สามก๊กฉบับลายคราม
สตรีในสามก๊ก (๒)
เล่าเซี่ยงชุน
ตอนที่แล้วได้เล่าถึง บรรดาผู้หญิงที่มีชื่อและไม่มีชื่อ ติดอยู่ในนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊กมาหลายนางแล้ว แต่ยังไม่หมดเสียทีเดียว ในตอนต้นเรื่องได้ข้ามไปสองนางคือภรรยาของลิฉุย และกุยกี ลิ่วล้อของตั๋งโต๊ะมหาอุปราชผู้ชั่วร้าย ที่ได้ถูกกำจัดไปภายหลังที่ถอด หองจูเปียนออกจากบัลลังก์ฮ่องเต้ แล้วยกให้หองจูเหียบขึ้นเป็นแทนได้ไม่นาน
ทั้งสองนายได้เข้ามาแก้แค้นแทนตั๋งโต๊ะ สามารถยึดการปกครองลกเอี๋ยงเมืองหลวงไว้ได้ จึงบังคับให้หองจูเหียบ หรือพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการสูงสุดฝ่ายพลเรือน และฝ่ายทหารทั้งสองนาย ส่วนภรรยาของทั้งสองซึ่งไม่แจ้งชื่อไว้ ก็คงจะเป็นใหญ่เป็นโตตามสามีไปด้วยเช่นกัน
อยู่มาได้ไม่นานภรรยาของกุยกีได้ข่าวว่า สามีของตนที่ชอบไปปรึกษาข้อราชการ
ที่บ้านของลิฉุยบ่อย ๆ นั้น ได้ลอบรักใคร่กับภรรยาของลิฉุย ภรรยาของกุยกีก็เชื่อในทันที แกล้งห้ามสามีว่า อย่าไปที่บ้านของลิฉุยบ่อยนัก อาจจะถูกปองร้ายได้ กุยกีก็เชื่อภรรยาเมื่อลิฉุยเชิญไปกินเลี้ยงที่บ้าน เพื่อปรึกษาราชการก็ไม่ไป ลิฉุยคอยอยู่นานเห็นว่ากุยกีไม่มา ก็ให้คนใช้เอาอาหารไปส่งให้ที่บ้าน พอดีกุยกีกำลังนอนหลับอยู่ ภรรยาอยากจะให้คำพูดของตนสมจริง จึงเอายาพิษใส่ในอาหารที่ลิฉุยให้มานั้น พอกุยกีตื่นขึ้นจะลงมือกินอาหาร ภรรยาก็ห้ามว่าอย่าเพิ่งกิน ขอพิสูจน์ดูก่อน แล้วก็โยนอาหารนั้นให้สุนัขกิน สุนัขก็ตาย กุยกีจึงชักจะเชื่อว่าเพื่อนรักของตนคิดร้ายแน่
อีกหลายวันต่อมา หลังออกจากที่เฝ้าฮ่องเต้แล้ว ลิฉุยก็ชวนกุยกีไปกินเลี้ยงที่บ้าน กุยกีเกรงใจก็ไปแวะไม่นาน เมื่อกินเลี้ยงแล้วกลับมาบ้าน บังเอิญเกิดปวดท้องภรรยาจึงซ้ำเติมว่าเตือนแล้วไม่เชื่อ และแก้ไขให้อาเจียนออกมาหมด ก็หายปวด คราวนี้กุยกีโกรธมากจึงพาทหารจะไปล้อมบ้านลิฉุย
ครั้นลิฉุยได้ข่าวก็คิดว่าเพื่อนทรยศ จึงยกทหารออกมาสู้รบกัน เป็นที่เอิกเกริก แต่ก็ไม่แพ้ชนะกัน และเรื่องก็ได้บานปลาย จนขุนนางและนายทหารก็แบ่งแยกออกเป็นสองพวก แย่งกันยึดเอาฮ่องเต้เป็นตัวประกัน รบกันอยู่เป็นแรมเดือน จนโจโฉได้รับสั่งให้นำกองทัพจากภาคตะวันออก มาปราบปรามสำเร็จ ทั้งสองเกลอต่างก็แตกหนีไปซุกซ่อนตัวอยู่นาน สุดท้ายก็ถูกจับตัวไปประหาร หมดทั้งสองตระกูล เหตุนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะความขี้หึงและหูเบาของภรรยากุยกี นั่นเอง
