[หนังโรงเรื่องที่ 165] Underworld : Blood Wars - หนังหมดอายุ ; (Anna Foerster, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B- (จากสเกล D-A)
**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน๊อยส์
เรื่องย่อ : เรื่องราวต่อเนื่องจากภาค 4 หลังจากที่ 'เซลีน' (Kate Beckinsale)ถูกตามล่าโดยทั้งทางฝั่งแวมไพร์และไลแคนมาเป็นเวลานาน เธอก็ถูกเชื้อชวนโดยสภาสูงให้กลับมาช่วยเป็นพันธมิตรฝั่งแวมไพร์อีกครั้ง เนื่องจากฝั่งไลแคนได้มีผู้นำคนใหม่ขึ้นมาอย่าง 'มาเรียส' (Tobias Menzies) ผู้ซึ่งสามารถรวบรวมบรรดาฝูงไลแคนที่เคยแตกเป็นก๊กเหล่าต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวได้ และในขณะเดียวกันเซลีนก็ต้องคอยปกป้องลูกสาวตัวเองไม่ให้ถูกค้นพบโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่เชื่อว่าเลือดผสมสายพันธุ์บริสุทธิ์จะทำให้ผู้ที่ได้ครอบครองแกร่งขึ้นจนสามารถพิชิตสงครามครั้งนี้ได้
ต้องบอกเลยว่าเป็นภาคต่อของอภิมหากาพย์แวมไพร์-ไลแคนที่ออกมาได้น่าผิดหวังมากกกกกก คือด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่างที่มันไม่นำพาให้หนังมีความ 'อีปิค' เลยซักนิดเดียว บวกกับการที่หนังมันถูกทิ้งช่วงไปนานจนความขลังมันหายไปแล้ว (เอาจริงๆนี่ก็เกือบลืมหนังเรื่องนี้ไปแล้ว) ส่วนที่ว่าดีไม่ดียังไงเดี๋ยวจะมาวิเคราะห์ให้ฟังกัน
ประเด็นแรกคือหนัง 'รีบ' มาก รีบที่จะเล่าเรื่องรวบรัดตัดความของตัวเองให้จบเร็วๆเพื่อที่จะได้ไปฉากต่อไป ซึ่งมันก็เลยเป็นการเดินเรื่องที่ดูลนๆตลอดเวลาแบบไม่เป็นธรรมชาติเอามากๆ ไหนจะเป็นการตัดต่อที่กระโดดไปกระโดดมา จับซีนมาต่อซีนเพียงแค่จะให้ตัวละครออกมาพูดประโยคเท่ๆแค่นั้น ซึ่งไอ้ความเร่งรีบตรงนี้นี่แหละที่ทำให้หนังมันออกมาสะเหร่อโคตรๆ กลายเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่งของหนังเราแทบจะไม่ได้แก่นสารอะไรที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ นี่ยังไม่พูดถึงการพยายามผูกโยงเรื่องรามของตระกูลแวมไพร์เข้าด้วยกันแบบมึนๆงงๆอีกนะ
ประเด็นที่สองคือตัวละครที่ดีไซน์ออกมาได้ 'แกร่ว' ไม่แพ้เนื้อเรื่องเลย หนังพยายามขับเน้นไปที่การเมืองภายในของฝั่งแวมไพร์โดยโฟกัสไปที่ 'เซมีร่า' (Lara Pulver)แวมไพร์สาวทายาทของหนึ่งในผู้อาวุโสวิคเตอร์ผู้ทะเยอทะยานหวังจะแย่งชิงอำนาจสภามาเป็นของตนเอง และ 'เดวิด' (Theo James) แวมไพร์หนุ่มที่ถูกกลายสภาพมาเป็นพระเอกกลายๆของเรื่องก็ยังไม่สามารถตีบทให้ปังได้ ตัวละครเดวิดนั้นมีปัญหากับอิมเมจเชยๆแล้วก็มิติตัวละครที่ตื้นเขินจนไม่น่าสนใจเอาเสียเลย แถมพ่อหนุ่มทีโอ เจมส์ของเราก็ยังไม่สามารถช่วยนางเอกคุมโทนหนังได้ดีเท่าที่ควร (กลายเป็นดับอนาถเหมือน divergent เปี้ยบ)
