การจัดอันดับทางการศึกษาไม่ว่า กี่ครั้งๆ ไทยจะอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายอาเซียน
ทั้งๆที่ ประเทศเราตัวเลขค่า GDP เรา เป็นรองแค่ มาเลย์ และ สิงคโปร์ เท่านั้น
อสูรย์ร้าย (มารร้าย) ทางการศึกษาไทย
อะไรเป็นอสูรย์ร้ายทางการศึกษา
อสูรย์ร้ายตัวนี้ มันสิงสู่ อยู่ในร่างของเทพ
ผู้มีความเมตตาปราณี หวังดี ต่อการศึกษา
ทำให้ดูไม่ค่อยออกว่ามันคือ อสูรย์ร้าย
ถึงจะมีหลายๆคนรู้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ เพราะมันสิงสู อยู่ในร่างเทพ
เจ้าอสูรย์ร้ายตัวนี้คือ
การไม่ยอมให้มีเด็กตกซ้ำชั้น
ซึ่งการไม่ยอมให้เด็กตกซ้ำชั้นนี้ มองเผินๆ อาจดูเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริง
มันเป็นเรื่องเลวร้าย ที่สุดๆๆ
เพราะมันเป็นต้นเหตุของการ โกหก หลอกลวง ฉ้อฉล และ การทุจริตฉ้อโกง
ในที่สุด
ใครสอบตก ไม่ว่าจะได้คะแนนต่ำขนาดไหน สุดท้ายก็ให้ผ่านได้หมด เพราะ
จะมีคะแนนช่วย เช่น คะแนนความตั้งใจ คะแนนกิจกรรม เป็นต้น มาช่วยไปได้เสมอ
ดังนั้น มันจึงเป็นเหมือนเทพ ที่มาช่วย (แผ่เมตตา) คนสอบตก
ดังนั้น มันจึงเป็นการโกหกหลอกลวง ของกระทรวงศึกษา ต่อเด็ก ต่อผู้ปกครองเด็ก
และ ต่อประชาชนชาวไทย ว่าประเทศนี้ ไม่มีเด็กตกซ้ำชั้นเลย และ การศึกษาไทย
ไม่มีปัญหาอะไรเลย
วิธีแก้
เนื่องจากมันสิงสู่ อยู่ในร่างของเทพ การจะยกเลิก (กำจัด) จึงเป็นเรื่องยาก
เพราะจะต้องมีการต่อต้าน จากกลุ่มคนที่เห็นว่ามันเป็นเทพ หรือเห็นประโยชน์
จากการฉ้อฉนนี้ (ยังต้องการ การหลอกต่อไป)
ดังนั้น
กระทรวงศึกษา
จะต้องเข้มแข็ง จริงจัง ในการชี้ (ฉีกหน้ากาก) ให้ชัดว่ามันเป็นอสูรย์ ที่ต้องกำจัดให้ได้
ตกแล้วซ่อม (แบบไม่มีคะแนนช่วย) จะดีที่สุดครับ เพราะจะทำให้คะแนนเด็กเฉลี่ยดีขึ้น
หรืออาจจะเอาแบบ การศึกษาผู้ใหญ่
เช่น
ถ้านาย A ปัจจุบันอยู่ ม. 6 วิชาเลข ที่ผ่านมาได้คะแนน 10 % ทุกชั้น (ตั้งแต่ ป. 1- ม.6)
แล้วจะให้นาย A ต้องทำคะแนนให้ได้ 50 % คงเป็นไปไม่ได้
เพราะ พื้นฐานไม่ดี (ได้คะแนนแค่ 10% มาตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6)
วิธีแก้
ให้นาย A สอบเทียบ วิชาเลข
เช่นลองเอาข้อสอบ ม.5 มาให้ทำ ถ้าเกิน 50 % ก็ ok
แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 50 %
ลองเอาข้อสอบ ม.4 มาให้ทำ
แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 50 %
ลองเอาข้อสอบ ม.3 มาให้ทำ
แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 50 %
ลองเอาข้อสอบ ม.2 มาให้ทำ
ลดลงเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คะแนนเกิน 50 %
ก็ให้ถือว่านาย A มีความรู้อยู่ในระดับนั้น
จากนั้น
นาย A จะต้องมาสอบเทียบกลับขึ้นไปจนกว่าจะถึงชั้น ม.6 (เหนื่อยครับ)
ทุกวิธี จะมีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย
แต่วิธีที่ใช้ในปัจจุบัน มีแต่ข้อเสีย
คะแนนเฉลี่ยของทั้งประเทศจึงต่ำอย่างที่เห็นๆกัน
ไม่มีข้อดีเลยครับ
นอกจาก
การสามารถต้อนเด็ก (ส่วนใหญ่)
ไปดูเขาเรียนหนังสือ ได้
ถือว่าเป็นข้อดีหรือเปล่าครับ ??
