สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องราวบันทึกการเดินทางเข้าไปใน "เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร" มาเล่าให้เพื่อนๆฟังครับ พวกเราเดินทางไปเมื่อวันที่ 22 ถึง 24 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมานี้ จุดประสงค์เพื่อ นำแทงค์บรรจุน้ำเข้าไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตามหน่วยพิทักษ์ และที่หมู่บ้านจะแกซึ่งเป็นหมู่บ้านภายในทุ่งใหญ่นเรศวร
ทุ่งใหญ่นเรศวรคืออะไร ทำไมพวกเราต้องนำแทงค์น้ำเข้าไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ มาติดตามไปพร้อมๆกันได้เลยครับ
เนื่องจากเวลาผ่านมานานจึงทำให้จำรายละเอียดได้ไม่ดีเท่าที่ควร ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า สาเหตุที่ได้มาเขียนกระทู้นี่เพราะได้ไปเห็นกระทู้หนึ่งที่ได้ทำภารกิจคล้ายๆกันมา เลยอยากนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าทุ่งใหญ่นเรศวรคืออะไร (ขอสาระนิสนึงนะครับ)
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
เป็นแหล่งมรดกโลกของประเทศไทย ร่วมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยการลงทะเบียนของยูเนสโก ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ณ เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเซีย กินพื้นที่ครอบคลุม 6 อำเภอ ของ 3 จังหวัด ได้แก่ อำเภอบ้านไร่ อำเภอลานสัก อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี อำเภอสังขละ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก มีพื้นที่ 2,279,500 ไร่ หรือ 3,647 ตารางกิโลเมตร
ทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้งเป็นป่าผืนเดียวกันแต่แบ่งการดูแลออกเป็น 2 ส่วนคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดและเป็นป่าผืนใหญ่ผืนสุดท้ายของประเทศไทย ซึ่งในนั้นมีหมู่บ้านกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่อยู่กันมาแต่สมัยก่อนจะก่อตั้งเป็นเขตอนุรักษ์ คนที่นั้นจึงได้รับอนุญาตให้อยู่ที่เดิมโดยอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของกรมป่าไม้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต่างจากอุทยานแห่งชาติตรงที่อุทยานแห่งชาติเป็นการอนุรักษ์ผสมผสานกับการท่องเที่ยว แต่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเป็นเขตอนุรักษ์หวงห้ามที่ไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเที่ยวอย่างเป็นทางการ ในการจะเข้าลึกไปในทุ่งใหญ่นเรศวรจะต้องมีการทำเรื่องขออนุญาตถึงอธิบดีกรมป่าไม้และต้องได้รับการเซ็นต์อนุมัติ โดยจะต้องมีข้อมูลทะเบียนรถทุกคันและชื่อคนขับในการยื่นขอ ในกรณีเข้าไปหมู่บ้านรอบนอกไม่เกินหน่วยที่ 2 อาจได้รับการอนุโลมเป็นรายครั้งไปแต่ต้องมีการบันทึกรถเข้า ออก ชื่อคนขับและจำนวนคนทุกครั้ง
