เรื่องราวประทับใจที่เรียงร้อยความรัก ความทรงจำและความสุขเข้าด้วยกัน ในห้วงเวลาสามปี ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาวที่มาเจอกันและใช้เวลาในวันหนึ่งร่วมกัน ชายสูงวัยผู้เป็นอัลไซเมอร์ที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของลูกสาว และวงดนตรีสมัครเล่นในออฟฟิศที่รวมตัวกันเพราะความสุขจากการเล่นดนตรี โดยมีจุดร่วมกันที่มีเพลงพระราชนิพนธ์เป็นสื่อ และกลายเป็นความรู้สึกและสิ่งดีๆที่มอบให้แก่กัน เพื่อความสุขและเป็นของขวัญสำหรับทุกคน
ภาพยนตร์ Feel Good จาก GDH ที่มาในจังหวะที่เหมาะเจาะ ทั้งเป็นการระลึกถึงอัจฉริยะภาพทางดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกฏ และเป็นการปลอบประโลมชาวไทยที่ยังคงโศกเศร้าเสียใจที่สูญเสียพระองค์ไปให้ได้มีความสุขจากสิ่งที่พระองค์ทรงประทานทิ้งไว้ให้เป็นของขวัญของชาวไทย และยังเป็นช่วงเวลาที่เข้าใกล้เทศกาลแห่งความสุข โดยการเป็นหนังสามเรื่องราวที่มาเรียงร้อยกันทำให้นึกถึงหนังไทยอย่างรัก 7 ปีดี 7 หนหรือ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ (โดยเฉพาะในเรื่องหลังที่ธีมของเรื่องราวทั้งสามเกือบจะตรงกันเป๊ะ แต่ต่างในรายละเอียด) และฉากหลังช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง New Year's Eve หรือหนังไทยอย่างยอดมนุษย์เงินเดือน และซีรีย์อย่างฮอร์โมนซีซัน3 ตอนจบ ที่มีจุดร่วมกันที่ความสุข การให้ความหวัง และชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป
โดน1: เรื่องราวทั้งสามของหนังที่ทำให้รู้สึกดีทั้งสิ้น แม้จะมาในแนวทางที่แตกต่างกันตั้งแต่โรแมนติก ดราม่า และคอมเมดี้ รวมถึงการจัดวางเรื่องราวที่ให้แต่ละเรื่องเกิดห่างกัน 1 ปี และตัวละครที่ให้มีความเชื่อมโยงกันโดยไม่รู้สึกยัดเยียด และจังหวะในการเรียบเรียงหนังทั้งสามเรื่อง โดยเริ่มจากการดึงดูดคนดูด้วยยามเย็น ทำให้คนดูประทับใจด้วย Still on my mind และส่งท้ายให้คนดูมีความสุขด้วยพรปีใหม่
โดน2: การเลือกเพลงพระราชนิพนธ์มาใช้อย่างลงตัว ที่ชอบมีตั้งแต่การไม่ต้องบอกหรือเกริ่นก่อนว่าเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ แต่ทำเหมือนกับว่าเป็นเพลงทั่วๆไป การเรียบเรียงเสียงประสาน ขึ้นมาใหม่จนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงยามเย็น) ความไพเราะของบทเพลง (โดยเฉพาะเสียงเปียโนบรรเลงเพลง Still on my mind) และความครื้นเครงสนุกสนาน (ในตอนพรปีใหม่) การเลือกเพลงที่สามารถสื่อความหมายตรงกับแต่ละตอน และการใช้เพลงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินเรื่องจริงๆ ไม่ใช่แค่เปิดเป็นแบคกราวน์ เป็นซาวน์แทรก หรือเปิดเพลงประกอบ แต่เป็นเพลงที่ตัวละครในเรื่องร้องหรือเล่นจริงๆ
โดน3: นักแสดงที่คัดเลือกมาตรงกับบทและดึงดูด โดยคนที่โดดเด่นออกมาคือมิว นิษฐา ที่ได้เล่นบทดราม่าและเรียกอารมณ์ร่วมจากคนดูอีกครั้ง นาย นภัทร และวี วิโอเลต ที่ได้ออร่า ดึงดูดสายตา ความสดใหม่ (วีอาจมีผลงานมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ใช่แนวโรแมนติกคอมเมดี้) และมีเคมีที่เข้ากัน เต๋อและหนูนาที่เล่นได้สดใสน่ารัก เพียงแต่อยู่ในตอนที่ต้องการการแสดงเป็นทีมบทเลยไม่ได้โดดเด่นออกมา มีด้อยกว่าเพื่อนคือซันนี่ กับบทที่เป็นบทสมทบให้กับตอนมิวกับพ่อมากกว่าขึ้นเป็นบทนำคู่มิว ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะบทพ่อและแม่ของมิว และสมาชิกวงดนตรีป้าฟ้าที่น่ารักและมีสีสันทุกคน