เด็กแต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน
คนเรียนไม่เก่ง แต่อาจจะเก่งในการประกอบอาชีพก็ได้
แต่กระทู้นี้
เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
จึงต้องทำเพื่อคนกลุ่มใหญ่ หรือ คนส่วนใหญ่
ส่วนคนเรียนไม่เก่ง แต่อาจจะเก่งในการประกอบอาชีพ
นั้นเป็นคนส่วนน้อยครับ
ดังนั้น
จึงต้องใช้ระบบตกแล้วซ่อม (แบบไม่มีคะแนนช่วย)
เพราะจะทำ (บังคับ) ให้คะแนนเด็กเฉลี่ยดีขึ้น
อาจดูใจร้ายกับเด็ก แต่มันจะเป็นผลดีกับอนาคตของเด็นแน่นอนครับ
คล้ายกฎหมาย
ที่ทุกคนจะต้องทำตาม
คงจะละเว้นให้ใครเป็นพิเศษไม่ได้
จบ
ข้างล่างนี้เป็นกระทู้เมื่อ 4 วันที่แล้ว (ใครอ่านแล้วก็ไม่ต้องอ่านครับ)
กระทรวงศึกษารังแกฉัน
เหตุที่การศึกษาไทยติดอันดับท้ายๆ ของโลก
เกิดจาก การปล่อยปะละเลย ในการวัดผล ไม่ว่าเด็กจะได้คะแนนต่ำขนาดไหน สุดท้ายก็ให้ผ่านได้หมด (ไม่ยอมให้เรียนซ้ำชั้น)
เพราะเกรงว่า เด็กจะมีปมด้อย เด็กจะเครียด และ เกรงว่าเด็กจะไม่ยอมเรียนต่อ หรือ เลิกเรียน หรือ ไปก่อปัญหาสังคม
ทั้งหมดนี้ อาจจะดูดี มีเมตตา หวังดี ปราดถนาดี
แต่ทั้งหมดนี้ กลับเป็นเหมือน การค่อยๆใส่ยาพิษให้เด็กกิน ทีละนิดๆ (ปีละนิดๆ) สุดท้ายก็ตายเป็นเบือ
ทำให้คนรุ่นใหม่เราอ่อนด้อยเรื่องการศึกษา ลงเรื่อยๆ (จนเกือบที่สุดในโลก)
การศึกษา เปรียบเหมือนอาวุธ ที่ใช้ในการออกศึก (เข้าหมาลัย และ ใช้ทำงาน)
แต่เด็กเหล่านี้ มีอาวุธ (ความรู้) เพียงคนละเล็กน้อย (ที่สะสมมา)
จึงตายเป็นเบือ (ตกทุกวิชา) เป็นส่วนใหญ่
เพราะ
กระทรวง ปล่อยปะละเลย ในการวัดผล ตั้งแต่อนุบาล จนถึง ม. 6 (ไม่ยอมให้ซ้ำชั้น)
ใครคะแนนต่ำ กระทรวง (ใจดี มีเมตตา) จะมีคะแนช่วย
เช่น คะแนนความตั้งใจ คะแนนกิจกรรม เป็นต้น
ทำให้เด็กส่วนใหญ่ (รวมถึงผู้ปกครองส่วนใหญ่) ไม่ให้ความสำคัญในการเรียน
ทำให้เข้าเรียนมหาลัย ได้ในคณะที่มีคะแนนต่ำๆ ได้เงินน้อยๆ
สุดท้าย ส่งผลให้ประเทศเราในอนาคต จะขาดคนเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มีความสามารถน้อยลงๆเรื่อยๆ
จึงกลายเป็น พ่อแม่ (ใจดี) รังแกฉัน (นิทานสอนใจ)
ลูกไม่อยากเรียน พ่อแม่ก็ตามใจ เพราะพ่อแม่รวย สามารถเลี้ยงลูกได้สบายๆ
แต่เมื่อพ่อแม่ ตายไป
ลูก (ที่ไม่มีความรู้) ผลาญเงินจนหมด เพราะไม่มีความรู้
ต้องขอทานกิน (มั้ง นานแล้วจำไม่ค่อยได้)
เช่นเดียวกัน
กระทรวงศึกษา (ใจดี) ก็รังแกเด็ก
เด็กคนไหนเรียนไม่เก่ง ไม่เป็นไร (ลูก)
เดี๋ยวป๋า (กระทรวง) ให้ผ่าน
จึงกลายเป็น
กระทรวงศึกษารังแกฉัน (เด็ก)
และกลายเป็นกระทรวงศึกษา รังแกชาตฺิ ในที่สุด
ดังนั้น ทางแก้
กระทรวงศึกษา