ลักษณะของพื้นที่ป่าภายในทุ่งใหญ่ฯนั้นอุดมสมบูรณ์มากครับ เป็นป่าแบบไม้ผลัดใบ และแยกย่อยได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้น ป่าเบญจพันธุ์ ป่าไผ่ และอื่นๆอีกมากมาย
ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลประกอบกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จึงมีสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ และเพราะความอุดมสมบูรณ์นี้เองทำให้ทุ่งใหญ่ฯกลับกลายเป็นสถานที่ที่มีเหล่านายพรานนักล่า และ กลุ่มนายทุนผู้มีอิทธิพล พยายามจะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นที่ป่าแห่งนี้
ด้วยเหตุนี้เองทางกรมอุทยานจึงจำเป็นต้องมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าวางตำแหน่งอยู่โดยรอบบริเวณทุ่งใหญ่ฯ แบ่งการดูแลออกเป็นฝั่งตะวันออก และ ตะวันตก รวมทั้งสิ้นประมาณ 32 หน่วย แต่เนื่องด้วยพื้นที่ป่ากว้างใหญ่มาก แต่ละหน่วยจึงตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร เป็นระยะทางตั้งแต่ 10-20 กิโลเมตรครับ หากเป็นช่วงหน้าแล้งการเดินเท้าหากันระหว่างหน่วยพอจะทำได้สะดวก แต่ก็ยังต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว ปัญหาคือหากมีเรื่องเร่งด่วน หรือเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือ ด้วยระยะเวลาเดินทางขนาดนี้อาจจะนานเกินไป และยิ่งถ้าเป็นหน้าฝนระยะเวลาในการเดินทางก็จะยิ่งช้าลงไปอีกมากครับอีกปัญหาหนึ่งก็คือการขนส่งสิ่งของที่มีขนาดใหญ่และหนักเกินกว่ากำลังคนจะขนไปได้ ก็จำเป็นต้องใช้ยานพาหนะเพื่อบรรทุกของเข้าไป ซึ่งการเดินทางนั้นไม่ต้องพูดถึงครับถึงจะเป็นหน้าแล้งที่ถนนแห้ง การเดินทางไปแต่ละหน่วยก็ยังต้องใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง และในหน้าฝนกรณีที่ร้ายแรงที่สุดก็คูณความยากลำบากเข้าไปอีกประมาณ 10 เท่า
เอาล่ะตอนนี้เราก็ได้ทราบที่มาที่ไปกันเรียบร้อย ถึงเวลาออกเดินทางกันแล้วครับ การเดินทางจะเป็นยังไงมีอะไรรอพวกเราอยู่บ้าง มาติดตามไปพร้อมๆกันเลย
ทริปนี้ประกอบไปด้วยรถทั้งหมด 8 คัน ซึ่งคนขับประกอบด้วย ผม ส.จ.โอ๋ พี่หวาน ผู้จัดการอเนก พี่อั๋น พี่นิคม พี่โอค(เห็นว่าเป็นหลานแท้ๆของสืบนาคะสะเถียร (แกนามสกุลนาคะสเถียร) และพี่อีกท่านน่าจะชื่อพี่เอก จำได้แต่ว่าเป็นคนที่ผมให้ยืมยางอะไหล่ 555
ต้องเกริ่นก่อนว่าผมเรียนเภสัชอยู่นครปฐม ปี 6 ซึ่งอยู่ในช่วงฝึกงาน ซึ่งผมเรียนภาคเทคโนโลยีเภสัชกรรม จึงฝึกงานอยู่โรงงานยาแถวนครปฐม แต่ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์จึงได้หยุดยาว 3 วัน ปกติผมมีรถซูซูกิ แคริเบียนเดิมๆยกสูงอยู่คันนึง จึงได้เข้าเล่นออฟโรด ซึ่งเมื่อเดือนมกราพี่เอก(คนละเอก) ชวนไปผาตัดที่เพชรบูรณ์(เป็นเทือกเดียวกับภูทับเบิกแต่อยู่ห่างกันประมาณสิบกว่าโลถ้าวัดเป็นเส้นตรง) แต่เอาเข้าจริงพี่แกไม่ว่างเลยให้ติดต่อกับพวกๆแกที่ไป ซึ่งก็คือพี่โอ๋ (เห็นว่าเป็น ส.