ยังมีอีกสองนางทางฝ่ายเมืองกังตั๋งของง่อก๊ก คือนางงอฮูหยิน ผู้พี่ และนางงอ ก๊กไถ้ ผู้น้อง ทั้งสองเป็นภรรยาของซุนเกี๋ยน ผู้ก่อตั้งแคว้นกังตั๋งให้เป็นหนึ่งในสามก๊ก นางผู้พี่เป็นภรรยาเอก มีบุตรเป็นชายทั้งห้าคน คนโตชื่อซุนเซ็ก ได้รับตำแหน่งต่อจากบิดาที่เสียชีวิตในการรบตั้งแต่ยังหนุ่ม แล้วตนเองก็ตายเพราะฝีมือลิ่วล้อ ให้ซุนกวนน้องชายสืบตระกูลต่อไป จนได้เป็นฮ่องเต้ของง่อก๊ก
นางงอก๊กไถ้ผู้น้องมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง บุตรหญิงชื่อนางซุนหยิน ซึ่งซุนกวน ใช้เป็นอุบายล่อลวงเล่าปี่ให้มาแต่งงานด้วย แล้วจะจับตัวฆ่าเสีย แต่นางผู้เป็นน้าของซุนกวนและเป็นมารดานางซุนหยิน กลับรักใคร่เล่าปี่ และรับเป็นบุตรเขยด้วยความเต็มใจ แต่ตจ่อมาสองสามีภรรยาได้ใช้อุบายหนีกลับไปอยู่เมืองเกงจิ๋ว ซุนกวนจึงหาอุบายพรากตัวนางซุนฮูหยินกลับมาเมืองกังตั๋งได้ โดยหลอกว่านางงอก๊กไถ้ป่วยหนัก ง่อก๊กกับจ๊กก๊กจึงเป็นศัตรูกันตั้งแต่บัดนั้น
ต่อมาอีกสามสิบปี เมื่อโจโฉได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคปวดศรีษะ โจผีลูกชาย คนโตของโจโฉก็ได้รับตำแหน่งเป็นจีนอ๋องแทนบิดา อีกเก้าเดือนต่อมาก็บังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ สละราชสมบัติให้ตนเป็นฮ่องเต้แทน และไล่พระเจ้าเหี้ยนเต้กับมเหสีองค์สุดท้ายชื่อ โจเฮา ซึ่งเป็นบุตรีของโจโฉ น้องสาวของตนเอง ให้ออกไปอยู่บ้านนอก จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
โจผีนั้นมีภรรยาเดิมชื่อ นางเอียนซี ซึ่งเป็นแม่ม่ายเพราะอ้วนฮีสามีเก่า ซึ่งเป็นบุตรอ้วนเสี้ยว ตายไปในการทำสงครามกับโจโฉ ขณะนั้นโจผีอายุเพียงสิบห้าปีได้ไปในกองทัพของบิดาด้วย จึงรับมาอุปถัมภ์บำรุง พอเป็นฮ่องเต้เกิดหลงใหล นางกุยฮุย มเหสีฝ่ายซ้าย ใส่ความว่านางเอียนซีทำเสน่ห์ โจผีหลงเชื่อจึงให้ประหารเสีย แต่ยังเหลือบุตรชื่อ โจยอย ซึ่งได้เป็นฮ่องเต้สืบต่อจากบิดา ในอีกเจ็ดปีต่อมา
พระเจ้าโจยอยนั้นก็มีมเหสีชื่อ นางมอซือ แต่ไปหลง นางโกยฮูหยิน สนมเอกเสียจนหัวปักหัวปำ ไม่ออกว่าราชการเป็นเวลานาน พอนางมอซือทักท้วงก็โมโหโกรธา ให้ขันทีไปจัดการฆ่าเสียอย่างทารุณ พร้อมกับนางสนมคนสนิทอีกเก้าคน ครั้นครองราชย์มาได้ยี่สิบเอ็ดปี เกิดประชวรลง พระเจ้าโจยอยก็เห็นปีศาจนางมอซือ กับนางสนมเก้าคนนั้นมาร้องทวงชีวิต อาการประชวรก็เลยกำเริบสิ้นพระชนม์ไป เมื่ออายุเพียงสามสิบหกปี ด้วยอาการไม่ค่อยจะสงบนัก
