รีวิวฉบับนี้เขียนขึ้นจากความรู้สึกส่วนตัว และการตีความตามที่เรารู้สึกค่ะ
เรื่อง Collateral Beauty เป็นหนังดราม่าที่รวมนักแสดงขายฝีมือไว้ในเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องที่คะแนนหนังออกมาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และคำวิจารณ์ด้านลบมีมากกว่าด้านบวก แต่เราดูตัวอย่างแล้วอยากดูค่ะ เป็นสไตล์หนังแบบที่ถูกจริตเราบวกกับดนตรีที่เพราะมาก (composer จาก The secret life of Walter Mitty หนังสร้างแรงบันดาลใจที่ทุกคนรู้จักกันดี)
อาจจะเพราะทำใจกับคะแนนวิจารณ์มาหน่อยแล้ว เลยไม่ได้คาดหวังไว้มาก แต่ผลคือ ดีกว่าที่คาดไว้พอสมควรเลย อาจจะไม่ได้พีคเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวจะรีวิวให้ดูกันเป็นส่วนๆค่ะ
ก่อนอื่นเกริ่นเล่าเรื่องย่อเล็กน้อย...
ฮาวเวิร์ด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งชีวิตที่ดีๆได้พังทลายลงจากการสูญเสียลูกสาวคนเดียวของเขา เขาอยู่อย่างสิ้นหวังและไร้จิตใจจนกระทั่งเขาตัดสินใจเขียนจดหมายถึงสิ่งนามธรรมสามอย่าง ได้แก่ ความตาย เวลา และความรัก โดยนามธรรมทั้งสามได้ปรากฎตัวต่อหน้าเขาและให้ข้อคิดเพื่อให้เขาได้ยอมรับการสูญเสียนั้น
เนื้อเรื่องตามเทรลเลอร์หนังคือประมาณนี้ค่ะ
พอเข้าไปดู แค่ไม่กี่ฉากแรก รู้เลยว่า เทรลเลอร์หนังมันหลอกไปครึ่งนึงเลย
**************************************
ในหนัง ฮาวเวิร์ดมีเพื่อนสามคน คือ วิท แคลร์ และ ไซมอน ซึ่งทั้งสามเห็นสภาพที่ไร้ชีวิตจิตใจของฮาวเวิร์ดที่มีผลกระทบหนักกับบริษัทแล้วจึงจ้างนักสืบติดตามชีวิตฮาวเวิร์ด ว่าเป็นยังไง ทำอะไร ที่ไหน จนได้รู้ว่าฮาวเวิร์ดได้เขียนจดหมายถึงนามธรรมสามสิ่งข้างต้น ทั้งสามคนจึงออกอุบายที่จะทำให้บอร์ดบริหารเห็นว่าฮาวเวิร์ดอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่ปกติ โดยการจ้างนักแสดงตกอับ 3 คน มารับบทบาทเป็นนามธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ฮาวเวิร์ดเชื่อว่าตัวเองเห็นสามคนนั้นเพียงคนเดียว (เอาตรงๆคือ เพื่อให้คนในบอร์ดคิดว่าฮาวเวิร์ดเป็นบ้านั่นแหละ ฮาวเวิร์ดจะได้ยอมรับว่าตัวเองไม่อยู่ในสภาพที่จะบริหารงานต่อไปได้ในระยะนี้จนกว่าจะได้รับการรักษา)
ทีนี้ เราจะมาลองวิเคราะห์ตัวละครกัน
เริ่มจาก
นามธรรมทั้งสาม
มันมีสิ่งหนึ่งที่เราตะหงิดใจจนตอนจบของเรื่อง ว่า สรุป นามธรรมทั้งสาม มีตัวตนจริงๆหรือไม่ เพราะเราดูได้จากการจับคู่เพื่อร่วมงานกันระหว่างเพื่อนของฮาวเวิร์ดสามคน กับ นามธรรมสามสิ่ง เราจะลองวิเคราะห์เป็นคู่ๆนะคะ
คู่แรก - บริจิท - รับบท ความตาย
จับคู่กับ ไซมอน
เจ้าป้า Helen Mirren ที่รักของหนู ออกไม่เยอะมาก แต่ทรงพลังจริงๆ บริจิทคือหัวหน้าทีมนักแสดงละครเวที ที่เพื่อนร่วมงานของฮาวเวิร์ดได้ว่าจ้างให้มารับบทนี้ โดยไซมอน ( Micheal Pena กับการพลิกบทบาทกลายเป็นไม่ตลก ดราม่า เฮียแกแสดงดีด้วย) เป็นคนช่วยบอกข้อมูลต่างๆ เพื่อให้มีความสมจริง
