ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีพี่น้องพันทิพย์ทุกท่านนะครับสำหรับกระทู้แรกของผม คือผมเนี่ยเป็นคนอยุธยาโดยกำเนิด แล้วก็เรียนอยู่ที่อยุธยาด้วย ใจจริงเนี่ยผมเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวอยู่แล้ว แต่กับจังหวัดตัวเองนี่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหนมาก (ถ้าใครที่เคยมาอยุธยาในฤดูต่างๆ จะทราบว่าอากาศที่นี่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะช่วงกลางวันแดดจ้าสุดๆ) แล้วก็มีปัญหาว่าติดเรียน ติดสอบ บลาๆ ก็เลยมีปัญหานิดๆ (หรืออาจจะมาก)
โชคดีหน่อยที่อากาศค่อนข้างเป็นใจในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา พร้อมกับเมฆสลัวในตอนกลางวัน ประกอบกับที่ปิดเทอมพอดี (สำคัญที่สุด เพราะเดี๋ยวจะไม่มีเวลา) การท่องเที่ยวเลยมีความไหลไปเรื่อยๆ
ผมเริ่มจากเช่าจักรยานจากซอยฝรั่งที่เจ้าพรหม (เป็นซอยที่อยู่ข้างธนาคาร ธกส. ที่ผมเรียกเพราะซอยนั้นเปิดเกสต์เฮาส์ในนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบทั้งซอย) หลังจากนั้นก็เลาะไปตามทางดังในแผนที่ ที่เป็นเส้นสีแดงคือช่วงขาไปนะครับ ส่วนเส้นสีเหลืองคือช่วงขากลับ ที่เป็นดาวแดงๆ คือจุดที่แวะทั้งหมด ซึ่งมีดังนี้
1. สวนสาธารณะบึงพระราม
2. ถนนข้างศาลากลางหลังเก่าที่จะออกไปยังคลองท่อ (เป็นจุดที่ถ่ายรูปสวยมาก เพราะมีต้นไม้ขึ้น 2 ข้างทาง แต่ไม่กล้าเอาลงเพราะมีแต่รูปที่ถ่ายกับเพื่อน)
3. สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (รูปอาจจะไม่เยอะมาก เหตุผลเช่นเดียวกับด้านบน)
4. วัดไชยวัฒนาราม
5. โบสถ์เซนต์ยอแซฟ
6. วัดพุทไธศวรรย์
ส่วนขากลับ เพื่อนที่มาด้วยนั้นหมดแรงไปแล้ว เลยต้องตัดไปลงเรือข้ามฟากแทนเพื่อประหยัดกำลังไว้ปั่นกลับไปคืนจักรยาน
ดูซิว่าใน 1 วันที่ฟ้าหลัวนั้นผมได้อะไรมาบ้าง
อันนี้คือเป็นแนวคลองโบราณในสวนสมเด็จฯ ถ้าไปถูกเวลานี่คือจะเงียบสงบเหมือนสวนแถบชนบทของอังกฤษเลย แนวคลองโบราณนี้มีอยู่ทั่วอยุธยาเลย แต่ปัจจุบันก็ตื้นเขินไปบ้าง ตึกแถวบังบ้าง โดนถมไปบ้าง อันนี้คือรู้สึกเสียดายมากเลยที่ลูกหลานในปัจจุบันไม่ได้เห็นแนวคลองสวยๆ แบบนี้อีกแล้ว
