พรจากฟ้า หนังเทิดพระเกียรติ แบบฟีลกู๊ด ฟีลกู้ด (อาจจะสปอย)

พรจากฟ้า
หนังดีๆส่งท้ายปีอีกเรื่องที่คนไทยควรดู

(โพสนี้ค่อนข้างยาวและ "มี" สปอย ไม่เยอะมาก จริงๆอาจไม่ได้สปอยก็ได้ ไม่แน่ใจว่าระดับคำว่าสปอยของแต่ละคนเป็นยังไง ถ้าใครกลัวสปอยมากก็ไม่ต้องอ่าน ถ้าไม่กลัวสปอยก็อ่านๆไปได้)

ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอสรุปสั้นๆก่อนแบบไร้สปอยคือ เราชอบเรื่องนี้ เราอยากให้คนไทยได้ไปดูกัน อาจจะไม่ใช่หนังที่ถึงกับดีงามพระรามแปด แบบน้ำหูน้ำตาไหล แต่ด้วยความฟีลกู้ดที่ดูง่ายย่อยง่าย เหมาะที่จะไปดูเพื่อรับหนังเป็นตัวแทนอีกช่องทางในการส่งความสุขให้กับตัวเองและคนรอบข้างนะ ^^

หมดละ ด้านล่างคือยาวและมีสปอย 👇👇

ขอเกริ่นนิดนึง ว่าด้วยเรื่อง หนัง หรือ ละคร "เทิดพระเกียรติ"

คำว่า เทิดพระเกียรติ ที่คนเราทั่วไปรู้จักคืออะไร ?

= คือการเล่าเรื่องราวโดยอิงจาก พระเกียรติของพระมหากษัตริย์ ส่วนมากจะเป็นการถ่ายทอดทางตรง ที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นการอ้างถึงพระองค์ท่าน การแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ หรือ การดำเนินรอยตามพระราชดำริหรือพระราชกรณียกิจของพระองค์ ผ่านการร้อยเรียงเรื่องราว เพื่อให้คนไทยได้ทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

ซึ่ง เรื่อง พรจากฟ้า ถูกจัดหมวดอยู่ในกลุ่มของหนังเทิดพระเกียรติ แต่กลับไม่ได้มีลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นเลยแม้แต่นิดเดียว

หน้าหนังเป็นหนังฟีลกู๊ดธรรมดาสไตล์ GDH  และตลอดเรื่อง ก็ไม่มีช่วงไหนที่หลุดความเป็นสูตรสำเร็จของ GDH ได้
โดยการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในเรื่องนี้มาจากสิ่งที่เรียกว่า "ความสุข" ที่พระองค์ทรงพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยทั้งปวงผ่านบทเพลง พรปีใหม่ ในปี พศ. 2495 ซึ่งได้กลายเป็นแรงบันดาลใจหลักของหนังเรื่องนี้

เรื่องนี้อย่างที่รู้กันคือแบ่งออกเป็นสามพาร์ท คือ

1. ยามเย็น - พาร์ทที่มีความโรแมนติกระดับฟินจิกเนื้อหนังของตัวเองมากที่สุด ใช้เพลงพระราชนิพนธ์ ยามเย็น เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราว โดยผ่านตัวละคร บีม (น้องนาย) กับ แป้ง (วี) ที่ได้ทำงานร่วมกันในอีเว้นท์รับท่านทูตรัสเซีย ซึ่งทำให้ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันในยามเย็นวันนั้น

พาร์ทนี้โรแมนซ์มาก บรรยากาศ การจัดแสง บทหนัง ทำให้เป็นพาร์ทที่เบาสุดแต่น่าจดจำที่สุดเช่นกัน น้องนายหล่อระดับสามีแห่งชาติ แสดงดีด้วย วี ไวโอเลตก็แสดงดีขึ้นเรื่อยๆทุกเรื่องที่ได้ดู เคมีเข้ากันทั้งคู่ น่ารักจริงๆ ยิ้มและเขินตลอดเรื่องเลย (เขินน้องนายนี่แหละ หล่ออะไรเบอร์นั้น)

2. Still on my mind - ว่าด้วยเรื่องของ ฟา (มิว) ที่แม่ซึ่งเป็นครูสอนเปียโนเสียชีวิตกระทันหัน จึงต้องลาออกจากงานมาเพื่อดูแลพ่อที่เป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งพ่อได้คอยถามถึงแม่ตลอดว่าไปไหนๆ ตามประสาคนเป็นโรคนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้พ่อมีความสุขคือการได้ยินเสียงเปียโนเพลง still on my mind ที่แม่ชอบเล่นให้พ่อฟัง ฟาจึงพยายามที่จะเล่นบทเพลงนี้ให้ได้เพื่อพ่อ โดยมีเอ (ซันนี่) ช่างจูนเปียโนมาคอยช่วยเหลือ

