Collateral Beauty ความตาย เวลา และความรัก (ฉบับวิเคราะห์ตัวละคร) มีสปอยค่ะ

รีวิวฉบับนี้เขียนขึ้นจากความรู้สึกส่วนตัว และการตีความตามที่เรารู้สึกค่ะ



เรื่อง Collateral Beauty เป็นหนังดราม่าที่รวมนักแสดงขายฝีมือไว้ในเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องที่คะแนนหนังออกมาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และคำวิจารณ์ด้านลบมีมากกว่าด้านบวก แต่เราดูตัวอย่างแล้วอยากดูค่ะ เป็นสไตล์หนังแบบที่ถูกจริตเราบวกกับดนตรีที่เพราะมาก (composer จาก The secret life of Walter Mitty หนังสร้างแรงบันดาลใจที่ทุกคนรู้จักกันดี)

อาจจะเพราะทำใจกับคะแนนวิจารณ์มาหน่อยแล้ว เลยไม่ได้คาดหวังไว้มาก  แต่ผลคือ ดีกว่าที่คาดไว้พอสมควรเลย อาจจะไม่ได้พีคเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวจะรีวิวให้ดูกันเป็นส่วนๆค่ะ

ก่อนอื่นเกริ่นเล่าเรื่องย่อเล็กน้อย...

ฮาวเวิร์ด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งชีวิตที่ดีๆได้พังทลายลงจากการสูญเสียลูกสาวคนเดียวของเขา เขาอยู่อย่างสิ้นหวังและไร้จิตใจจนกระทั่งเขาตัดสินใจเขียนจดหมายถึงสิ่งนามธรรมสามอย่าง ได้แก่ ความตาย เวลา และความรัก โดยนามธรรมทั้งสามได้ปรากฎตัวต่อหน้าเขาและให้ข้อคิดเพื่อให้เขาได้ยอมรับการสูญเสียนั้น

เนื้อเรื่องตามเทรลเลอร์หนังคือประมาณนี้ค่ะ
พอเข้าไปดู แค่ไม่กี่ฉากแรก รู้เลยว่า เทรลเลอร์หนังมันหลอกไปครึ่งนึงเลย

**************************************

ในหนัง ฮาวเวิร์ดมีเพื่อนสามคน คือ วิท แคลร์ และ ไซมอน ซึ่งทั้งสามเห็นสภาพที่ไร้ชีวิตจิตใจของฮาวเวิร์ดที่มีผลกระทบหนักกับบริษัทแล้วจึงจ้างนักสืบติดตามชีวิตฮาวเวิร์ด ว่าเป็นยังไง ทำอะไร ที่ไหน จนได้รู้ว่าฮาวเวิร์ดได้เขียนจดหมายถึงนามธรรมสามสิ่งข้างต้น ทั้งสามคนจึงออกอุบายที่จะทำให้บอร์ดบริหารเห็นว่าฮาวเวิร์ดอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่ปกติ  โดยการจ้างนักแสดงตกอับ 3 คน มารับบทบาทเป็นนามธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ฮาวเวิร์ดเชื่อว่าตัวเองเห็นสามคนนั้นเพียงคนเดียว (เอาตรงๆคือ เพื่อให้คนในบอร์ดคิดว่าฮาวเวิร์ดเป็นบ้านั่นแหละ ฮาวเวิร์ดจะได้ยอมรับว่าตัวเองไม่อยู่ในสภาพที่จะบริหารงานต่อไปได้ในระยะนี้จนกว่าจะได้รับการรักษา)

ทีนี้ เราจะมาลองวิเคราะห์ตัวละครกัน
เริ่มจาก

นามธรรมทั้งสาม

มันมีสิ่งหนึ่งที่เราตะหงิดใจจนตอนจบของเรื่อง ว่า สรุป นามธรรมทั้งสาม มีตัวตนจริงๆหรือไม่ เพราะเราดูได้จากการจับคู่เพื่อร่วมงานกันระหว่างเพื่อนของฮาวเวิร์ดสามคน กับ นามธรรมสามสิ่ง เราจะลองวิเคราะห์เป็นคู่ๆนะคะ