เจอจอมแสบ 2 ตัวนี้ที่สวนสมเด็จฯครับ ซนมาก ไม่ดุด้วย แต่พอดีผมไม่ได้ซื้ออะไรติดไปเลย เลยไม่ได้แบ่งอะไรให้กิน
ลืมไปว่าแวะกินข้าวเที่ยงกันด้วย ก๋วยเตี๋ยวชามละ 15 บาท แต่ปกติผมชอบกินที่ท่ารถเจ้าพรหมมากกว่า เพราะถูกกว่า (เดี๋ยวไว้ทำรีวิวชี้เป้าร้านอาหารข้างทางคราวหน้า)
(ชี้เป้า) ร้านนี้อยู่หลังโรงพยาบาล ช่วงแนวคลองท่อ
ปั่นไปจนถึงวัดไชยวัฒนาราม เพื่อนบ่นว่าไกลมาก (หัวเราะปนหอบ) วัดไชยวัฒนารามนี้มีคนมาบ่อย มีคนรีวิวแล้วก็เล่าถึงประวัติไปเยอะมากแล้ว ก็เลยขอผ่านเรื่องข้อมูลไปแล้วกันนะครับ
ไหนๆ มาถึงแล้วก็ขอแวะนั่ง แวะเดินยืดเส้นซักหน่อย
มุมคลาสสิคอีกมุมหนึ่งของที่นี่เลย
ตอนที่ ผมไปเนี่ยมีการบูรณะบางส่วนของวัดครับ ทางกรมศิลปากรเลยปิดบางจุดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้ แล้วก็ขึ้นรั้วกั้นไว้
อันนี้ลายปูนปั้นที่อยู่บนเมรุราย จขกท. ชอบเรื่องประวัติศาสตร์กับศิลปะมาก จะพยายามทำกระทู้เที่ยวในบ้านแบบนี้บ่อยๆ นะครับ
แล้วก็มาที่นี่ โบสถ์เซนต์ยอแซฟ
ตัวโบสถ์นี้สร้างทีหลังในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ครับ เห็นว่าเป็นหลังที่ 4 แล้วด้วย เพราะตัวโบสถ์เดิม(หลังแรกเลย) ทำจากไม้ช่วงสมัยอยุธยา แล้วถูกเผาไปเมื่อตอนเสียกรุงฯ ก็มีการซ่อมกัน สร้างกันมาเรื่อยๆจนเป็นหลังปัจจุบัน
ภายใน (หลังจากผมกลับไปไม่กี่วัน ก็ได้ข่าวว่าที่โบสถ์จัดผังที่นั่งใหม่ เลยไม่ทราบเลยว่าผังใหม่นี้จัดยังไงกัน)
ก่อนไปก็ขอถ่ายอีกหน่อยแล้วกัน
และนี่ก็คือที่สุดท้ายก่อนวกกลับแล้วครับ วัดพุทไธศวรรย์
ตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ อยากเข้าไปดูข้างในมาก แต่เขาล็อกกุญแจไว้
ตอนที่ไปถึงก็เริ่มเย็นแล้ว ฟ้าก็ครึ้ม แสงก็รำไรๆ เพื่อนที่ไปด้วยก็บอกว่ากลัววัดนี้มาก
วิหารราย ต้องปรับค่ารับแสงเพิ่มนิดนึงเพราะครึ้มต้นไม้ และเข้าไม่ได้เช่นกัน
อันนี้คือทางด้านทิศตะวันออกหันไปทางทิศตะวันตกครับ ถ้าเป็นวันที่ไม่มีเมฆคงสวยน่าดู
ลืมระเบียงคดไปซะสนิท!
พระนอนในวิหารราย
เห็นได้ชัดเลยว่าเริ่มจะมืดแล้ว
วิหารแกลบหลังเล็กนี้เคยเป็นฉากอยู่ในละครด้วย ไม่ต้องบอกทุกคนคงรู้จักกัน เนอะ!
