น อยากให้ใจเย็นๆ มองด้วยว่า ถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎหมายผิดพลาด
แล้วมาบังคับให้ประชาชนเข้ากระบวนการอย่างไม่ถูกต้อง เพื่อจะทำให้มันกลายเป็นสิ่งถูกต้อง
ประชาชนทั้งประเทศก็จะเดือดร้อนกันหมดทันที เพราะมันจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่กลับจากผิดเป็นถูกมาบังคับใช้ทั้งระบบยุติธรรม
ถ้ายอมให้บรรทัดฐานใหม่นี้เกิดขึ้นกับระบบยุติธรรม ความยุติธรรมมันจะเกิดขึ้นหรือไม่
แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ พระสงฆ์ซึ่งเลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาต
จะโดนข้อหารับบริจาคคือการรับของโจรทั้งประเทศจากความผิดพลาดในการใช้กฎหมายครั้งนี้ไปด้วย
ทางแก้ก็คือ ต้องให้ดีเอสไอไปทำทางเข้าให้กระบวนการกฎหมายถูกต้องก่อน แต่เขาไม่ยอมทำ แต่กลับนำกำลังมาบุกจับเลย
ลองเสิร์ชดูรายละเอียดข้อมูลตามมาตราและหมายเลขฎีกาที่ให้ไปว่าถูกต้องหรือไม่ ลองดูนะครับ ใจเย็นๆ กัน
พระรูปเดียวทำคนอื่นเดือดร้อนไปหมดจริงหรือ?
เพราะได้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับวัดนี้มานานทีเดียว
ก่อนที่จะคุยเรื่องคดี หรือเรื่องที่ว่าทำให้ใครมาเดือดร้อนหรือไม่นั้น จะขอเท้าความเกี่ยวกับตัวท่านเจ้าอาวาสก่อน
ให้ท่านผู้อ่านตัดสินด้วยตนเองว่า ท่านเจ้าอาวาสทำให้คนต้องเดือดร้อนจริงหรือไม่
เท่าที่ทราบก็คือท่านเจ้าอาวาสป่วยเบาหวานมา 20 ปีแล้ว เดินทางออกนอกวัดไปตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ท่านส่งคนไปเชิญดีเอสไอมาแจ้งข้อหาที่วัด เขาไม่ยอมมา
แต่เขาไปแจ้งข้อหาคุณศุภชัยที่ในคุกได้ หลังจากนั้นเขาก็ไปขอศาลออกหมายจับหลวงพ่อเลย ...
(ทั้งที่เขาเคยมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าหลวงพ่อท่านป่วยจริงๆ)
ปมปัญหามันอยู่ที่เมื่อตอนตั้งคดี เขาใช้กฎหมายผิดพลาดก่อปัญหาให้ตัวเอง
แล้วมาบังคับให้ผู้ป่วยเข้ากระบวนการ ซึ่งทำไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม
และมันกระเทือนหลักพื้นฐานการใช้กฎหมายทั้งระบบยุติธรรม
เพราะถ้าทำตามไปทั้งที่ผิด มันจะกลายเป็นการตั้งบรรทัดฐานใหม่
ในการบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนและพระสงฆ์ทั้งประเทศ
คือที่ผ่านมาการใช้กฎหมายมันบิดเบี้ยวผิดหลักการหลายครั้ง เช่น
1. เอาคดีที่ถอนฟ้องแล้วมาฟ้องใหม่ ซึ่งทำไม่ได้ ผิด ป. วิ อาญา. มาตรา 39 (2)
2. ตั้งคดีจากผู้ไม่มีอำนาจในการร้องทุกข์แทนสหกรณ์ ซึ่งทำไม่ได้ ผิด ป.อาญา มาตรา 5 (3)
3. ตั้งข้อหาดำเนินคดีโดยอาศัยคำร้องทุกข์ที่ไม่มีผลเป็นคำร้องทุกข์ ซึ่งทำไม่ได้ ผิดหลักฎีกาที่ 610/2515
4. ออกหมายจับโดยไม่มีการตรวจสอบอาการป่วยของประชาชน ซึ่งทำไม่ได้ ผิดหลักละเมิดสิทธิผู้ป่วย และผิดหลักฎีกาที่ 313/2480
5. นำคดีที่ฟ้องข้อหาฉ้อโกงประชาชนไม่ได้ มาใช้เป็นมูลฐานความผิดในการฟ้องข้อหาฟอกเงิน ซึ่งทำไม่ได้ ผิดหลักฎีกาที่ 87/2506
นี่คือความบิดเบี้ยวของการบังคับใช้กฎหมายที่เกิดขึ้นในเวลานี้
ดังนั้น อยากให้ใจเย็นๆ มองด้วยว่า ถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎหมายผิดพลาด
แล้วมาบังคับให้ประชาชนเข้ากระบวนการอย่างไม่ถูกต้อง เพื่อจะทำให้มันกลายเป็นสิ่งถูกต้อง
ประชาชนทั้งประเทศก็จะเดือดร้อนกันหมดทันที เพราะมันจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่กลับจากผิดเป็นถูกมาบังคับใช้ทั้งระบบยุติธรรม
ถ้ายอมให้บรรทัดฐานใหม่นี้เกิดขึ้นกับระบบยุติธรรม ความยุติธรรมมันจะเกิดขึ้นหรือไม่
แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ พระสงฆ์ซึ่งเลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาต
จะโดนข้อหารับบริจาคคือการรับของโจรทั้งประเทศจากความผิดพลาดในการใช้กฎหมายครั้งนี้ไปด้วย
ทางแก้ก็คือ ต้องให้ดีเอสไอไปทำทางเข้าให้กระบวนการกฎหมายถูกต้องก่อน แต่เขาไม่ยอมทำ แต่กลับนำกำลังมาบุกจับเลย
ลองเสิร์ชดูรายละเอียดข้อมูลตามมาตราและหมายเลขฎีกาที่ให้ไปว่าถูกต้องหรือไม่ ลองดูนะครับ ใจเย็นๆ กัน