สำหรับคิวบู๊ที่เคยเป็นจุดขายระดับตำนานของ Underworld Saga นั้นก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน จะเห็นได้ชัดเลยว่าคิวบู๊ของหนังถูกออกแบบมาแย่มาก ทั้งการวางฉาก-จังหวะจะโคน และท่วงท่า choreography ที่ไม่สวยงามน่าจดจำเอาเสียเลย การต่อสู้ระหว่างแวมไพร์และไลแคนก็ไม่ได้น่าลุ้นหวาดเสียวอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นว่าตอนนี้เราไม่เข้าใจสเกลพลังของแต่ละตัวครแล้วว่ามันเก่งยังไง? มีพลังอะไรบ้าง? เพราะทั้งแวมไพร์และไลแคนต่างก็เอาแต่คว้าลูกปืนมายิงโครมครามๆกันเละเทะไปหมด
ถ้าให้วิจารณ์จริงๆก็คือสถานภาพหนังในตอนนี้มัน 'ล้าสมัย' เกินไปแล้วสำหรับปี 2016 ทั้งบทภาพยนตร์, งานภาพ และคิวแอคชั่นยังคงอยู่ในรูปแบบเดิมๆเหมือนสิบกว่าปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน อาจเป็นเพราะผู้กำกับที่พักหลังๆถูกเปลี่ยนแทบทุกภาค เลยทำให้หนังมันไม่สามารถรักษาความออริจินัลของตัวเองได้ แล้วยิ่งการที่หนังเลือกที่จะจบเนื้อเรื่องชุ่ยๆแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ลำบากกับคนที่จะทำในภาคหน้าเข้าไปอีก เรียกได้ว่าอนาคตเริ่มมืดมนแล้วกับหนังชุดนี้ ต้องลุ้นอีกทีว่ามันจะขายได้มั้ย
ถ้าถามผู้เขียนก็คงต้องบอกว่า 'ตั๋วหนังมันแพง' อะครับเรื่องนี้
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
[Movie Review] Underworld : Blood Wars - หนังหมดอายุ by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 165] Underworld : Blood Wars - หนังหมดอายุ ; (Anna Foerster, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B- (จากสเกล D-A)
**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน๊อยส์
เรื่องย่อ : เรื่องราวต่อเนื่องจากภาค 4 หลังจากที่ 'เซลีน' (Kate Beckinsale)ถูกตามล่าโดยทั้งทางฝั่งแวมไพร์และไลแคนมาเป็นเวลานาน เธอก็ถูกเชื้อชวนโดยสภาสูงให้กลับมาช่วยเป็นพันธมิตรฝั่งแวมไพร์อีกครั้ง เนื่องจากฝั่งไลแคนได้มีผู้นำคนใหม่ขึ้นมาอย่าง 'มาเรียส' (Tobias Menzies) ผู้ซึ่งสามารถรวบรวมบรรดาฝูงไลแคนที่เคยแตกเป็นก๊กเหล่าต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวได้ และในขณะเดียวกันเซลีนก็ต้องคอยปกป้องลูกสาวตัวเองไม่ให้ถูกค้นพบโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่เชื่อว่าเลือดผสมสายพันธุ์บริสุทธิ์จะทำให้ผู้ที่ได้ครอบครองแกร่งขึ้นจนสามารถพิชิตสงครามครั้งนี้ได้
ต้องบอกเลยว่าเป็นภาคต่อของอภิมหากาพย์แวมไพร์-ไลแคนที่ออกมาได้น่าผิดหวังมากกกกกก คือด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่างที่มันไม่นำพาให้หนังมีความ 'อีปิค' เลยซักนิดเดียว บวกกับการที่หนังมันถูกทิ้งช่วงไปนานจนความขลังมันหายไปแล้ว (เอาจริงๆนี่ก็เกือบลืมหนังเรื่องนี้ไปแล้ว) ส่วนที่ว่าดีไม่ดียังไงเดี๋ยวจะมาวิเคราะห์ให้ฟังกัน