ความพิเศษของวิหารเล็กๆ หลังนี้คือหน้าบันประดับกระจกครับ จขกท. สันนิษฐานว่าน่าจะมาติดตอนหลังกรุงศรีอยุธยาไปแล้ว เพราะที่ใบเสมาก็มีการประดับกระจกอยู่ประปราย กระจกประดับแบบดั้งเดิมนี้เคยมีบันทึกจากฝรั่ง(จำชื่อไม่ได้)ว่าแวววาวมาก ถึงขนาดว่าอยู่บนกำปั่นก็เห็นแสงระยิบระยับมาแต่ไกลเลย
ในวิหารเล็ก
กระจกประดับจากใบเสมาที่อยู่ใกล้กัน จากสีแดงลิ้นจี่นี้คาดว่าเริ่มเข้ารัตนโกสินทร์แล้วครับ
ชิ้นส่วนจากประวัติศาสตร์ที่หลุดมาจากที่ของมันชิ้นหนึ่ง
โห! อันนี้เป็นกองเลย
แม้จะผ่านกาลเวลามาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว แต่กระจกทุกชิ้นก็ยังคงแววาวอยู่ แม้จะหมองๆ ไปบ้างก็ตาม
ลาแล้วแก้วฟ้าพุทไธศวรรย์ ไว้ให้เราพบกันอีกหน
เรื่องแปลก : ผมเข้าไปในวัดนี้ครั้งแรกนั้นก็แอบรู้สึกขนลุกนิดหน่อย คงเพราะลมพัดหรืออะไรก็ตาม พอเข้าไปก็ปรากฎว่าไม่มีใครเลย ทุกอย่างดูเงียบมาก เงียบไปหมด ตัดกับสถานที่ที่ผ่านมาที่คนพลุกพล่านมาก จนทำให้เพื่อนที่มาด้วยนั้นไม่กล้าเดินต่อและหนีกลับไปที่จักรยานเฉยเลย (นี่ขนาดเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากนะเนี่ย") ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเข้าใจว่ามันคงเมื่อยหรืออะไรก็ช่าง ก็เดินสำรวจโน่นนี่นั่นไปเรื่อยๆ ร้องละครรำเบาๆ ในลำคอ(กลอนบทเล็กๆ แต่งสดบ้าง จำมาจากตอนเรียนบ้าง) เดินไปเดินมาก็อุ่นใจหน่อยที่เจอคนสะพายกล้องเดินผ่านมาตั้งคนนึง (แอบคิดในใจว่าอย่างน้อยก็ไม่โดนผีหลอกคนเดียวล่ะวะ!) พอผมเดินเสร็จก็ออกมาจากตรงระเบียงคด พอขาก้าวออกจากระเบียงคดได้เท่านั้นแหละ สุนัขที่อยู่ในกรง(กรงสุนัขนี้อยู่ทางด้านซ้ายมือหากจะเข้าไป) ก็หอนแบบโหยหวนขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย! ผมก็ยืนนิ่งแบบงงๆ อยู่แป๊บนึง มันก็ไม่หยุดหอน ก็เลยลองหันกลับไปตั้งจิตอธิษฐานขอขมาเผื่อว่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้องลงไป พอขอขมาเสร็จสุนัขก็หยุดหอนไปดื้อๆ เพื่อนที่มาด้วยก็เลยกลัวหนักเข้าไปอีก เพราะจุดที่ผมยืนอยู่ก็ห่างจากจักรยานไปไม่ถึงสิบเมตร(แต่แปลกใจทำไมเราไม่รู้สึกกลัวเลยตอนนั้น) บรรยากาศตอนนั้นก็เกือบๆ 5 โมงเย็นแล้ว ก็เลยว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ต่อ!