พาร์ทนี้ดราม่าหนักที่สุด และเราชอบพาร์ทนี้น้อยสุด เนื่องจากความดราม่า มันดูค่อนข้างจงใจเกินไปหน่อย เดาทางง่าย และโลกสวยเกินความจริงไปนิดนึง แต่ยอมรับว่ายังคงทำออกมาได้ดีและก็ยังเรียกน้ำตาจากเราได้ไม่ยาก จุดแข็งของพาร์ทนี้คือการแสดงของมิว ที่เรียกว่าปังทะลุทั้งพาร์ท แบกเรื่องราวทั้งหมดได้ดีมาก คนที่รับบทพ่อที่เป็นอัลไซเมอร์ก็แสดงโคตรดี โคตรเชื่อ สีหน้า แววตา เหมือนคนเป็นโรคนี้จริงๆเลยอ่ะ ในขณะที่ซันนี่แทบจะเหมือนตัวประกอบ เพราะบทไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น แต่บทสรุปของพาร์ทนี้ก็เหมาะสมแล้วกับเพลง still on my mind ด้วยคอนเซปท์ว่า ถึงจะลืม ไม่ได้แปลว่าไม่รัก ยังไงก็อยู่ในใจตลอดไป

3. พรปีใหม่ - เรื่องของพนักงานบริษัทการเงินกลุ่มนึงที่มี คิม (หนูนา)อยู่ในกลุ่มนี้ ทุกคนรักในเสียงดนตรี แต่เรียกได้ว่า ไม่ค่อยมีพรสวรรค์ อารมณ์ว่าเล่นด้วยใจอ่ะแหละ จนกระทั่งพนักงานใหม่ ชื่อ หลง (เต๋อ) ซึ่งเป็นนักดนตรีวงร็อคเก่า ได้ย้ายเข้ามาทำงาน จึงเกิดการฟอร์มวงเพื่อเล่นดนตรีกัน เพราะทุกคนเชื่อว่าดนตรีคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนมีความสุข จนวางแผนที่จะของบประมาณบริษัทเพื่อสร้างห้องซ้อมดนตรี
พาร์ทนี้ตลกสุด คือบทจะขำก็ขำ เป็นลักษณะของหนังไลฟ์คอมเมดี้ ไม่ได้มีความโรแมนติกอะไร บทของเต๋อและหนูนาเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในลักษณะของเพื่อนที่รักในสิ่งเดียวกัน ช่วยกันเพื่อเป้าหมาย โดยมีคีย์เวิร์ดนึงในเรื่องตอนนี้ว่า การจะลงทุนสักนิดเพื่อความสุขของพนักงานมันคุ้มค่าหรือไม่ ในสายตาของบริษัทซึ่งทำเรื่องขึงขังซีเรียสอย่างการเงิน และมองทุกอย่างเป็นตัวเลข อาจจะมองว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ "ไม่คุ้มค่า" และไม่เกิดผลประโยชน์แก่บริษัท แต่พนักงานกลุ่มนี้สามารถนำดนตรีสร้างความสุขให้ได้มากพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่ในบริษัทยอมรับได้ ซึ่งดนตรีนี้ ก็เปรียบเหมือนพรจากสวรรค์นั่นเอง พาร์ทนี้ เราน้ำตาไหลมากกว่าพาร์ทสองอีกนะ แต่เป็นน้ำตาแห่งความปิติ เราเป็นคนนึงที่ไร้พรสวรรค์ด้านดนตรีอย่างสิ้นเชิงแต่เรารักดนตรีมาก เราเข้าใจฟีลที่คนในเรื่องต้องการจะสื่ออ่ะ

เรื่องนี้ให้ฟีลเหมือนดู Love Actaully หรือพวกหนังของ Gary Marshall เช่น New year's eve หรือ Valentines's day ด้วยการร้อยเรียงเรื่องราว เราคิดว่าคนจะชอบได้ไม่ยาก

เป็นไม่กี่ครั้งที่เราได้ดูหนังฟีลกู๊ดธรรมดาๆ แต่มีเมสเสจแฝงไปด้วยการเทิดพระเกียรติอย่างเต็มเปี่ยม เราชอบคอนเซปท์หนังที่เล่าโดยใช้ความสุขเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะสิ่งที่พระองค์พระราชทานให้แก่เรามากที่สุด ก็คือ ความสุขในการใช้ชีวิตของตนเองให้ดีที่สุดบนผืนแผ่นดินของเรา

สุดท้าย ตอนจบเลย เราเชื่อว่าหลายๆคนต้องน้ำตาไหลเช่นกันเพราะคิดถึงพระองค์ท่าน เหมือนกับพระองค์ได้ส่งความสุขปีใหม่ให้กับพวกเราเป็นครั้งสุดท้าย 🍃🍃

🎶🎶🎶 ตลอดปี จง มี สุข ใจ
ตลอดไป นับ แต่ บัด นี้
ให้สิ้นทุกข์ สุขเกษม เปรม ปรีดิ์
สวัสดี วัน ปี ใหม่เทอญ 🎶🎶🎶

ภาพจากเพจ พรจากฟ้า

อมยิ้ม04
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่