โดน4: ความหมายที่แฝงอยู่ในหนัง โดยเฉพาะในตอนสุดท้ายที่ใส่แมสเซจเข้ามาหลายๆอย่าง เช่นคำพูดดนตรีนี่ดีจริงนะ การให้คนที่เป็นศูนย์รวมใจของทุกคนชื่อฟ้า (พรจากฟ้า) การที่นางเอกและพระเอกชื่อคิมกับหลง (ลองเอาชื่อตัวต้นของนางเอก รวมกับตัวท้ายของพระเอกดูสิ) หรือชื่อหลง ที่ตีความได้ถึงการหลงทาง (เล่นดนตรีเพื่อสนองความพอใจของตัวเองอย่างเดียว) ก่อนที่จะพบทางสว่าง (เล่นดนตรีเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข แล้วตัวเองก็สุขด้วย) การรวมตัวของวงดนตรีที่เครื่องดนตรีหรือสมาชิกในวงที่ไม่น่าไปด้วยกันได้ (ความปรองดอง) การทำหน้าที่ในส่วนที่ตัวเองได้รับมอบหมาย (ความรับผิดชอบ) และการที่ไม่ใช่มืออาชีพแต่อาศัยการฝึกฝน (ความเพียร) และการประมาณตนว่าตัวเองทำได้เท่าไร (พอเพียง) หรืออย่างตอน Still on my mind ที่พูดถึงการไม่ยอมรับความสูญเสีย แต่ในที่สุดก็สามารถทำใจ ปล่อยวาง และดำเนินชีวิตต่อไป ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนความรู้สึกของคนไทยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
โดน5: นี่คือการตีความใหม่ของหนังที่ทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติอย่างน่าสนใจ นอกเหนือจากบทเพลง ตัวละครไม่มีใครพี่เอ่ยนามพระองค์ท่าน ไม่ได้พูดถึงพระองค์ท่าน ไม่ได้ยกเอาพระบรมราโชวาทหรือโครงการพระราชดำริต่างๆมาอ้าง ไม่ได้มีตัวละครอุทิศตัวเพื่อสังคมหรือที่เป็นคนที่ทำผิดแล้วสำนึกได้เพราะคำสอนในหลวง ไม่ได้มีพระบรมฉายาลักษณ์ ไม่ได้มีฉากก้มกราบ ฉากจุดเทียน และอีกมากมายที่พบเห็นในหนังเทิดพระเกียรติ แต่กลับรู้สึกถึงพระองค์อยู่ในทุกๆอณูของหนังเรื่องนี้ เหมือนกับพระองค์กำลังเฝ้าดูเรา และอยากให้เรามีแต่ความสุขสวัสดีโดยถ้วนทั่วกัน
ไม่โดน1: แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างความประทับใจและชวนให้ชื่นชม แต่ถ้าพูดในแง่ของการเป็นหนังที่ดี โดยพิจารณาจากบทภาพยนตร์แล้ว หนังก็ยังมีจุดบกพร่องอยู่เยอะในเรื่องบทภาพยนตร์ โดยเฉพาะตอนที่สามที่ขาดการปูพื้นบุคลิกตัวละครทั้งบทคิมและหลง ทำให้ไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้คิมเกิดความมุ่งมั่นขนาดนี้ หรืออะไรคือจุดเปลี่ยนของหลงที่เปลี่ยนจากชาวร็อคไปเป็นหนุ่มออฟฟิศ และการหวนกลับมาเล่นดนตรีอีกครั้ง และไปเล่าเรื่องราวเฉไฉนอกเส้นทางจนเกือบทำให้หนังเป๋ (เช่นใส่มุขบรรยากาศสยองขวัญ หรือฉากไปขโมยเครื่องดนตรี) กว่าจะกลับตัวเข้าที่เข้าทางได้ ก็ตอนที่ตัวละครเริ่มเล่นดนตรีแล้ว (ซึ่งมันได้ตรงบรรยากาศ และการกำกับของพี่เก้งจิระ มากกว่าที่บท) และในตอนที่สองที่มีบางจังหวะย้วยไปหน่อย และบทของซันนี่ที่ดูเบาและไม่ได้ส่งเสริมเรื่องราวหรือตัวละครมากอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่โดน2: เสียดายกับหนังที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเจตนาดีๆ ความรู้สึกดีๆ แต่กลับมักง่ายทำโปสเตอร์โปรโมทออกมาเหมือนโปสเตอร์หนังต่างประเทศเรื่องหนึ่งขนาดนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีผลต่อเรื่องราวอะไรของหนัง แต่มันทำให้เสียความรู้สึกไปแล้ว
ปล. เรียงลำดับความชอบของทั้งสามตอน ยามเย็น > Still on my mind > พรปีใหม่
สนใจติดตามอ่านรีวิวอื่นๆของเจ้าของกระทู้ได้ที่เพจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/MovieReviewByPong/
[CR] (รีวิวหนัง) พรจากฟ้า (New Year's Gift): ให้บรรดาเราท่าน..รื่นรมย์
ภาพยนตร์ Feel Good จาก GDH ที่มาในจังหวะที่เหมาะเจาะ ทั้งเป็นการระลึกถึงอัจฉริยะภาพทางดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกฏ และเป็นการปลอบประโลมชาวไทยที่ยังคงโศกเศร้าเสียใจที่สูญเสียพระองค์ไปให้ได้มีความสุขจากสิ่งที่พระองค์ทรงประทานทิ้งไว้ให้เป็นของขวัญของชาวไทย และยังเป็นช่วงเวลาที่เข้าใกล้เทศกาลแห่งความสุข โดยการเป็นหนังสามเรื่องราวที่มาเรียงร้อยกันทำให้นึกถึงหนังไทยอย่างรัก 7 ปีดี 7 หนหรือ Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ (โดยเฉพาะในเรื่องหลังที่ธีมของเรื่องราวทั้งสามเกือบจะตรงกันเป๊ะ แต่ต่างในรายละเอียด) และฉากหลังช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง New Year's Eve หรือหนังไทยอย่างยอดมนุษย์เงินเดือน และซีรีย์อย่างฮอร์โมนซีซัน3 ตอนจบ ที่มีจุดร่วมกันที่ความสุข การให้ความหวัง และชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป
โดน1: เรื่องราวทั้งสามของหนังที่ทำให้รู้สึกดีทั้งสิ้น แม้จะมาในแนวทางที่แตกต่างกันตั้งแต่โรแมนติก ดราม่า และคอมเมดี้ รวมถึงการจัดวางเรื่องราวที่ให้แต่ละเรื่องเกิดห่างกัน 1 ปี และตัวละครที่ให้มีความเชื่อมโยงกันโดยไม่รู้สึกยัดเยียด และจังหวะในการเรียบเรียงหนังทั้งสามเรื่อง โดยเริ่มจากการดึงดูดคนดูด้วยยามเย็น ทำให้คนดูประทับใจด้วย Still on my mind และส่งท้ายให้คนดูมีความสุขด้วยพรปีใหม่
โดน2: การเลือกเพลงพระราชนิพนธ์มาใช้อย่างลงตัว ที่ชอบมีตั้งแต่การไม่ต้องบอกหรือเกริ่นก่อนว่าเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ แต่ทำเหมือนกับว่าเป็นเพลงทั่วๆไป การเรียบเรียงเสียงประสาน ขึ้นมาใหม่จนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงยามเย็น) ความไพเราะของบทเพลง (โดยเฉพาะเสียงเปียโนบรรเลงเพลง Still on my mind) และความครื้นเครงสนุกสนาน (ในตอนพรปีใหม่) การเลือกเพลงที่สามารถสื่อความหมายตรงกับแต่ละตอน และการใช้เพลงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินเรื่องจริงๆ ไม่ใช่แค่เปิดเป็นแบคกราวน์ เป็นซาวน์แทรก หรือเปิดเพลงประกอบ แต่เป็นเพลงที่ตัวละครในเรื่องร้องหรือเล่นจริงๆ
โดน3: นักแสดงที่คัดเลือกมาตรงกับบทและดึงดูด โดยคนที่โดดเด่นออกมาคือมิว นิษฐา ที่ได้เล่นบทดราม่าและเรียกอารมณ์ร่วมจากคนดูอีกครั้ง นาย นภัทร และวี วิโอเลต ที่ได้ออร่า ดึงดูดสายตา ความสดใหม่ (วีอาจมีผลงานมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ใช่แนวโรแมนติกคอมเมดี้) และมีเคมีที่เข้ากัน เต๋อและหนูนาที่เล่นได้สดใสน่ารัก เพียงแต่อยู่ในตอนที่ต้องการการแสดงเป็นทีมบทเลยไม่ได้โดดเด่นออกมา มีด้อยกว่าเพื่อนคือซันนี่ กับบทที่เป็นบทสมทบให้กับตอนมิวกับพ่อมากกว่าขึ้นเป็นบทนำคู่มิว ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะบทพ่อและแม่ของมิว และสมาชิกวงดนตรีป้าฟ้าที่น่ารักและมีสีสันทุกคน