จ. อยู่นนท์) เลยเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด(ถ้าอยากดูรูปสวยๆไว้จะเอามาลงให้ดู สวยมาก) ซึ่งหลังจากทริปนั้นก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ จนวันหนึ่งพี่โอ๋ทักมาบอกไปทุ่งใหญ่กันมั๊ย ขนถัง 3,000 ลิตรเข้าไปให้เจ้าหน้าที่กับหมู่บ้านข้างในเอาของไปแจกด้วย ผมบอกรถผมไม่มีกระบะสิพี่ แกเลยบอกไม่เป็นไร ช่วยขนของที่จะแจกไปก็ได้ ยังไงกระบะต้องแบกถัง ผมเลยตกลง ใจจริงคืออยากไปมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาส(ขออนุญาตยากมาก) ตั้งใจว่าชีวิตนี้จะต้องเข้าทุ่งใหญ่นเรศวรให้ได้ แล้วโอกาสก็มาถึง (งานนี้เป็นการไปช่วยเจ้าหน้าที่เรื่องเดินเรื่องขออนุญาตจึงมีคนทำให้พร้อม แค่ส่งชื่อกับทะเบียนรถไปให้) ประจวบเหมาะกับที่พ่อผมได้รถมาอีกคันนึงเป็นรถรถซูซูกิ แคริเบียนเหมือนกัน แต่เจ้าของแต่งมาแบบจัดเต็มเล่นอยู่เกือบสิบปี แล้วเลิกเล่นจอดทิ้งตากแดดตากฝนอยู่ 4-5 ปี สภาพโทรมสีซีดรอยสนิมไหลเต็มคัน เลยได้ในราคาที่พอมีปัญญาจับต้องได้ เอามาก็มาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ เปลี่ยนซีล อัดโช้ก เปลี่ยนท่อยางต่างๆ ช่วง 1 อาทิตย์ก่อนถึงวันผมภาวนาให้ฝนตกในป่า ตกเยอะๆ ทางจะได้มันส์ๆ พอวันจะไปให้หยุด จะได้ไม่ต้องตากฝน พอก่อนวันนัดวันนึงพ่อก็ขับมาจากบุรีรัมย์ เป็นการขับทางไกลครั้งแรกตั้งแต่ได้มา ปรากฏว่าไม่มีปัญหาอะไร เลยค่อยมั่นใจ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีพายุเข้าพม่าพอดีแถวกาญฯเลยมีฝนตกอยู่ก่อนหลายวัน (สิ่งที่ภาวนาเป็นจริง)
พอวันเดินทางก็นัดรวมพลกันที่ปั๊ม ปตท ตรงแยกแก่งเสี้ยนตอน 11.00 น เพราะเป็นทางผ่านพอดี ผมไปถึงพี่ๆเค้ารออยู่ก่อนแล้ว 5 คัน ที่เหลือจะตามมาเช้าพรุ่งนี้ ครั้งแรกที่ผมลงไปสายตาแต่ละคนมองรถนี่แบบ เอารถอะไรมาวะ จะรอดมั๊ย แต่บังเอิญช่วงนั้นยังแล้ง ฝนเพิ่งมาเพราะพายุเข้า เค้าคงคิดว่าไม่น่าเป็นไรทางไม่น่ายาก เลยให้ผมไปด้วย วันนั้นไปถึงสังขละตอนเย็นก็ไปเที่ยวสะพานมอญแล้วรวมกันถ่ายรูป
เสร็จก็ไปหาอะไรกินกัน จากนั้นก็เข้าที่พัก จำได้ว่าวันนั้นนึกอยากไปเวียนเทียนที่วัดแถวนั้นอยู่เหมือนกัน คนที่นั่นจะแต่งชุดไทยไปวัดกันสวยงามมาก ออกมาตามท้องถนนตอนหัวค่ำจะเห็นแต่ผู้หญิงแต่งชุดไทยถือดอกไม้ธูปเทียนเตรียมไปวัด วันนั้นพวกเราไปนอนรีสอร์ท ริมแม่น้ำ เช้าตื่นมาประมาณ 6 โมงทำไรเสร็จเก็บของเสร็จก็ประมาณ 7.00 มองจากระเบียงเห็นสะพานมอญสวยมาก
ประมาณ 7.00 ก็ออกจากที่พักก็ไปกินข้าวแล้วโหลดสะเบียง
จากนั้นก็ไปเอาถังขึ้นรถที่ศูนย์ประสานงานป่าไม้ที่อยู่ในตัวอำเภอ
ส่วนรถผมก็แบ่งขนถ่ายสัมภาระกับของที่จะแจกมาใส่
พอเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปเติมน้ำมันที่ ปตท ตรงใกล้ๆแยกสังขละ โดยคราวนี้มีรถเจ้าหน้าที่นำทางมาเพิ่มอีก 1 คัน แต่ละคันเติมเต็มถังแล้วก็เติมใส่ถังสำรองเต็มไว้ด้วย ระหว่างที่รอคันอื่นเติมผมก็แวะเซเว่นซื้อนม ขนม ติดไว้กินในรถ เมื่อทุกคันพร้อมแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง โดยเดินทางย้อนกลับไปทางทองผาภูมิประมาณ 10 กม ทางเข้าจะอยู่ซ้ายมือ พอเลี้ยวเข้าไปจะผ่านหมู่บ้านมีเด็กๆมายืนโบกมือทักทาย สักพักผมก็ ว. ถามพี่ๆว่าจะลงบิด free lock กันเมื่อไหร่(คือการบิดล็อกล้อหน้าเข้ากับเพลาขับเพื่อขับ 4) พี่โอ๋บอกลงเลยก็ได้ เดี๋ยวทางก็เริ่มยากแล้ว ก็เลยลงบิดแล้วเปลี่ยนกันขับกับพ่อ (พ่อผมขับทางเรียบมาตลอด คันนี้ผมยังไม่เคยขับ คราวนี้ผมขับครั้งแรกแต่จะขับเข้าป่า หาเรื่องจริงๆ5555 ) พอขับมาก็เปิดปั๊มลม air lock สักพักท่อลมหลุดดังฟิ้ววว สรุปปั๊มลมเต็มแล้วไม่ตัดนั่นเอง เลยปิดไม่ได้ใช้อีกก็ขึ้นเขา ยังไม่ชันก็พอขับได้เพราะยังไม่ค่อยคุ้นรถจนมาถึงเนินสุดท้ายก่อนถึงจุดสูงสุดเป็นทางชันยาวจึงให้ขึ้นกันทีละคัน ผมขึ้นทีแรกอัดขึ้นด้วยเกียร์ 3 เอาแรงเฉื่อยของรถสร้างจังหวะไว้ก่อน พอขึ้นมาจนแรงเฉื่อยเริ่มหมดก็เปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 ขึ้นมาได้อีกหน่อย หมดแรงต้องใส่เกียร์ 1 ด้วยความชันพอถอนคันเร่งเปลี่ยนเกียร์ทำให้รถช้าลงจนเกือบหยุด ด้วยความที่ไม่ชินคลัช (คันนี้คลัชสูงกว่าคันที่ผมขับอยู่ปกติ) ทำให้พอถอนคลัชตามปกติที่คุ้นเคยแล้วรู้สึกว่าคลัชไม่จับ แล้วไม่กล้าถอนเพิ่มเร็วเพราะกลัวเครื่องดับ ทำให้รถไหลถอยหลังลงซึ่งอันตรายมาก ผมจึงเหยียบเบรกไว้ พอรถหยุดนิ่งผมจึงออกตัวอีกครั้งด้วยเกียร์ 1 คราวนี้เหมือนเดิมคือผมไม่กล้าถอนคลัชเร็วเพราะกลัวเครื่องดับ ซึ่งถ้าเครื่องดับขณะอยู่บนเนินชันเป็นอะไรที่อันตรายมาก เพราะเบรกจะตื้อ ถ้าเบรกไม่อยู่แล้วรถถอยหลังลงจะไม่สามารถควบคุมรถได้ทำให้รถปัดขวางและพลิกตีลังกากลิ้งลงได้ เมื่อผมถอนคลัชผลคื่อคลัชไม่จับและรถไหลถอยลงอีกครั้ง ผมเหยียบเบรกไว้ พอรถนิ่งผมเลยตัดสินใจวัดดวงเป็นไงเป็นกัน ถอนคลัชให้เร็วเหยียบคันเร่งให้แรง ถ้าไปได้คือรอด ถ้าดับคือจบ ขณะที่ตีนขวาเหยียบเบรกอยู่ตีนซ้ายก็เหยียบคลัช มือซ้ายใส่เกียร์ มือขวาประคองพวงมาลัยให้มั่นเป็นไงเป็นกันคิดแล้วก็นับในใจ 1 2 3 แล้วเอาตีนออกจากเบรก(ความรู้สึกว่ารถเริ่มไหลลง) แล้วถอนคลัชอย่างเร็วพร้อมกระแทกคันเร่ง ปึ๊ด รถกระชากออกวิ่งไปข้างหน้าขึ้นเนินไปจนถึงยอด พร้อมกับรู้สึกโล่งอก ในใจคิดว่าเริ่มจับจุดได้ละ ผมคิดว่าคันข้างหลังคงลุ้นกันน่าดูเพราะสภาพนั้นอันตรายมาก ทันใดนั้นก็ไดยินเสียงพี่โอ๋ ว. มา บอกว่า “ฝาท้ายหลุด ตกอยู่เนี่ย” ผมมองไปที่ท้ายรถ อ้าว กระจกท้ายหายนี่หว่า พ่อผมจึงเดินลงไปเก็บ พ่อผมบอกสงสัยของมันกระแทกหลุดตอนขึ้นเนินมา พ่อผมก็เอามาวางพาดไว้ท้ายรถ ดีที่ไม่แตก ผมก็สงสัย ตกไปขนาดนั้นทำไมมันไม่แตก หลังจากนั้นก็จะเป็นการลงเขาอย่างเดียวจึงไม่มีปัญหาเพราะใช้เกียร์ดึงอย่างเดียวไม่ต้องเหยียบอะไร ประคองพวงมาลัยพอ จนถึงประตูทางเข้าทุ่งใหญ่(หน่วยแรก)