คู่แรก - บริจิท - รับบท ความตาย
จับคู่กับ ไซมอน

เจ้าป้า Helen Mirren ที่รักของหนู ออกไม่เยอะมาก แต่ทรงพลังจริงๆ บริจิทคือหัวหน้าทีมนักแสดงละครเวที ที่เพื่อนร่วมงานของฮาวเวิร์ดได้ว่าจ้างให้มารับบทนี้ โดยไซมอน ( Micheal Pena กับการพลิกบทบาทกลายเป็นไม่ตลก ดราม่า เฮียแกแสดงดีด้วย) เป็นคนช่วยบอกข้อมูลต่างๆ เพื่อให้มีความสมจริง
แต่ในความจริง บริจิท เป็นใครกันแน่ เธอชอบสั่งสอน เจ้ากี้เจ้าการ และมีพลังบางอย่างที่กระตุ้นให้คนยอมรับความเป็นจริง เนื่องจากไซมอนป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และกำลังจะตายในไม่ช้า แต่ไซมอนเลือกที่จะไม่บอกใคร เพราะเกรงว่าจะทำให้ทุกคนช๊อคและใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข  การรู้จักบริจิท ซึ่งรับบทความตาย   ได้ทำให้ไซมอนยอมรับในที่สุด ว่าตัวเองกำลังจะตาย และควรที่จะบอกคนในครอบครัว เพื่อให้สามารถใช้เวลาในช่วงสุดท้ายอย่างดีที่สุด เราชอบพาร์ทของสองคนนี้ค่ะ เราคิดว่าสองคนนี้มีเคมีเข้ากันจริงๆ เป็นพาร์ทเส้นเรื่องที่ดีที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้

คู่ที่สอง - ราฟฟี่ - รับบทเวลา
จับคู่กับแคลร์

ไม่รู้เป็นเราคนเดียวรึเปล่านะ แต่เส้นเรื่องนี้เราคิดว่าเบาหวิวสุด และไม่จำเป็นสุดในเรื่องเลย ราฟฟี่เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในกลุ่มนักแสดงของบริจิท เขารับบทเวลา โดยแคลร์ (Kate Winslet) เป็นคนคอยชี้แนะข้อมูล ซึ่งตัวแคลร์มีปมเรื่องอยากมีลูก (แต่หนังไม่ได้บอกนะ ว่า ทำไมถึงอยากมี ทำไมถึงต้องหาคนบริจาคสเปิร์ม) ระหว่าง เวลา กับ แคลร์ จึงเป็นเรื่องของการยอมรับความจริงว่า อะไรที่มันไม่ได้ ก็คือไม่ได้ อย่าไปฝืนธรรมชาติ ปล่อยให้มันเป็นไป

คู่สาม - เอมี่ - รับบทความรัก
จับคู่กับ วิท เพื่อนรักของฮาวเวิร์ด
เอมี่ (Keira Knightley) เป็นสาวที่มีอารมณ์อ่อนไหวมากๆ และมีความคิดลึกซึ้ง โรแมนติค เมื่อมาทำงานร่วมกับวิท ซึ่งเจ้าชู้ และมีปัญหาครอบครัว ลูกสาวเกลียดอีก จึงคล้ายๆกับว่า เอมี่ ช่วยทำให้วิท ได้ยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำกับครอบครัว และกล้าเผชิญหน้ากับความผิดนั้น และพร้อมที่จะปรับปรุงตัวใหม่ โดยมีความรักที่มีต่อลูกสาวเป็นตัวขับเคลื่อน

ดังนั้น
ความตาย + ไซมอน = ยอมรับความจริงที่กำลังจะเกิดเพื่อที่จะอยู่กับมันให้ได้
เวลา + แคลร์ = ยอมรับความจริงตามธรรมชาติโดยที่ไม่ควรจะไปฝืนมัน ปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาจิตใจ
ความรัก + วิท = ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ และใช้ความรักขับเคลื่อนชีวิตเพื่อแก้ไขบางสิ่ง