ต่อมาถึงสมัยพระเจ้าโจฮองบุตรเลี้ยงของพระเจ้าโจยอย ขึ้นครองราชย์ต่อเมื่ออายุได้แปดปี จึงมีผู้สำเร็จราชการชื่อโจซองซึ่งเป็นพระราชวงศ์ โจซองพยายามจะลดอำนาจของ สุมาอี้มหาอุปราช แต่ถูกสุมาอี้ยึดอำนาจได้ จึงจับโจซองกับพี่น้องบุตรภรรยาและพรรคพวก ประหารชีวิตหมดสิ้น
เหลือนางผู้หนึ่งเป็นภรรยาของโจวุนซก น้องของโจซองแต่ได้ตายไปนานแล้ว มีบุตรชายคนหนึ่ง นางเป็นบุตรสาวของแฮฮัวเหลง ญาติของแซ่โจ เมื่อเป็นม่ายใหม่ ๆ บิดาจะให้มีผัวใหม่ นางก็มิยอมสาบานว่าจะไม่มีผัวอีก จึงเชือดใบหูเสียหน่อยหนึ่ง ครั้นโจซองเป็นโทษบิดากลัวจะพลอยเป็นโทษไปด้วย จึงจะให้มีผัวใหม่อีก นางก็ไม่ยอมจึงเอามีดเชือดปลายจมูกเสียอีกหน่อยหนึ่ง ประสงค์จะให้เสียโฉม จะได้ไม่มีใครต้องการอีก เมื่อญาติพี่น้องถามเหตุผล นางก็ว่า
“…..ประเพณีลูกผู้หญิง เมื่อยังหาสามีมิได้ก็ตั้งอยู่ในบังคับบัญชาของบิดา ถ้ามีสามีแล้วก็ตั้งอยู่ในบังคับสามี ถ้าสามีได้ยศศักดิ์เป็นสุข ก็ได้เป็นสุขด้วย สามี ถ้าสามีประกอบไปด้วยทุกข์ก็ให้สู้ทุกข์ยากด้วยสามี เมื่อยังมีชีวิตอยู่รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ฉันใด สามีตายแล้วให้รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ดังนี้น โจซองมีบุญซิพึ่งบุญเขามา ครั้นเขาเป็นโทษจะเอาตัวหนีออกหากดังนี้ เห็นเป็นคนอกตัญญูหารู้คุณเขาไม่ เหมือนสัตว์เดรัจฉาน……..”
ความอันนี้แจ้งไปถึงสุมาอี้ ก็คิดว่าคนใจสัตย์ซื่ออย่างนี้หายากนัก ถึงว่าบิดาชั่วมารดาก็ยังดี จึงขอบุตรชายของนางมาเลี้ยงไว้ เป็นบุตรบุญธรรม
ต่อมาหลังจากที่พระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ขงเบ้งยกทัพไปรบกับ เบ้งเฮ็กเจ้าเมืองมันอ๋องซึ่งมายุให้เจ้าเมืองเกียมเหลง เจ้าเมืองโคกุ้น เจ้าเมืองอวดจุ้น เป็นขบถต่อ เสฉวน หลังจากที่ได้ปราบปรามเมืองทั้งสามเรียบร้อยแล้ว ก็บุกเข้าไปในดินแดนของเบ้งเฮ็ก เมื่อเบ้งเฮ็กรบแพ้ถูกจับได้ ขงเบ้งก็ปล่อยตัวไปถึงห้าครั้งแล้ว และยึดเมืองสำกั๋งได้ เบ้งเฮ็กก็ตกใจมาก แต่นางจกหยงภรรยาของเบ้งเฮ็กกลับปลอบสามีว่า
“...... ท่านเป็นชายชาติทหาร ควรหรือมาสิ้นความคิดด้วยการศึกแต่เพียงนี้ ท่านอย่าวิตกเลย ตัวข้าพเจ้าเป็นหญิงจะขออาสาทำศึกกับขงเบ้งเอง............”