อันนี้คือช่วงขากลับ
ผ่านวัดพระราม(รูปนี้ถ่ายแบบลวกๆ มาก เพราะเริ่มเหนื่อยแล้ว)
บึงพระรามยามเย็น บางคนก็มาออกกำลังกายบ้าง เดินเล่นบ้าง
เจดีย์องค์หนึ่งในบึงพระราม ผมเองก็ลืมไปว่าเป็นเจดีย์วัดอะไร
อันนี้คือหลังจากคืนจักรยานเสร็จแล้ว เจอฝรั่งคนหนึ่งแกนั่งถ่ายรูปอยู่ตรงหัวมุมถนน เลยถ่ายแกเก็บไว้เพราะเห็นว่าดูสื่ออารมณ์อะไรได้
จบแล้วครับสำหรับกระทู้แรกของผม อาจจะไม่ดีมากเท่าไหร่ เดี๋ยวจะพยายามนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอยุธยาให้มากขึ้น หรืออาจจะแบ่งปันความรู้, ประสบการณ์, และข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมในครั้งต่อไปนะครับ สวัสดีครับ
เที่ยวในบ้านตัวเองวันฟ้าหลัว
โชคดีหน่อยที่อากาศค่อนข้างเป็นใจในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา พร้อมกับเมฆสลัวในตอนกลางวัน ประกอบกับที่ปิดเทอมพอดี (สำคัญที่สุด เพราะเดี๋ยวจะไม่มีเวลา) การท่องเที่ยวเลยมีความไหลไปเรื่อยๆ
ผมเริ่มจากเช่าจักรยานจากซอยฝรั่งที่เจ้าพรหม (เป็นซอยที่อยู่ข้างธนาคาร ธกส. ที่ผมเรียกเพราะซอยนั้นเปิดเกสต์เฮาส์ในนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบทั้งซอย) หลังจากนั้นก็เลาะไปตามทางดังในแผนที่ ที่เป็นเส้นสีแดงคือช่วงขาไปนะครับ ส่วนเส้นสีเหลืองคือช่วงขากลับ ที่เป็นดาวแดงๆ คือจุดที่แวะทั้งหมด ซึ่งมีดังนี้
1. สวนสาธารณะบึงพระราม
2. ถนนข้างศาลากลางหลังเก่าที่จะออกไปยังคลองท่อ (เป็นจุดที่ถ่ายรูปสวยมาก เพราะมีต้นไม้ขึ้น 2 ข้างทาง แต่ไม่กล้าเอาลงเพราะมีแต่รูปที่ถ่ายกับเพื่อน)
3. สวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (รูปอาจจะไม่เยอะมาก เหตุผลเช่นเดียวกับด้านบน)
4. วัดไชยวัฒนาราม
5. โบสถ์เซนต์ยอแซฟ
6. วัดพุทไธศวรรย์
ส่วนขากลับ เพื่อนที่มาด้วยนั้นหมดแรงไปแล้ว เลยต้องตัดไปลงเรือข้ามฟากแทนเพื่อประหยัดกำลังไว้ปั่นกลับไปคืนจักรยาน
ดูซิว่าใน 1 วันที่ฟ้าหลัวนั้นผมได้อะไรมาบ้าง
อันนี้คือเป็นแนวคลองโบราณในสวนสมเด็จฯ ถ้าไปถูกเวลานี่คือจะเงียบสงบเหมือนสวนแถบชนบทของอังกฤษเลย แนวคลองโบราณนี้มีอยู่ทั่วอยุธยาเลย แต่ปัจจุบันก็ตื้นเขินไปบ้าง ตึกแถวบังบ้าง โดนถมไปบ้าง อันนี้คือรู้สึกเสียดายมากเลยที่ลูกหลานในปัจจุบันไม่ได้เห็นแนวคลองสวยๆ แบบนี้อีกแล้ว