ประเด็นแรกคือหนัง 'รีบ' มาก รีบที่จะเล่าเรื่องรวบรัดตัดความของตัวเองให้จบเร็วๆเพื่อที่จะได้ไปฉากต่อไป ซึ่งมันก็เลยเป็นการเดินเรื่องที่ดูลนๆตลอดเวลาแบบไม่เป็นธรรมชาติเอามากๆ ไหนจะเป็นการตัดต่อที่กระโดดไปกระโดดมา จับซีนมาต่อซีนเพียงแค่จะให้ตัวละครออกมาพูดประโยคเท่ๆแค่นั้น ซึ่งไอ้ความเร่งรีบตรงนี้นี่แหละที่ทำให้หนังมันออกมาสะเหร่อโคตรๆ กลายเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่งของหนังเราแทบจะไม่ได้แก่นสารอะไรที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ นี่ยังไม่พูดถึงการพยายามผูกโยงเรื่องรามของตระกูลแวมไพร์เข้าด้วยกันแบบมึนๆงงๆอีกนะ
ประเด็นที่สองคือตัวละครที่ดีไซน์ออกมาได้ 'แกร่ว' ไม่แพ้เนื้อเรื่องเลย หนังพยายามขับเน้นไปที่การเมืองภายในของฝั่งแวมไพร์โดยโฟกัสไปที่ 'เซมีร่า' (Lara Pulver)แวมไพร์สาวทายาทของหนึ่งในผู้อาวุโสวิคเตอร์ผู้ทะเยอทะยานหวังจะแย่งชิงอำนาจสภามาเป็นของตนเอง และ 'เดวิด' (Theo James) แวมไพร์หนุ่มที่ถูกกลายสภาพมาเป็นพระเอกกลายๆของเรื่องก็ยังไม่สามารถตีบทให้ปังได้ ตัวละครเดวิดนั้นมีปัญหากับอิมเมจเชยๆแล้วก็มิติตัวละครที่ตื้นเขินจนไม่น่าสนใจเอาเสียเลย แถมพ่อหนุ่มทีโอ เจมส์ของเราก็ยังไม่สามารถช่วยนางเอกคุมโทนหนังได้ดีเท่าที่ควร (กลายเป็นดับอนาถเหมือน divergent เปี้ยบ)
สำหรับคิวบู๊ที่เคยเป็นจุดขายระดับตำนานของ Underworld Saga นั้นก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน จะเห็นได้ชัดเลยว่าคิวบู๊ของหนังถูกออกแบบมาแย่มาก ทั้งการวางฉาก-จังหวะจะโคน และท่วงท่า choreography ที่ไม่สวยงามน่าจดจำเอาเสียเลย การต่อสู้ระหว่างแวมไพร์และไลแคนก็ไม่ได้น่าลุ้นหวาดเสียวอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นว่าตอนนี้เราไม่เข้าใจสเกลพลังของแต่ละตัวครแล้วว่ามันเก่งยังไง? มีพลังอะไรบ้าง? เพราะทั้งแวมไพร์และไลแคนต่างก็เอาแต่คว้าลูกปืนมายิงโครมครามๆกันเละเทะไปหมด
ถ้าให้วิจารณ์จริงๆก็คือสถานภาพหนังในตอนนี้มัน 'ล้าสมัย' เกินไปแล้วสำหรับปี 2016 ทั้งบทภาพยนตร์, งานภาพ และคิวแอคชั่นยังคงอยู่ในรูปแบบเดิมๆเหมือนสิบกว่าปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน อาจเป็นเพราะผู้กำกับที่พักหลังๆถูกเปลี่ยนแทบทุกภาค เลยทำให้หนังมันไม่สามารถรักษาความออริจินัลของตัวเองได้ แล้วยิ่งการที่หนังเลือกที่จะจบเนื้อเรื่องชุ่ยๆแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ลำบากกับคนที่จะทำในภาคหน้าเข้าไปอีก เรียกได้ว่าอนาคตเริ่มมืดมนแล้วกับหนังชุดนี้ ต้องลุ้นอีกทีว่ามันจะขายได้มั้ย
ถ้าถามผู้เขียนก็คงต้องบอกว่า 'ตั๋วหนังมันแพง' อะครับเรื่องนี้
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..