โดน4: ความหมายที่แฝงอยู่ในหนัง โดยเฉพาะในตอนสุดท้ายที่ใส่แมสเซจเข้ามาหลายๆอย่าง เช่นคำพูดดนตรีนี่ดีจริงนะ การให้คนที่เป็นศูนย์รวมใจของทุกคนชื่อฟ้า (พรจากฟ้า) การที่นางเอกและพระเอกชื่อคิมกับหลง (ลองเอาชื่อตัวต้นของนางเอก รวมกับตัวท้ายของพระเอกดูสิ) หรือชื่อหลง ที่ตีความได้ถึงการหลงทาง (เล่นดนตรีเพื่อสนองความพอใจของตัวเองอย่างเดียว) ก่อนที่จะพบทางสว่าง (เล่นดนตรีเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข แล้วตัวเองก็สุขด้วย) การรวมตัวของวงดนตรีที่เครื่องดนตรีหรือสมาชิกในวงที่ไม่น่าไปด้วยกันได้ (ความปรองดอง) การทำหน้าที่ในส่วนที่ตัวเองได้รับมอบหมาย (ความรับผิดชอบ) และการที่ไม่ใช่มืออาชีพแต่อาศัยการฝึกฝน (ความเพียร) และการประมาณตนว่าตัวเองทำได้เท่าไร (พอเพียง) หรืออย่างตอน Still on my mind ที่พูดถึงการไม่ยอมรับความสูญเสีย แต่ในที่สุดก็สามารถทำใจ ปล่อยวาง และดำเนินชีวิตต่อไป ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนความรู้สึกของคนไทยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
โดน5: นี่คือการตีความใหม่ของหนังที่ทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติอย่างน่าสนใจ นอกเหนือจากบทเพลง ตัวละครไม่มีใครพี่เอ่ยนามพระองค์ท่าน ไม่ได้พูดถึงพระองค์ท่าน ไม่ได้ยกเอาพระบรมราโชวาทหรือโครงการพระราชดำริต่างๆมาอ้าง ไม่ได้มีตัวละครอุทิศตัวเพื่อสังคมหรือที่เป็นคนที่ทำผิดแล้วสำนึกได้เพราะคำสอนในหลวง ไม่ได้มีพระบรมฉายาลักษณ์ ไม่ได้มีฉากก้มกราบ ฉากจุดเทียน และอีกมากมายที่พบเห็นในหนังเทิดพระเกียรติ แต่กลับรู้สึกถึงพระองค์อยู่ในทุกๆอณูของหนังเรื่องนี้ เหมือนกับพระองค์กำลังเฝ้าดูเรา และอยากให้เรามีแต่ความสุขสวัสดีโดยถ้วนทั่วกัน
ไม่โดน1: แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างความประทับใจและชวนให้ชื่นชม แต่ถ้าพูดในแง่ของการเป็นหนังที่ดี โดยพิจารณาจากบทภาพยนตร์แล้ว หนังก็ยังมีจุดบกพร่องอยู่เยอะในเรื่องบทภาพยนตร์ โดยเฉพาะตอนที่สามที่ขาดการปูพื้นบุคลิกตัวละครทั้งบทคิมและหลง ทำให้ไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้คิมเกิดความมุ่งมั่นขนาดนี้ หรืออะไรคือจุดเปลี่ยนของหลงที่เปลี่ยนจากชาวร็อคไปเป็นหนุ่มออฟฟิศ และการหวนกลับมาเล่นดนตรีอีกครั้ง และไปเล่าเรื่องราวเฉไฉนอกเส้นทางจนเกือบทำให้หนังเป๋ (เช่นใส่มุขบรรยากาศสยองขวัญ หรือฉากไปขโมยเครื่องดนตรี) กว่าจะกลับตัวเข้าที่เข้าทางได้ ก็ตอนที่ตัวละครเริ่มเล่นดนตรีแล้ว (ซึ่งมันได้ตรงบรรยากาศ และการกำกับของพี่เก้งจิระ มากกว่าที่บท) และในตอนที่สองที่มีบางจังหวะย้วยไปหน่อย และบทของซันนี่ที่ดูเบาและไม่ได้ส่งเสริมเรื่องราวหรือตัวละครมากอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่โดน2: เสียดายกับหนังที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเจตนาดีๆ ความรู้สึกดีๆ แต่กลับมักง่ายทำโปสเตอร์โปรโมทออกมาเหมือนโปสเตอร์หนังต่างประเทศเรื่องหนึ่งขนาดนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีผลต่อเรื่องราวอะไรของหนัง แต่มันทำให้เสียความรู้สึกไปแล้ว
ปล. เรียงลำดับความชอบของทั้งสามตอน ยามเย็น > Still on my mind > พรปีใหม่
สนใจติดตามอ่านรีวิวอื่นๆของเจ้าของกระทู้ได้ที่เพจ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้