จะต้องวัดผลคะแนนอย่างจริงจัง ไม่มีคะแนนช่วย (ตกเป็นตก) ตั้งแต่อนุบาล ถึง ม. 6
ยกเลิกการใช้คำถาม ก ข ค ง เพราะ หลับตาทำ ยังอาจได้คะแนนประมาณ 25 %
ยกเลิกการใช้คำถาม กาถูกผิด เพราะ หลับตาทำ ยังอาจได้คะแนนประมาณ 50 %
ดังนั้น
จึงใช้เป็นคำถามวัดผลไม่ได้เลย
ถ้าช่วยเด็ก 2 - 3 เปอร์เซ็นต์ ไม่ให้ตก
จะกลายเป็น ทำให้เด็ก 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ภาคเพรียร ไม่จริงจัง ในการศึกษา
เพราะเรียนแย่ขนาดไหนก็ไม่มีตก
จึงทำให้เด็ก (ส่วนใหญ่) ในประเทศเราอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ
หวานเป็นลมขมเป็นยา ครับ
หมายเหตุ
เด็กเราเก่งมากๆ ไปแข่งการศึกษาโอลิปิค ได้เหรีญมามากมาย
แปลว่า การศึกษาของเราอยู่ในแนวหน้าของโลก
แต่เด็ก โดยเฉลี่ยของเรา มีคะแนนต่ำมากๆ
แปลว่า การศึกษาของเรา ห่วยมากๆ
อ่าว ! ตกลงการศึกษาของเรามันดี หรือ ห่วยกันแน่ครับ ?
ที่ได้เหรีญโอลิมปิคมา
เพราะครูเราเก่ง
แต่ที่คะแนนเด็กโดยเฉลี่ยต่ำมากๆ
เพราะกระทรวงศึกษาห่วยครับ
ที่บังคับให้เด็กผ่าน ไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่
โดยใช้คะแนนช่วย
ฉีกหน้ากากอสูรย์ร้ายทางการศึกษา ???
ทั้งๆที่ ประเทศเราตัวเลขค่า GDP เรา เป็นรองแค่ มาเลย์ และ สิงคโปร์ เท่านั้น
อสูรย์ร้าย (มารร้าย) ทางการศึกษาไทย
อะไรเป็นอสูรย์ร้ายทางการศึกษา
อสูรย์ร้ายตัวนี้ มันสิงสู่ อยู่ในร่างของเทพ ผู้มีความเมตตาปราณี หวังดี ต่อการศึกษา
ทำให้ดูไม่ค่อยออกว่ามันคือ อสูรย์ร้าย
ถึงจะมีหลายๆคนรู้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ เพราะมันสิงสู อยู่ในร่างเทพ
เจ้าอสูรย์ร้ายตัวนี้คือ การไม่ยอมให้มีเด็กตกซ้ำชั้น
ซึ่งการไม่ยอมให้เด็กตกซ้ำชั้นนี้ มองเผินๆ อาจดูเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริง
มันเป็นเรื่องเลวร้าย ที่สุดๆๆ
เพราะมันเป็นต้นเหตุของการ โกหก หลอกลวง ฉ้อฉล และ การทุจริตฉ้อโกง ในที่สุด
ใครสอบตก ไม่ว่าจะได้คะแนนต่ำขนาดไหน สุดท้ายก็ให้ผ่านได้หมด เพราะ
จะมีคะแนนช่วย เช่น คะแนนความตั้งใจ คะแนนกิจกรรม เป็นต้น มาช่วยไปได้เสมอ
ดังนั้น มันจึงเป็นเหมือนเทพ ที่มาช่วย (แผ่เมตตา) คนสอบตก
ดังนั้น มันจึงเป็นการโกหกหลอกลวง ของกระทรวงศึกษา ต่อเด็ก ต่อผู้ปกครองเด็ก
และ ต่อประชาชนชาวไทย ว่าประเทศนี้ ไม่มีเด็กตกซ้ำชั้นเลย และ การศึกษาไทย
ไม่มีปัญหาอะไรเลย
วิธีแก้
เนื่องจากมันสิงสู่ อยู่ในร่างของเทพ การจะยกเลิก (กำจัด) จึงเป็นเรื่องยาก
เพราะจะต้องมีการต่อต้าน จากกลุ่มคนที่เห็นว่ามันเป็นเทพ หรือเห็นประโยชน์
จากการฉ้อฉนนี้ (ยังต้องการ การหลอกต่อไป)
ดังนั้น
กระทรวงศึกษา