เราก็จอดเขียนข้อมูลเข้าให้เจ้าหน้าที่ มีชื่อคนขับ ทะเบียนรถ จำนวนคนที่มา ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ได้ตาข่ายมาคลุมท้าย จำไม่ได้ว่าพี่ท่านใดให้มา
สภาพก็ประมาณนี้
ตะลุยนรก ทุ่งใหญ่นเรศวร
ทุ่งใหญ่นเรศวรคืออะไร ทำไมพวกเราต้องนำแทงค์น้ำเข้าไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ มาติดตามไปพร้อมๆกันได้เลยครับ
เนื่องจากเวลาผ่านมานานจึงทำให้จำรายละเอียดได้ไม่ดีเท่าที่ควร ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า สาเหตุที่ได้มาเขียนกระทู้นี่เพราะได้ไปเห็นกระทู้หนึ่งที่ได้ทำภารกิจคล้ายๆกันมา เลยอยากนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าทุ่งใหญ่นเรศวรคืออะไร (ขอสาระนิสนึงนะครับ)
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
เป็นแหล่งมรดกโลกของประเทศไทย ร่วมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยการลงทะเบียนของยูเนสโก ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ณ เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเซีย กินพื้นที่ครอบคลุม 6 อำเภอ ของ 3 จังหวัด ได้แก่ อำเภอบ้านไร่ อำเภอลานสัก อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี อำเภอสังขละ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก มีพื้นที่ 2,279,500 ไร่ หรือ 3,647 ตารางกิโลเมตร
ทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้งเป็นป่าผืนเดียวกันแต่แบ่งการดูแลออกเป็น 2 ส่วนคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดและเป็นป่าผืนใหญ่ผืนสุดท้ายของประเทศไทย ซึ่งในนั้นมีหมู่บ้านกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่อยู่กันมาแต่สมัยก่อนจะก่อตั้งเป็นเขตอนุรักษ์ คนที่นั้นจึงได้รับอนุญาตให้อยู่ที่เดิมโดยอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของกรมป่าไม้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต่างจากอุทยานแห่งชาติตรงที่อุทยานแห่งชาติเป็นการอนุรักษ์ผสมผสานกับการท่องเที่ยว แต่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเป็นเขตอนุรักษ์หวงห้ามที่ไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเที่ยวอย่างเป็นทางการ ในการจะเข้าลึกไปในทุ่งใหญ่นเรศวรจะต้องมีการทำเรื่องขออนุญาตถึงอธิบดีกรมป่าไม้และต้องได้รับการเซ็นต์อนุมัติ โดยจะต้องมีข้อมูลทะเบียนรถทุกคันและชื่อคนขับในการยื่นขอ ในกรณีเข้าไปหมู่บ้านรอบนอกไม่เกินหน่วยที่ 2 อาจได้รับการอนุโลมเป็นรายครั้งไปแต่ต้องมีการบันทึกรถเข้า ออก ชื่อคนขับและจำนวนคนทุกครั้ง
ลักษณะของพื้นที่ป่าภายในทุ่งใหญ่ฯนั้นอุดมสมบูรณ์มากครับ เป็นป่าแบบไม้ผลัดใบ และแยกย่อยได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้น ป่าเบญจพันธุ์ ป่าไผ่ และอื่นๆอีกมากมาย
ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลประกอบกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จึงมีสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ และเพราะความอุดมสมบูรณ์นี้เองทำให้ทุ่งใหญ่ฯกลับกลายเป็นสถานที่ที่มีเหล่านายพรานนักล่า และ กลุ่มนายทุนผู้มีอิทธิพล พยายามจะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นที่ป่าแห่งนี้
ด้วยเหตุนี้เองทางกรมอุทยานจึงจำเป็นต้องมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าวางตำแหน่งอยู่โดยรอบบริเวณทุ่งใหญ่ฯ แบ่งการดูแลออกเป็นฝั่งตะวันออก และ ตะวันตก รวมทั้งสิ้นประมาณ 32 หน่วย แต่เนื่องด้วยพื้นที่ป่ากว้างใหญ่มาก แต่ละหน่วยจึงตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร เป็นระยะทางตั้งแต่ 10-20 กิโลเมตรครับ หากเป็นช่วงหน้าแล้งการเดินเท้าหากันระหว่างหน่วยพอจะทำได้สะดวก แต่ก็ยังต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว ปัญหาคือหากมีเรื่องเร่งด่วน หรือเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือ ด้วยระยะเวลาเดินทางขนาดนี้อาจจะนานเกินไป และยิ่งถ้าเป็นหน้าฝนระยะเวลาในการเดินทางก็จะยิ่งช้าลงไปอีกมากครับอีกปัญหาหนึ่งก็คือการขนส่งสิ่งของที่มีขนาดใหญ่และหนักเกินกว่ากำลังคนจะขนไปได้ ก็จำเป็นต้องใช้ยานพาหนะเพื่อบรรทุกของเข้าไป ซึ่งการเดินทางนั้นไม่ต้องพูดถึงครับถึงจะเป็นหน้าแล้งที่ถนนแห้ง การเดินทางไปแต่ละหน่วยก็ยังต้องใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง และในหน้าฝนกรณีที่ร้ายแรงที่สุดก็คูณความยากลำบากเข้าไปอีกประมาณ 10 เท่า
เอาล่ะตอนนี้เราก็ได้ทราบที่มาที่ไปกันเรียบร้อย ถึงเวลาออกเดินทางกันแล้วครับ การเดินทางจะเป็นยังไงมีอะไรรอพวกเราอยู่บ้าง มาติดตามไปพร้อมๆกันเลย
ทริปนี้ประกอบไปด้วยรถทั้งหมด 8 คัน ซึ่งคนขับประกอบด้วย ผม ส.จ.โอ๋ พี่หวาน ผู้จัดการอเนก พี่อั๋น พี่นิคม พี่โอค(เห็นว่าเป็นหลานแท้ๆของสืบนาคะสะเถียร (แกนามสกุลนาคะสเถียร) และพี่อีกท่านน่าจะชื่อพี่เอก จำได้แต่ว่าเป็นคนที่ผมให้ยืมยางอะไหล่ 555
ต้องเกริ่นก่อนว่าผมเรียนเภสัชอยู่นครปฐม ปี 6 ซึ่งอยู่ในช่วงฝึกงาน ซึ่งผมเรียนภาคเทคโนโลยีเภสัชกรรม จึงฝึกงานอยู่โรงงานยาแถวนครปฐม แต่ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์จึงได้หยุดยาว 3 วัน ปกติผมมีรถซูซูกิ แคริเบียนเดิมๆยกสูงอยู่คันนึง จึงได้เข้าเล่นออฟโรด ซึ่งเมื่อเดือนมกราพี่เอก(คนละเอก) ชวนไปผาตัดที่เพชรบูรณ์(เป็นเทือกเดียวกับภูทับเบิกแต่อยู่ห่างกันประมาณสิบกว่าโลถ้าวัดเป็นเส้นตรง) แต่เอาเข้าจริงพี่แกไม่ว่างเลยให้ติดต่อกับพวกๆแกที่ไป ซึ่งก็คือพี่โอ๋ (เห็นว่าเป็น ส.