แต่ในความจริง บริจิท เป็นใครกันแน่ เธอชอบสั่งสอน เจ้ากี้เจ้าการ และมีพลังบางอย่างที่กระตุ้นให้คนยอมรับความเป็นจริง เนื่องจากไซมอนป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และกำลังจะตายในไม่ช้า แต่ไซมอนเลือกที่จะไม่บอกใคร เพราะเกรงว่าจะทำให้ทุกคนช๊อคและใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข การรู้จักบริจิท ซึ่งรับบทความตาย ได้ทำให้ไซมอนยอมรับในที่สุด ว่าตัวเองกำลังจะตาย และควรที่จะบอกคนในครอบครัว เพื่อให้สามารถใช้เวลาในช่วงสุดท้ายอย่างดีที่สุด เราชอบพาร์ทของสองคนนี้ค่ะ เราคิดว่าสองคนนี้มีเคมีเข้ากันจริงๆ เป็นพาร์ทเส้นเรื่องที่ดีที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้
คู่ที่สอง - ราฟฟี่ - รับบทเวลา
จับคู่กับแคลร์
ไม่รู้เป็นเราคนเดียวรึเปล่านะ แต่เส้นเรื่องนี้เราคิดว่าเบาหวิวสุด และไม่จำเป็นสุดในเรื่องเลย ราฟฟี่เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในกลุ่มนักแสดงของบริจิท เขารับบทเวลา โดยแคลร์ (Kate Winslet) เป็นคนคอยชี้แนะข้อมูล ซึ่งตัวแคลร์มีปมเรื่องอยากมีลูก (แต่หนังไม่ได้บอกนะ ว่า ทำไมถึงอยากมี ทำไมถึงต้องหาคนบริจาคสเปิร์ม) ระหว่าง เวลา กับ แคลร์ จึงเป็นเรื่องของการยอมรับความจริงว่า อะไรที่มันไม่ได้ ก็คือไม่ได้ อย่าไปฝืนธรรมชาติ ปล่อยให้มันเป็นไป
คู่สาม - เอมี่ - รับบทความรัก
จับคู่กับ วิท เพื่อนรักของฮาวเวิร์ด
เอมี่ (Keira Knightley) เป็นสาวที่มีอารมณ์อ่อนไหวมากๆ และมีความคิดลึกซึ้ง โรแมนติค เมื่อมาทำงานร่วมกับวิท ซึ่งเจ้าชู้ และมีปัญหาครอบครัว ลูกสาวเกลียดอีก จึงคล้ายๆกับว่า เอมี่ ช่วยทำให้วิท ได้ยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำกับครอบครัว และกล้าเผชิญหน้ากับความผิดนั้น และพร้อมที่จะปรับปรุงตัวใหม่ โดยมีความรักที่มีต่อลูกสาวเป็นตัวขับเคลื่อน
ดังนั้น
ความตาย + ไซมอน = ยอมรับความจริงที่กำลังจะเกิดเพื่อที่จะอยู่กับมันให้ได้
เวลา + แคลร์ = ยอมรับความจริงตามธรรมชาติโดยที่ไม่ควรจะไปฝืนมัน ปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาจิตใจ
ความรัก + วิท = ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ และใช้ความรักขับเคลื่อนชีวิตเพื่อแก้ไขบางสิ่ง
นี่เอาตรงๆเลยค่ะ หนังเจาะที่สามคนนี้ไปพร้อมๆกับชีวิตของพระเอกเรา โดยพระเอกเป็นจุดรวมของการยอมรับความจริงครั้งใหญ่
นอกจากนี้อีกตัวละครที่มีบทบาทสำคัญคือ เมเดลีน (Naomie Harris) ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำกลุ่มนักจิตบำบัดที่สูญเสียลูกสาวไปเช่นกัน
เมื่อหนังเฉลยว่า เมเดลีนคือภรรยาของฮาวเวิร์ด (แต่เอาจริงๆ เราพอเดาได้ตั้งแต่กลางๆเรื่องละ) จะทำให้เราเห็นได้ว่า เธอพบเจอความสูญเสียแบบเดียวกัน แต่เธอสามารถอยู่กับมันได้ เพราะเธอกล้ายอมรับและกล้าเผชิญหน้ากับความตายของลูกสาว (ในหนังมีซีนที่บริจิท พูดกับเมเดลีนใน รพ ตอนที่เธอกำลังสูญเสียลูกไป เป็นอีกหนึ่งสิ่งทำให้เราตั้งคำถามว่า บริจิท เป็นใครกันแน่)