เจอจอมแสบ 2 ตัวนี้ที่สวนสมเด็จฯครับ ซนมาก ไม่ดุด้วย แต่พอดีผมไม่ได้ซื้ออะไรติดไปเลย เลยไม่ได้แบ่งอะไรให้กิน
ลืมไปว่าแวะกินข้าวเที่ยงกันด้วย ก๋วยเตี๋ยวชามละ 15 บาท แต่ปกติผมชอบกินที่ท่ารถเจ้าพรหมมากกว่า เพราะถูกกว่า (เดี๋ยวไว้ทำรีวิวชี้เป้าร้านอาหารข้างทางคราวหน้า)
(ชี้เป้า) ร้านนี้อยู่หลังโรงพยาบาล ช่วงแนวคลองท่อ
ปั่นไปจนถึงวัดไชยวัฒนาราม เพื่อนบ่นว่าไกลมาก (หัวเราะปนหอบ) วัดไชยวัฒนารามนี้มีคนมาบ่อย มีคนรีวิวแล้วก็เล่าถึงประวัติไปเยอะมากแล้ว ก็เลยขอผ่านเรื่องข้อมูลไปแล้วกันนะครับ
ไหนๆ มาถึงแล้วก็ขอแวะนั่ง แวะเดินยืดเส้นซักหน่อย
มุมคลาสสิคอีกมุมหนึ่งของที่นี่เลย
ตอนที่ ผมไปเนี่ยมีการบูรณะบางส่วนของวัดครับ ทางกรมศิลปากรเลยปิดบางจุดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้ แล้วก็ขึ้นรั้วกั้นไว้
อันนี้ลายปูนปั้นที่อยู่บนเมรุราย จขกท. ชอบเรื่องประวัติศาสตร์กับศิลปะมาก จะพยายามทำกระทู้เที่ยวในบ้านแบบนี้บ่อยๆ นะครับ
แล้วก็มาที่นี่ โบสถ์เซนต์ยอแซฟ
ตัวโบสถ์นี้สร้างทีหลังในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ครับ เห็นว่าเป็นหลังที่ 4 แล้วด้วย เพราะตัวโบสถ์เดิม(หลังแรกเลย) ทำจากไม้ช่วงสมัยอยุธยา แล้วถูกเผาไปเมื่อตอนเสียกรุงฯ ก็มีการซ่อมกัน สร้างกันมาเรื่อยๆจนเป็นหลังปัจจุบัน
ภายใน (หลังจากผมกลับไปไม่กี่วัน ก็ได้ข่าวว่าที่โบสถ์จัดผังที่นั่งใหม่ เลยไม่ทราบเลยว่าผังใหม่นี้จัดยังไงกัน)
ก่อนไปก็ขอถ่ายอีกหน่อยแล้วกัน
และนี่ก็คือที่สุดท้ายก่อนวกกลับแล้วครับ วัดพุทไธศวรรย์
ตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ อยากเข้าไปดูข้างในมาก แต่เขาล็อกกุญแจไว้
ตอนที่ไปถึงก็เริ่มเย็นแล้ว ฟ้าก็ครึ้ม แสงก็รำไรๆ เพื่อนที่ไปด้วยก็บอกว่ากลัววัดนี้มาก
วิหารราย ต้องปรับค่ารับแสงเพิ่มนิดนึงเพราะครึ้มต้นไม้ และเข้าไม่ได้เช่นกัน
อันนี้คือทางด้านทิศตะวันออกหันไปทางทิศตะวันตกครับ ถ้าเป็นวันที่ไม่มีเมฆคงสวยน่าดู
ลืมระเบียงคดไปซะสนิท!
พระนอนในวิหารราย
เห็นได้ชัดเลยว่าเริ่มจะมืดแล้ว
วิหารแกลบหลังเล็กนี้เคยเป็นฉากอยู่ในละครด้วย ไม่ต้องบอกทุกคนคงรู้จักกัน เนอะ!