จะต้องเข้มแข็ง จริงจัง ในการชี้ (ฉีกหน้ากาก) ให้ชัดว่ามันเป็นอสูรย์ ที่ต้องกำจัดให้ได้
ตกแล้วซ่อม (แบบไม่มีคะแนนช่วย) จะดีที่สุดครับ เพราะจะทำให้คะแนนเด็กเฉลี่ยดีขึ้น
หรืออาจจะเอาแบบ การศึกษาผู้ใหญ่
เช่น
ถ้านาย A ปัจจุบันอยู่ ม. 6 วิชาเลข ที่ผ่านมาได้คะแนน 10 % ทุกชั้น (ตั้งแต่ ป. 1- ม.6)
แล้วจะให้นาย A ต้องทำคะแนนให้ได้ 50 % คงเป็นไปไม่ได้
เพราะ พื้นฐานไม่ดี (ได้คะแนนแค่ 10% มาตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6)
วิธีแก้
ให้นาย A สอบเทียบ วิชาเลข
เช่นลองเอาข้อสอบ ม.5 มาให้ทำ ถ้าเกิน 50 % ก็ ok
แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 50 %
ลองเอาข้อสอบ ม.4 มาให้ทำ
แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 50 %
ลองเอาข้อสอบ ม.3 มาให้ทำ
แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 50 %
ลองเอาข้อสอบ ม.2 มาให้ทำ
ลดลงเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คะแนนเกิน 50 %
ก็ให้ถือว่านาย A มีความรู้อยู่ในระดับนั้น
จากนั้น
นาย A จะต้องมาสอบเทียบกลับขึ้นไปจนกว่าจะถึงชั้น ม.6 (เหนื่อยครับ)
ทุกวิธี จะมีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย
แต่วิธีที่ใช้ในปัจจุบัน มีแต่ข้อเสีย
คะแนนเฉลี่ยของทั้งประเทศจึงต่ำอย่างที่เห็นๆกัน
ไม่มีข้อดีเลยครับ
นอกจาก
การสามารถต้อนเด็ก (ส่วนใหญ่) ไปดูเขาเรียนหนังสือ ได้
ถือว่าเป็นข้อดีหรือเปล่าครับ ??
เด็กแต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน
คนเรียนไม่เก่ง แต่อาจจะเก่งในการประกอบอาชีพก็ได้
แต่กระทู้นี้
เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
จึงต้องทำเพื่อคนกลุ่มใหญ่ หรือ คนส่วนใหญ่
ส่วนคนเรียนไม่เก่ง แต่อาจจะเก่งในการประกอบอาชีพ
นั้นเป็นคนส่วนน้อยครับ
ดังนั้น
จึงต้องใช้ระบบตกแล้วซ่อม (แบบไม่มีคะแนนช่วย)
เพราะจะทำ (บังคับ) ให้คะแนนเด็กเฉลี่ยดีขึ้น
อาจดูใจร้ายกับเด็ก แต่มันจะเป็นผลดีกับอนาคตของเด็นแน่นอนครับ
คล้ายกฎหมาย
ที่ทุกคนจะต้องทำตาม
คงจะละเว้นให้ใครเป็นพิเศษไม่ได้
จบ
ข้างล่างนี้เป็นกระทู้เมื่อ 4 วันที่แล้ว (ใครอ่านแล้วก็ไม่ต้องอ่านครับ)
กระทรวงศึกษารังแกฉัน
เหตุที่การศึกษาไทยติดอันดับท้ายๆ ของโลก
เกิดจาก การปล่อยปะละเลย ในการวัดผล ไม่ว่าเด็กจะได้คะแนนต่ำขนาดไหน สุดท้ายก็ให้ผ่านได้หมด (ไม่ยอมให้เรียนซ้ำชั้น)
เพราะเกรงว่า เด็กจะมีปมด้อย เด็กจะเครียด และ เกรงว่าเด็กจะไม่ยอมเรียนต่อ หรือ เลิกเรียน หรือ ไปก่อปัญหาสังคม
ทั้งหมดนี้ อาจจะดูดี มีเมตตา หวังดี ปราดถนาดี