มาถึงสุดท้ายค่ะ
ฮาวเวิร์ด (Will Smith)
พระเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของบุคคลที่พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่จนทำลายจิตวิญญานทั้งหมด และเป็นตัวแทนของบุคคลที่ "ไม่ปล่อยวาง"
การกระทำตลอดเรื่อง เราอาจจะคิดว่าน่ารำคาญนะคะ เพราะมันช่างไร้เหตุผล ช่างไร้ความคิดมากๆ แต่หากเรามองไปลึกอีกนิด เขาคือ คนที่หมออาลัยตายอยาก แต่เค้าไม่ได้มีความคิดจะฆ่าตัวตาย เค้าแค่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร จึงแสดงออกโดยการทำเรื่องเดิมๆซ้ำๆ การนั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จา เพราะเหตุผลเดียวในสมองเค้าคือ "มันจะได้อะไรขึ้นมา"
แต่ในที่สุด เมื่อเขายอมรับกับความสูญเสียนั้น เค้าเห็นภาพของตัวเองที่ไม่ต่างอะไรจากคนบ้าคนนึง เค้าจึงเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า อะไรควรทำ และไม่ควรทำ จนกล้าที่จะยอมรับความจริงที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตของเขาได้
ดังนั้น นามธรรมทั้งสาม อาจจะตีความได้ว่า ไม่ได้ถูกว่าจ้างมาให้ช่วยฮาเวิร์ดหรอกค่ะ แต่นามธรรมทั้งสาม อาจจะเป็น เวลา ความรัก ความตายจริงๆ ที่มาช่วยเพื่อนของฮาวเวิร์ดทั้งสามคนและการช่วยเพื่อนทั้งสามคน จะนำไปสู่การช่วยเหลือฮาวเวิร์ดได้ในที่สุด
จากที่เล่าๆมา หนังมีจุดโบ๋ใหญ่ๆเลยคือ การลงลึกของตัวบทที่ไม่มากพอค่ะ จริงๆเนื้อเรื่อง concept ดีมากๆนะ เพียงแค่ทำได้ไม่ถึงแก่น ดึงเราไม่สุด เลยต้องอาศัยการตีความต่อยอดของเราเอง ทำให้เราสามารถดูเรื่องนี้ได้อย่างสนุกและเข้าใจ
ถึงจะไม่พีค แต่ไม่แย่ค่ะ พิจารณาตัวละครดีๆ ข้อคิดที่แฝงมาเราว่าหนังค่อนข้างสื่อตรงๆชัดๆ ดูไม่ยาก (อาจจะเบาเกินไปจนหลายๆคนคิดว่ามันห่วย ก็นานาจิตตังนะคะ เราดูแบบชาวบ้านๆ ไม่ได้ลงลึกแบบจิตวิทยาอะไร)
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ
Collateral Beauty ความตาย เวลา และความรัก (ฉบับวิเคราะห์ตัวละคร) มีสปอยค่ะ
เรื่อง Collateral Beauty เป็นหนังดราม่าที่รวมนักแสดงขายฝีมือไว้ในเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องที่คะแนนหนังออกมาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และคำวิจารณ์ด้านลบมีมากกว่าด้านบวก แต่เราดูตัวอย่างแล้วอยากดูค่ะ เป็นสไตล์หนังแบบที่ถูกจริตเราบวกกับดนตรีที่เพราะมาก (composer จาก The secret life of Walter Mitty หนังสร้างแรงบันดาลใจที่ทุกคนรู้จักกันดี)
อาจจะเพราะทำใจกับคะแนนวิจารณ์มาหน่อยแล้ว เลยไม่ได้คาดหวังไว้มาก แต่ผลคือ ดีกว่าที่คาดไว้พอสมควรเลย อาจจะไม่ได้พีคเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวจะรีวิวให้ดูกันเป็นส่วนๆค่ะ
ก่อนอื่นเกริ่นเล่าเรื่องย่อเล็กน้อย...
