ความลำเอียงในการตัดสินใจลงทุน: ยิ่งน้อย ยิ่งดี (Less-is-better effect)

กระทู้คำถาม
มีคำถามมาถาม (อีกแล้ว) ครับ

ถ้าให้เลือกอันใดอันหนึ่งระหว่าง 2 อย่างนี้ เราจะเลือกอันไหนดีครับ

ก.    ชุดจานชามที่มี 24 ใบ ที่ทุกชิ้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์
ข.    ชุดจานชามเหมือนกัน แต่มี 31 ใบ โดยมีจานที่แตกเป็นรอยอยู่ 2-3 ใบ

เอาใหม่นะครับ แล้วระหว่าง 2 คนนี้ คิดว่าคนไหนใจกว้างกว่ากันครับ

ก.    คนที่บริจาคผ้าพันคอที่มีมูลค่าแพงถึง 1,300 บาทโดยประมาณ
ข.    คนที่บริจาคเสื้อสูทถูก ๆ ที่มีมูลค่าประมาณ 1,600 บาท

จริง ๆ ถ้าเขียนออกมาแบบนี้
จะดูเหมือนคำตอบมันน่าจะชัดเจนนะครับ

แต่จากผลการศึกษา ในปี 1998 โดย Christopher Hsee อาจารย์จาก University of Chicago
เชื่อไหมครับว่า คนส่วนใหญ่เลือกข้อ ก. มากกว่าข้อ ข. !!!

นี่แหละครับที่เราเรียกว่า Less-is-better effect
คือคนทั่วไปกลับให้คุณค่ากับสิ่งที่มีมูลค่าน้อยกว่า !!!

เหตุผลที่ใช้อธิบายผลการศึกษานี้ ก็คือว่า คนเรามักจะเปรียบเทียบโดยใช้ค่าเฉลี่ยมากกว่าผลรวม
เช่นในคำถามแรก ชุดจานชาม 24 ใบที่ไม่แตกเลย มันมี “ค่าเฉลี่ย” ของคุณภาพ ที่สูงกว่า ชุดจานชาม 31 ใบ ที่มี 2-3 ใบแตกหัก

ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว ถึงมี 2-3 ใบที่แตกหัก เราก็ยังมีจานชามที่ไม่แตกหักมากกว่า 24 ใบอยู่ตั้งหลายใบ จริงไหมครับ

อย่างคำถามข้อที่ 2 ของการทดลองนี้ ผลปรากฎว่าคนที่บริจาคผ้าพันคอที่มีมูลค่าถึง 1,300 บาท
จะได้รับการยกย่องว่าใจกว้างมากกว่าคนบริจาคเสื้อสูทที่มีมูลค่า 1,600 บาท ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็รู้ว่า 1,600 บาทมันมากกว่า 1,300 บาท

ทำไมน่ะเหรอครับ
คืออย่างนี้ครับ

เป็นเพราะว่าผู้ตอบคำถามคิดเปรียบเทียบว่าผ้าพันคอทั่วไปราคามันถูกกว่า 1,300 บาทตั้งเยอะ แสดงว่าผู้บริจาคต้องเอาของคุณภาพดี ๆ มาบริจาคแน่

ในขณะที่สูททั่วไปราคาสูงกว่า 1,600 บาทตั้งเยอะ ทำให้เขาคิดว่าสูทที่เอามาบริจาคอาจเป็นสูทที่คุณภาพไม่ค่อยดีนักก็ได้ไงครับ !!!

อีกตัวอย่างหนึ่งของ Less-is-better effect ก็คือ
ว่ากันว่าในการแข่งขันกีฬาใด ๆ ก็ตามคนที่ได้เหรียญเงินมักจะมีความสุขน้อยกว่าคนที่ได้เหรียญทองแดง เพราะว่า...

คนที่ได้เหรียญเงินมักจะเอาตัวเองไปเปรียบกับคนที่ได้เหรียญทอง ในขณะที่คนที่ได้เหรียญทองแดง จะเอาตัวเองไปเปรียบกับคนที่ไม่ได้เหรียญอะไรเลย !!!

คราวนี้กลับมาที่การลงทุนนะครับ เวลาเราจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของบริษัท
ระวังเรื่องแบบนี้ไว้ด้วยนะครับ

เช่นถ้าบริษัท A มีการลงทุน 5 โครงการ มี “ค่าเฉลี่ย” ของกำไรต่อเงินลงทุนอยู่ที่ 10%
บริษัท B มีการลงทุน 6 โครงการ มี “ค่าเฉลี่ย” ของกำไรต่อเงินลงทุนที่ 8%

ก็ไม่ได้หมายความว่า A จะดีกว่า B เสมอไปนะครับ
เพราะการลงทุน 6 โครงการ ของบริษัท B ถึงมีกำไรต่อเงินลงทุนเฉลี่ยต่ำกว่าการลงทุน 5 โครงการของบริษัท A ก็จริง แต่ “เม็ดเงิน” กำไร ของ B อาจจะมากกว่า A และกำไรต่อหุ้นอาจจะสูงกว่า A ก็ได้นะครับ

ระวังหลุมพรางในเรื่องนี้กันด้วยครับ

ติดตามอ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับความลำเอียงในการตัดสินใจได้ที่ https://www.facebook.com/DataAnalysisforDecisionMaking

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่