แต่ทั้งหมดนี้ กลับเป็นเหมือน การค่อยๆใส่ยาพิษให้เด็กกิน ทีละนิดๆ (ปีละนิดๆ) สุดท้ายก็ตายเป็นเบือ
ทำให้คนรุ่นใหม่เราอ่อนด้อยเรื่องการศึกษา ลงเรื่อยๆ (จนเกือบที่สุดในโลก)
การศึกษา เปรียบเหมือนอาวุธ ที่ใช้ในการออกศึก (เข้าหมาลัย และ ใช้ทำงาน)
แต่เด็กเหล่านี้ มีอาวุธ (ความรู้) เพียงคนละเล็กน้อย (ที่สะสมมา)
จึงตายเป็นเบือ (ตกทุกวิชา) เป็นส่วนใหญ่
เพราะ
กระทรวง ปล่อยปะละเลย ในการวัดผล ตั้งแต่อนุบาล จนถึง ม. 6 (ไม่ยอมให้ซ้ำชั้น)
ใครคะแนนต่ำ กระทรวง (ใจดี มีเมตตา) จะมีคะแนช่วย
เช่น คะแนนความตั้งใจ คะแนนกิจกรรม เป็นต้น
ทำให้เด็กส่วนใหญ่ (รวมถึงผู้ปกครองส่วนใหญ่) ไม่ให้ความสำคัญในการเรียน
ทำให้เข้าเรียนมหาลัย ได้ในคณะที่มีคะแนนต่ำๆ ได้เงินน้อยๆ
สุดท้าย ส่งผลให้ประเทศเราในอนาคต จะขาดคนเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มีความสามารถน้อยลงๆเรื่อยๆ
จึงกลายเป็น พ่อแม่ (ใจดี) รังแกฉัน (นิทานสอนใจ)
ลูกไม่อยากเรียน พ่อแม่ก็ตามใจ เพราะพ่อแม่รวย สามารถเลี้ยงลูกได้สบายๆ
แต่เมื่อพ่อแม่ ตายไป
ลูก (ที่ไม่มีความรู้) ผลาญเงินจนหมด เพราะไม่มีความรู้
ต้องขอทานกิน (มั้ง นานแล้วจำไม่ค่อยได้)
เช่นเดียวกัน
กระทรวงศึกษา (ใจดี) ก็รังแกเด็ก
เด็กคนไหนเรียนไม่เก่ง ไม่เป็นไร (ลูก)
เดี๋ยวป๋า (กระทรวง) ให้ผ่าน
จึงกลายเป็น
กระทรวงศึกษารังแกฉัน (เด็ก)
และกลายเป็นกระทรวงศึกษา รังแกชาตฺิ ในที่สุด
ดังนั้น ทางแก้
กระทรวงศึกษา
จะต้องวัดผลคะแนนอย่างจริงจัง ไม่มีคะแนนช่วย (ตกเป็นตก) ตั้งแต่อนุบาล ถึง ม. 6
ยกเลิกการใช้คำถาม ก ข ค ง เพราะ หลับตาทำ ยังอาจได้คะแนนประมาณ 25 %
ยกเลิกการใช้คำถาม กาถูกผิด เพราะ หลับตาทำ ยังอาจได้คะแนนประมาณ 50 %
ดังนั้น
จึงใช้เป็นคำถามวัดผลไม่ได้เลย
ถ้าช่วยเด็ก 2 - 3 เปอร์เซ็นต์ ไม่ให้ตก
จะกลายเป็น ทำให้เด็ก 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ภาคเพรียร ไม่จริงจัง ในการศึกษา
เพราะเรียนแย่ขนาดไหนก็ไม่มีตก
จึงทำให้เด็ก (ส่วนใหญ่) ในประเทศเราอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ
หวานเป็นลมขมเป็นยา ครับ
หมายเหตุ
เด็กเราเก่งมากๆ ไปแข่งการศึกษาโอลิปิค ได้เหรีญมามากมาย
แปลว่า การศึกษาของเราอยู่ในแนวหน้าของโลก
แต่เด็ก โดยเฉลี่ยของเรา มีคะแนนต่ำมากๆ
แปลว่า การศึกษาของเรา ห่วยมากๆ
อ่าว ! ตกลงการศึกษาของเรามันดี หรือ ห่วยกันแน่ครับ ?
ที่ได้เหรีญโอลิมปิคมา
เพราะครูเราเก่ง
แต่ที่คะแนนเด็กโดยเฉลี่ยต่ำมากๆ
เพราะกระทรวงศึกษาห่วยครับ
ที่บังคับให้เด็กผ่าน ไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่
โดยใช้คะแนนช่วย