ฮาวเวิร์ด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งชีวิตที่ดีๆได้พังทลายลงจากการสูญเสียลูกสาวคนเดียวของเขา เขาอยู่อย่างสิ้นหวังและไร้จิตใจจนกระทั่งเขาตัดสินใจเขียนจดหมายถึงสิ่งนามธรรมสามอย่าง ได้แก่ ความตาย เวลา และความรัก โดยนามธรรมทั้งสามได้ปรากฎตัวต่อหน้าเขาและให้ข้อคิดเพื่อให้เขาได้ยอมรับการสูญเสียนั้น
เนื้อเรื่องตามเทรลเลอร์หนังคือประมาณนี้ค่ะ
พอเข้าไปดู แค่ไม่กี่ฉากแรก รู้เลยว่า เทรลเลอร์หนังมันหลอกไปครึ่งนึงเลย
**************************************
ในหนัง ฮาวเวิร์ดมีเพื่อนสามคน คือ วิท แคลร์ และ ไซมอน ซึ่งทั้งสามเห็นสภาพที่ไร้ชีวิตจิตใจของฮาวเวิร์ดที่มีผลกระทบหนักกับบริษัทแล้วจึงจ้างนักสืบติดตามชีวิตฮาวเวิร์ด ว่าเป็นยังไง ทำอะไร ที่ไหน จนได้รู้ว่าฮาวเวิร์ดได้เขียนจดหมายถึงนามธรรมสามสิ่งข้างต้น ทั้งสามคนจึงออกอุบายที่จะทำให้บอร์ดบริหารเห็นว่าฮาวเวิร์ดอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่ปกติ โดยการจ้างนักแสดงตกอับ 3 คน มารับบทบาทเป็นนามธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ฮาวเวิร์ดเชื่อว่าตัวเองเห็นสามคนนั้นเพียงคนเดียว (เอาตรงๆคือ เพื่อให้คนในบอร์ดคิดว่าฮาวเวิร์ดเป็นบ้านั่นแหละ ฮาวเวิร์ดจะได้ยอมรับว่าตัวเองไม่อยู่ในสภาพที่จะบริหารงานต่อไปได้ในระยะนี้จนกว่าจะได้รับการรักษา)
ทีนี้ เราจะมาลองวิเคราะห์ตัวละครกัน
เริ่มจาก
นามธรรมทั้งสาม
มันมีสิ่งหนึ่งที่เราตะหงิดใจจนตอนจบของเรื่อง ว่า สรุป นามธรรมทั้งสาม มีตัวตนจริงๆหรือไม่ เพราะเราดูได้จากการจับคู่เพื่อร่วมงานกันระหว่างเพื่อนของฮาวเวิร์ดสามคน กับ นามธรรมสามสิ่ง เราจะลองวิเคราะห์เป็นคู่ๆนะคะ
คู่แรก - บริจิท - รับบท ความตาย
จับคู่กับ ไซมอน
เจ้าป้า Helen Mirren ที่รักของหนู ออกไม่เยอะมาก แต่ทรงพลังจริงๆ บริจิทคือหัวหน้าทีมนักแสดงละครเวที ที่เพื่อนร่วมงานของฮาวเวิร์ดได้ว่าจ้างให้มารับบทนี้ โดยไซมอน ( Micheal Pena กับการพลิกบทบาทกลายเป็นไม่ตลก ดราม่า เฮียแกแสดงดีด้วย) เป็นคนช่วยบอกข้อมูลต่างๆ เพื่อให้มีความสมจริง