ความพิเศษของวิหารเล็กๆ หลังนี้คือหน้าบันประดับกระจกครับ จขกท. สันนิษฐานว่าน่าจะมาติดตอนหลังกรุงศรีอยุธยาไปแล้ว เพราะที่ใบเสมาก็มีการประดับกระจกอยู่ประปราย กระจกประดับแบบดั้งเดิมนี้เคยมีบันทึกจากฝรั่ง(จำชื่อไม่ได้)ว่าแวววาวมาก ถึงขนาดว่าอยู่บนกำปั่นก็เห็นแสงระยิบระยับมาแต่ไกลเลย
ในวิหารเล็ก
กระจกประดับจากใบเสมาที่อยู่ใกล้กัน จากสีแดงลิ้นจี่นี้คาดว่าเริ่มเข้ารัตนโกสินทร์แล้วครับ
ชิ้นส่วนจากประวัติศาสตร์ที่หลุดมาจากที่ของมันชิ้นหนึ่ง
โห! อันนี้เป็นกองเลย
แม้จะผ่านกาลเวลามาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว แต่กระจกทุกชิ้นก็ยังคงแววาวอยู่ แม้จะหมองๆ ไปบ้างก็ตาม
ลาแล้วแก้วฟ้าพุทไธศวรรย์ ไว้ให้เราพบกันอีกหน
เรื่องแปลก : ผมเข้าไปในวัดนี้ครั้งแรกนั้นก็แอบรู้สึกขนลุกนิดหน่อย คงเพราะลมพัดหรืออะไรก็ตาม พอเข้าไปก็ปรากฎว่าไม่มีใครเลย ทุกอย่างดูเงียบมาก เงียบไปหมด ตัดกับสถานที่ที่ผ่านมาที่คนพลุกพล่านมาก จนทำให้เพื่อนที่มาด้วยนั้นไม่กล้าเดินต่อและหนีกลับไปที่จักรยานเฉยเลย (นี่ขนาดเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากนะเนี่ย") ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเข้าใจว่ามันคงเมื่อยหรืออะไรก็ช่าง ก็เดินสำรวจโน่นนี่นั่นไปเรื่อยๆ ร้องละครรำเบาๆ ในลำคอ(กลอนบทเล็กๆ แต่งสดบ้าง จำมาจากตอนเรียนบ้าง) เดินไปเดินมาก็อุ่นใจหน่อยที่เจอคนสะพายกล้องเดินผ่านมาตั้งคนนึง (แอบคิดในใจว่าอย่างน้อยก็ไม่โดนผีหลอกคนเดียวล่ะวะ!) พอผมเดินเสร็จก็ออกมาจากตรงระเบียงคด พอขาก้าวออกจากระเบียงคดได้เท่านั้นแหละ สุนัขที่อยู่ในกรง(กรงสุนัขนี้อยู่ทางด้านซ้ายมือหากจะเข้าไป) ก็หอนแบบโหยหวนขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย! ผมก็ยืนนิ่งแบบงงๆ อยู่แป๊บนึง มันก็ไม่หยุดหอน ก็เลยลองหันกลับไปตั้งจิตอธิษฐานขอขมาเผื่อว่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้องลงไป พอขอขมาเสร็จสุนัขก็หยุดหอนไปดื้อๆ เพื่อนที่มาด้วยก็เลยกลัวหนักเข้าไปอีก เพราะจุดที่ผมยืนอยู่ก็ห่างจากจักรยานไปไม่ถึงสิบเมตร(แต่แปลกใจทำไมเราไม่รู้สึกกลัวเลยตอนนั้น) บรรยากาศตอนนั้นก็เกือบๆ 5 โมงเย็นแล้ว ก็เลยว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ต่อ!
อันนี้คือช่วงขากลับ
ผ่านวัดพระราม(รูปนี้ถ่ายแบบลวกๆ มาก เพราะเริ่มเหนื่อยแล้ว)
บึงพระรามยามเย็น บางคนก็มาออกกำลังกายบ้าง เดินเล่นบ้าง
เจดีย์องค์หนึ่งในบึงพระราม ผมเองก็ลืมไปว่าเป็นเจดีย์วัดอะไร
อันนี้คือหลังจากคืนจักรยานเสร็จแล้ว เจอฝรั่งคนหนึ่งแกนั่งถ่ายรูปอยู่ตรงหัวมุมถนน เลยถ่ายแกเก็บไว้เพราะเห็นว่าดูสื่ออารมณ์อะไรได้
จบแล้วครับสำหรับกระทู้แรกของผม อาจจะไม่ดีมากเท่าไหร่ เดี๋ยวจะพยายามนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอยุธยาให้มากขึ้น หรืออาจจะแบ่งปันความรู้, ประสบการณ์, และข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมในครั้งต่อไปนะครับ สวัสดีครับ