จ. อยู่นนท์) เลยเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด(ถ้าอยากดูรูปสวยๆไว้จะเอามาลงให้ดู สวยมาก) ซึ่งหลังจากทริปนั้นก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ จนวันหนึ่งพี่โอ๋ทักมาบอกไปทุ่งใหญ่กันมั๊ย ขนถัง 3,000 ลิตรเข้าไปให้เจ้าหน้าที่กับหมู่บ้านข้างในเอาของไปแจกด้วย ผมบอกรถผมไม่มีกระบะสิพี่ แกเลยบอกไม่เป็นไร ช่วยขนของที่จะแจกไปก็ได้ ยังไงกระบะต้องแบกถัง ผมเลยตกลง ใจจริงคืออยากไปมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาส(ขออนุญาตยากมาก) ตั้งใจว่าชีวิตนี้จะต้องเข้าทุ่งใหญ่นเรศวรให้ได้ แล้วโอกาสก็มาถึง (งานนี้เป็นการไปช่วยเจ้าหน้าที่เรื่องเดินเรื่องขออนุญาตจึงมีคนทำให้พร้อม แค่ส่งชื่อกับทะเบียนรถไปให้) ประจวบเหมาะกับที่พ่อผมได้รถมาอีกคันนึงเป็นรถรถซูซูกิ แคริเบียนเหมือนกัน แต่เจ้าของแต่งมาแบบจัดเต็มเล่นอยู่เกือบสิบปี แล้วเลิกเล่นจอดทิ้งตากแดดตากฝนอยู่ 4-5 ปี สภาพโทรมสีซีดรอยสนิมไหลเต็มคัน เลยได้ในราคาที่พอมีปัญญาจับต้องได้ เอามาก็มาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ เปลี่ยนซีล อัดโช้ก เปลี่ยนท่อยางต่างๆ ช่วง 1 อาทิตย์ก่อนถึงวันผมภาวนาให้ฝนตกในป่า ตกเยอะๆ ทางจะได้มันส์ๆ พอวันจะไปให้หยุด จะได้ไม่ต้องตากฝน พอก่อนวันนัดวันนึงพ่อก็ขับมาจากบุรีรัมย์ เป็นการขับทางไกลครั้งแรกตั้งแต่ได้มา ปรากฏว่าไม่มีปัญหาอะไร เลยค่อยมั่นใจ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีพายุเข้าพม่าพอดีแถวกาญฯเลยมีฝนตกอยู่ก่อนหลายวัน (สิ่งที่ภาวนาเป็นจริง)
พอวันเดินทางก็นัดรวมพลกันที่ปั๊ม ปตท ตรงแยกแก่งเสี้ยนตอน 11.00 น เพราะเป็นทางผ่านพอดี ผมไปถึงพี่ๆเค้ารออยู่ก่อนแล้ว 5 คัน ที่เหลือจะตามมาเช้าพรุ่งนี้ ครั้งแรกที่ผมลงไปสายตาแต่ละคนมองรถนี่แบบ เอารถอะไรมาวะ จะรอดมั๊ย แต่บังเอิญช่วงนั้นยังแล้ง ฝนเพิ่งมาเพราะพายุเข้า เค้าคงคิดว่าไม่น่าเป็นไรทางไม่น่ายาก เลยให้ผมไปด้วย วันนั้นไปถึงสังขละตอนเย็นก็ไปเที่ยวสะพานมอญแล้วรวมกันถ่ายรูป
เสร็จก็ไปหาอะไรกินกัน จากนั้นก็เข้าที่พัก จำได้ว่าวันนั้นนึกอยากไปเวียนเทียนที่วัดแถวนั้นอยู่เหมือนกัน คนที่นั่นจะแต่งชุดไทยไปวัดกันสวยงามมาก ออกมาตามท้องถนนตอนหัวค่ำจะเห็นแต่ผู้หญิงแต่งชุดไทยถือดอกไม้ธูปเทียนเตรียมไปวัด วันนั้นพวกเราไปนอนรีสอร์ท ริมแม่น้ำ เช้าตื่นมาประมาณ 6 โมงทำไรเสร็จเก็บของเสร็จก็ประมาณ 7.00 มองจากระเบียงเห็นสะพานมอญสวยมาก
ประมาณ 7.00 ก็ออกจากที่พักก็ไปกินข้าวแล้วโหลดสะเบียง
จากนั้นก็ไปเอาถังขึ้นรถที่ศูนย์ประสานงานป่าไม้ที่อยู่ในตัวอำเภอ
ส่วนรถผมก็แบ่งขนถ่ายสัมภาระกับของที่จะแจกมาใส่
พอเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปเติมน้ำมันที่ ปตท ตรงใกล้ๆแยกสังขละ โดยคราวนี้มีรถเจ้าหน้าที่นำทางมาเพิ่มอีก 1 คัน แต่ละคันเติมเต็มถังแล้วก็เติมใส่ถังสำรองเต็มไว้ด้วย ระหว่างที่รอคันอื่นเติมผมก็แวะเซเว่นซื้อนม ขนม ติดไว้กินในรถ เมื่อทุกคันพร้อมแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง โดยเดินทางย้อนกลับไปทางทองผาภูมิประมาณ 10 กม ทางเข้าจะอยู่ซ้ายมือ พอเลี้ยวเข้าไปจะผ่านหมู่บ้านมีเด็กๆมายืนโบกมือทักทาย สักพักผมก็ ว. ถามพี่ๆว่าจะลงบิด free lock กันเมื่อไหร่(คือการบิดล็อกล้อหน้าเข้ากับเพลาขับเพื่อขับ 4) พี่โอ๋บอกลงเลยก็ได้ เดี๋ยวทางก็เริ่มยากแล้ว ก็เลยลงบิดแล้วเปลี่ยนกันขับกับพ่อ (พ่อผมขับทางเรียบมาตลอด คันนี้ผมยังไม่เคยขับ คราวนี้ผมขับครั้งแรกแต่จะขับเข้าป่า หาเรื่องจริงๆ5555 ) พอขับมาก็เปิดปั๊มลม air lock สักพักท่อลมหลุดดังฟิ้ววว สรุปปั๊มลมเต็มแล้วไม่ตัดนั่นเอง เลยปิดไม่ได้ใช้อีกก็ขึ้นเขา ยังไม่ชันก็พอขับได้เพราะยังไม่ค่อยคุ้นรถจนมาถึงเนินสุดท้ายก่อนถึงจุดสูงสุดเป็นทางชันยาวจึงให้ขึ้นกันทีละคัน ผมขึ้นทีแรกอัดขึ้นด้วยเกียร์ 3 เอาแรงเฉื่อยของรถสร้างจังหวะไว้ก่อน พอขึ้นมาจนแรงเฉื่อยเริ่มหมดก็เปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 ขึ้นมาได้อีกหน่อย หมดแรงต้องใส่เกียร์ 1 ด้วยความชันพอถอนคันเร่งเปลี่ยนเกียร์ทำให้รถช้าลงจนเกือบหยุด ด้วยความที่ไม่ชินคลัช (คันนี้คลัชสูงกว่าคันที่ผมขับอยู่ปกติ) ทำให้พอถอนคลัชตามปกติที่คุ้นเคยแล้วรู้สึกว่าคลัชไม่จับ แล้วไม่กล้าถอนเพิ่มเร็วเพราะกลัวเครื่องดับ ทำให้รถไหลถอยหลังลงซึ่งอันตรายมาก ผมจึงเหยียบเบรกไว้ พอรถหยุดนิ่งผมจึงออกตัวอีกครั้งด้วยเกียร์ 1 คราวนี้เหมือนเดิมคือผมไม่กล้าถอนคลัชเร็วเพราะกลัวเครื่องดับ ซึ่งถ้าเครื่องดับขณะอยู่บนเนินชันเป็นอะไรที่อันตรายมาก เพราะเบรกจะตื้อ ถ้าเบรกไม่อยู่แล้วรถถอยหลังลงจะไม่สามารถควบคุมรถได้ทำให้รถปัดขวางและพลิกตีลังกากลิ้งลงได้ เมื่อผมถอนคลัชผลคื่อคลัชไม่จับและรถไหลถอยลงอีกครั้ง ผมเหยียบเบรกไว้ พอรถนิ่งผมเลยตัดสินใจวัดดวงเป็นไงเป็นกัน ถอนคลัชให้เร็วเหยียบคันเร่งให้แรง ถ้าไปได้คือรอด ถ้าดับคือจบ ขณะที่ตีนขวาเหยียบเบรกอยู่ตีนซ้ายก็เหยียบคลัช มือซ้ายใส่เกียร์ มือขวาประคองพวงมาลัยให้มั่นเป็นไงเป็นกันคิดแล้วก็นับในใจ 1 2 3 แล้วเอาตีนออกจากเบรก(ความรู้สึกว่ารถเริ่มไหลลง) แล้วถอนคลัชอย่างเร็วพร้อมกระแทกคันเร่ง ปึ๊ด รถกระชากออกวิ่งไปข้างหน้าขึ้นเนินไปจนถึงยอด พร้อมกับรู้สึกโล่งอก ในใจคิดว่าเริ่มจับจุดได้ละ ผมคิดว่าคันข้างหลังคงลุ้นกันน่าดูเพราะสภาพนั้นอันตรายมาก ทันใดนั้นก็ไดยินเสียงพี่โอ๋ ว. มา บอกว่า “ฝาท้ายหลุด ตกอยู่เนี่ย” ผมมองไปที่ท้ายรถ อ้าว กระจกท้ายหายนี่หว่า พ่อผมจึงเดินลงไปเก็บ พ่อผมบอกสงสัยของมันกระแทกหลุดตอนขึ้นเนินมา พ่อผมก็เอามาวางพาดไว้ท้ายรถ ดีที่ไม่แตก ผมก็สงสัย ตกไปขนาดนั้นทำไมมันไม่แตก หลังจากนั้นก็จะเป็นการลงเขาอย่างเดียวจึงไม่มีปัญหาเพราะใช้เกียร์ดึงอย่างเดียวไม่ต้องเหยียบอะไร ประคองพวงมาลัยพอ จนถึงประตูทางเข้าทุ่งใหญ่(หน่วยแรก)
เราก็จอดเขียนข้อมูลเข้าให้เจ้าหน้าที่ มีชื่อคนขับ ทะเบียนรถ จำนวนคนที่มา ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ได้ตาข่ายมาคลุมท้าย จำไม่ได้ว่าพี่ท่านใดให้มา
สภาพก็ประมาณนี้