แต่ในความจริง บริจิท เป็นใครกันแน่ เธอชอบสั่งสอน เจ้ากี้เจ้าการ และมีพลังบางอย่างที่กระตุ้นให้คนยอมรับความเป็นจริง เนื่องจากไซมอนป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และกำลังจะตายในไม่ช้า แต่ไซมอนเลือกที่จะไม่บอกใคร เพราะเกรงว่าจะทำให้ทุกคนช๊อคและใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข การรู้จักบริจิท ซึ่งรับบทความตาย ได้ทำให้ไซมอนยอมรับในที่สุด ว่าตัวเองกำลังจะตาย และควรที่จะบอกคนในครอบครัว เพื่อให้สามารถใช้เวลาในช่วงสุดท้ายอย่างดีที่สุด เราชอบพาร์ทของสองคนนี้ค่ะ เราคิดว่าสองคนนี้มีเคมีเข้ากันจริงๆ เป็นพาร์ทเส้นเรื่องที่ดีที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้
คู่ที่สอง - ราฟฟี่ - รับบทเวลา
จับคู่กับแคลร์
ไม่รู้เป็นเราคนเดียวรึเปล่านะ แต่เส้นเรื่องนี้เราคิดว่าเบาหวิวสุด และไม่จำเป็นสุดในเรื่องเลย ราฟฟี่เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในกลุ่มนักแสดงของบริจิท เขารับบทเวลา โดยแคลร์ (Kate Winslet) เป็นคนคอยชี้แนะข้อมูล ซึ่งตัวแคลร์มีปมเรื่องอยากมีลูก (แต่หนังไม่ได้บอกนะ ว่า ทำไมถึงอยากมี ทำไมถึงต้องหาคนบริจาคสเปิร์ม) ระหว่าง เวลา กับ แคลร์ จึงเป็นเรื่องของการยอมรับความจริงว่า อะไรที่มันไม่ได้ ก็คือไม่ได้ อย่าไปฝืนธรรมชาติ ปล่อยให้มันเป็นไป
คู่สาม - เอมี่ - รับบทความรัก
จับคู่กับ วิท เพื่อนรักของฮาวเวิร์ด
เอมี่ (Keira Knightley) เป็นสาวที่มีอารมณ์อ่อนไหวมากๆ และมีความคิดลึกซึ้ง โรแมนติค เมื่อมาทำงานร่วมกับวิท ซึ่งเจ้าชู้ และมีปัญหาครอบครัว ลูกสาวเกลียดอีก จึงคล้ายๆกับว่า เอมี่ ช่วยทำให้วิท ได้ยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำกับครอบครัว และกล้าเผชิญหน้ากับความผิดนั้น และพร้อมที่จะปรับปรุงตัวใหม่ โดยมีความรักที่มีต่อลูกสาวเป็นตัวขับเคลื่อน
ดังนั้น
ความตาย + ไซมอน = ยอมรับความจริงที่กำลังจะเกิดเพื่อที่จะอยู่กับมันให้ได้
เวลา + แคลร์ = ยอมรับความจริงตามธรรมชาติโดยที่ไม่ควรจะไปฝืนมัน ปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาจิตใจ
ความรัก + วิท = ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ และใช้ความรักขับเคลื่อนชีวิตเพื่อแก้ไขบางสิ่ง
นี่เอาตรงๆเลยค่ะ หนังเจาะที่สามคนนี้ไปพร้อมๆกับชีวิตของพระเอกเรา โดยพระเอกเป็นจุดรวมของการยอมรับความจริงครั้งใหญ่
นอกจากนี้อีกตัวละครที่มีบทบาทสำคัญคือ เมเดลีน (Naomie Harris) ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำกลุ่มนักจิตบำบัดที่สูญเสียลูกสาวไปเช่นกัน