นี่เอาตรงๆเลยค่ะ หนังเจาะที่สามคนนี้ไปพร้อมๆกับชีวิตของพระเอกเรา โดยพระเอกเป็นจุดรวมของการยอมรับความจริงครั้งใหญ่


นอกจากนี้อีกตัวละครที่มีบทบาทสำคัญคือ เมเดลีน (Naomie Harris) ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำกลุ่มนักจิตบำบัดที่สูญเสียลูกสาวไปเช่นกัน

เมื่อหนังเฉลยว่า เมเดลีนคือภรรยาของฮาวเวิร์ด (แต่เอาจริงๆ เราพอเดาได้ตั้งแต่กลางๆเรื่องละ) จะทำให้เราเห็นได้ว่า เธอพบเจอความสูญเสียแบบเดียวกัน แต่เธอสามารถอยู่กับมันได้ เพราะเธอกล้ายอมรับและกล้าเผชิญหน้ากับความตายของลูกสาว (ในหนังมีซีนที่บริจิท พูดกับเมเดลีนใน รพ ตอนที่เธอกำลังสูญเสียลูกไป เป็นอีกหนึ่งสิ่งทำให้เราตั้งคำถามว่า บริจิท เป็นใครกันแน่)

มาถึงสุดท้ายค่ะ
ฮาวเวิร์ด (Will Smith)
พระเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของบุคคลที่พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่จนทำลายจิตวิญญานทั้งหมด และเป็นตัวแทนของบุคคลที่ "ไม่ปล่อยวาง"
การกระทำตลอดเรื่อง เราอาจจะคิดว่าน่ารำคาญนะคะ เพราะมันช่างไร้เหตุผล ช่างไร้ความคิดมากๆ แต่หากเรามองไปลึกอีกนิด เขาคือ คนที่หมออาลัยตายอยาก แต่เค้าไม่ได้มีความคิดจะฆ่าตัวตาย เค้าแค่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร จึงแสดงออกโดยการทำเรื่องเดิมๆซ้ำๆ การนั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จา เพราะเหตุผลเดียวในสมองเค้าคือ "มันจะได้อะไรขึ้นมา"
แต่ในที่สุด เมื่อเขายอมรับกับความสูญเสียนั้น เค้าเห็นภาพของตัวเองที่ไม่ต่างอะไรจากคนบ้าคนนึง เค้าจึงเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า อะไรควรทำ และไม่ควรทำ จนกล้าที่จะยอมรับความจริงที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตของเขาได้

ดังนั้น นามธรรมทั้งสาม อาจจะตีความได้ว่า ไม่ได้ถูกว่าจ้างมาให้ช่วยฮาเวิร์ดหรอกค่ะ แต่นามธรรมทั้งสาม อาจจะเป็น เวลา ความรัก ความตายจริงๆ ที่มาช่วยเพื่อนของฮาวเวิร์ดทั้งสามคนและการช่วยเพื่อนทั้งสามคน จะนำไปสู่การช่วยเหลือฮาวเวิร์ดได้ในที่สุด

จากที่เล่าๆมา หนังมีจุดโบ๋ใหญ่ๆเลยคือ การลงลึกของตัวบทที่ไม่มากพอค่ะ จริงๆเนื้อเรื่อง concept ดีมากๆนะ เพียงแค่ทำได้ไม่ถึงแก่น ดึงเราไม่สุด เลยต้องอาศัยการตีความต่อยอดของเราเอง ทำให้เราสามารถดูเรื่องนี้ได้อย่างสนุกและเข้าใจ

ถึงจะไม่พีค แต่ไม่แย่ค่ะ พิจารณาตัวละครดีๆ ข้อคิดที่แฝงมาเราว่าหนังค่อนข้างสื่อตรงๆชัดๆ ดูไม่ยาก (อาจจะเบาเกินไปจนหลายๆคนคิดว่ามันห่วย ก็นานาจิตตังนะคะ เราดูแบบชาวบ้านๆ ไม่ได้ลงลึกแบบจิตวิทยาอะไร)

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ  อมยิ้ม17
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่