เมื่อหนังเฉลยว่า เมเดลีนคือภรรยาของฮาวเวิร์ด (แต่เอาจริงๆ เราพอเดาได้ตั้งแต่กลางๆเรื่องละ) จะทำให้เราเห็นได้ว่า เธอพบเจอความสูญเสียแบบเดียวกัน แต่เธอสามารถอยู่กับมันได้ เพราะเธอกล้ายอมรับและกล้าเผชิญหน้ากับความตายของลูกสาว (ในหนังมีซีนที่บริจิท พูดกับเมเดลีนใน รพ ตอนที่เธอกำลังสูญเสียลูกไป เป็นอีกหนึ่งสิ่งทำให้เราตั้งคำถามว่า บริจิท เป็นใครกันแน่)
มาถึงสุดท้ายค่ะ
ฮาวเวิร์ด (Will Smith)
พระเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของบุคคลที่พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่จนทำลายจิตวิญญานทั้งหมด และเป็นตัวแทนของบุคคลที่ "ไม่ปล่อยวาง"
การกระทำตลอดเรื่อง เราอาจจะคิดว่าน่ารำคาญนะคะ เพราะมันช่างไร้เหตุผล ช่างไร้ความคิดมากๆ แต่หากเรามองไปลึกอีกนิด เขาคือ คนที่หมออาลัยตายอยาก แต่เค้าไม่ได้มีความคิดจะฆ่าตัวตาย เค้าแค่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร จึงแสดงออกโดยการทำเรื่องเดิมๆซ้ำๆ การนั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จา เพราะเหตุผลเดียวในสมองเค้าคือ "มันจะได้อะไรขึ้นมา"
แต่ในที่สุด เมื่อเขายอมรับกับความสูญเสียนั้น เค้าเห็นภาพของตัวเองที่ไม่ต่างอะไรจากคนบ้าคนนึง เค้าจึงเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า อะไรควรทำ และไม่ควรทำ จนกล้าที่จะยอมรับความจริงที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตของเขาได้
ดังนั้น นามธรรมทั้งสาม อาจจะตีความได้ว่า ไม่ได้ถูกว่าจ้างมาให้ช่วยฮาเวิร์ดหรอกค่ะ แต่นามธรรมทั้งสาม อาจจะเป็น เวลา ความรัก ความตายจริงๆ ที่มาช่วยเพื่อนของฮาวเวิร์ดทั้งสามคนและการช่วยเพื่อนทั้งสามคน จะนำไปสู่การช่วยเหลือฮาวเวิร์ดได้ในที่สุด
จากที่เล่าๆมา หนังมีจุดโบ๋ใหญ่ๆเลยคือ การลงลึกของตัวบทที่ไม่มากพอค่ะ จริงๆเนื้อเรื่อง concept ดีมากๆนะ เพียงแค่ทำได้ไม่ถึงแก่น ดึงเราไม่สุด เลยต้องอาศัยการตีความต่อยอดของเราเอง ทำให้เราสามารถดูเรื่องนี้ได้อย่างสนุกและเข้าใจ
ถึงจะไม่พีค แต่ไม่แย่ค่ะ พิจารณาตัวละครดีๆ ข้อคิดที่แฝงมาเราว่าหนังค่อนข้างสื่อตรงๆชัดๆ ดูไม่ยาก (อาจจะเบาเกินไปจนหลายๆคนคิดว่ามันห่วย ก็นานาจิตตังนะคะ เราดูแบบชาวบ้านๆ ไม่ได้ลงลึกแบบจิตวิทยาอะไร)
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