เบ้งเฮ็กก็คิดได้ว่านางจกหยงนั้น ก็เป็นคนมีวิชาอาวุธใช้ได้พอจะให้ออกไปสู้รบกับขงเบ้งได้ จึงจัดทหารเอกร้อยคนกับทหารเลวห้าหมื่น ให้นางยกออกไปรบ เมื่อออกไปครั้งแรกสามารถจับตัว เตียวหงี กับม้าตง ทหารเอกของขงเบ้งมาได้ จึงจะให้ประหารเสีย แต่เบ้งเฮ็กขอร้องว่าตนถูกขงเบ้งจับได้ก็ปล่อยตัวมาถึงห้าครั้งแล้ว นางจึงให้เอาตัวไปขังไว้ก่อน
พอออกรบครั้งที่สองก็เสียที จูล่งกับอุยเอี๋ยนถูกจับตัวได้เช่นกัน ขงเบ้งจึงส่งตัวนางจกหยงคืนให้เบ้งเฮ็กแลกกับเตียวหงีและม้าตง
ต่อมาเมื่อขงเบ้งรบชนะเบ้งเฮ็กเป็นครั้งที่เจ็ด เบ้งเฮ็กจึงพาภรรยาครอบครัวและสมัครพรรคพวก มากราบเข้งเบ้งขอยอมอ่อนน้อมไปชั่วชีวิต นางจกหยงจึงเป็นภรรยาเจ้าเมืองมันอ๋องตามเดิม
ยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งไม่ปรากฏชื่อ เป็นภรรยาของม้าเชียว เจ้าเมืองอิวตั๋ง ด่านสุดท้ายของเมืองเสฉวน ที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนบุตรของพระเจ้าเล่าปี่ปกครองอยู่ เมื่อเตงงายแม่ทัพของ สุมาเจียว มหาอุปราชของพระเจ้าโจฮวน ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของแซ่โจ ยกทัพตีตลุยฝ่าถิ่นทุรกันดาร ที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงหน้าผาชันและหุบเหวลึก มาใกล้จะถึงเมือง นางเห็นสามีไม่วิตกทุกข์ร้อน ก็โกรธเป็นกำลัง
เวลาเย็นวันหนึ่งม้าเชียวกลับจากฝึกทหารแล้ว ก็มานั่งเสพสุราอาหารอยู่อย่างสบายใจนางจึงถามว่า
“……….ทหารเมืองวุยก๊กยกมาตีเอาเมืองฮันต๋งได้แล้ว ตัวท่านเป็นเจ้าเมือง เหตุใดมิคิดอ่านที่จะป้องกันบ้านเมืองเลย จึงประมาทเสพสุราเล่นตามสบายฉะนี้……”
ม้าเชียวก็ตอบว่า
“........ตัวเราเป็นเจ้าเองบ้านล็กเมืองน้อย กองทัพวุยก๊กจะไม่มาทางนี้ ด้วยเป็นทางน้อยมีซอกเขาคับขันนัก ถ้าจะยกมาจริงก็จะมาทางใหญ่…….”
และอธิบายว่าอันทางใหญ่นั้นเล่า เกียงอุยนายทหารเอกศิษย์ของอาจารย์ขงเบ้ง ก็ยกทหารไปรักษาอยู่ ที่ไหนจะมาได้ และบัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็โลเลเชื่อคำฮุยโฮขันทีคนโปรด มิได้เอาใจใส่ในราชกิจการบ้านเมือง แล้วเราจะขวนขวายทำไมให้เหนื่อยตัว แม้ทหารเมืองวุยก๊กตีเข้ามาได้จริง เราก็นอบน้อมยอมจำนนเสีย ก็คงมีความสุข จะเป็นข้าผู้ใดก็มีข้าวกินเหมือนกัน
ภรรยาม้าเชียวได้ฟังความคิดของสามีก็โกรธจัด ถ่มน้ำลายลงตรงหน้าแล้วด่าเอาด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า
“…….นี้เสียแรงเกิดมา หาความกตัญญูต่อเจ้าไม่ กินเบี้ยหวัดผ้าปีเสียเปล่า มิได้รักษาเจ้า ประสงค์จะเอาแต่ความสุขใส่ตัว ใครจะนับว่าดี……..”
ม้าเชียวได้ฟังภรรยาว่าดังนั้น ก็อดสูใจไม่กล้าเถียง ได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่ พอดีกองทัพของเตงงายตีหักเข้ามาถึงกลางเมือง จะจัดแจงทหารสู้รบก็ไม่ทันท่วงที ม้าเชียวจึงออกไปมอบตัวแก่เตงงาย แล้วร้องไห้วอนว่า
“………ข้าพเจ้าคอยหาท่านอยู่ช้านานแล้ว ได้ยินข่าวว่าจะมาแล้วก็หายไป บัดนี้ท่านมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าก็จะพาทหารทั้งปวงเข้าอยู่ด้วยท่าน…….”
ส่วนภรรยาม้าเชียวนั้น รู้สึกอับอายในความขี้ขลาดตาขาวของสามีเป็นยิ่งนัก จึงหนีเข้าห้องไปผูกคอตายเสียในทันใดนั้นเอง
สุดท้ายเมื่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนพาครอบครัว และขุนนางในเมืองเสฉวน ออกไปยอมอ่อนน้อมต่อเตงงายนั้น บุตรทั้งหมดหกคน มีแต่เล่าขำบุตรคน
ที่ห้าเท่านั้น ที่ไม่เห็นด้วย ก็เดินถอดกระบี่เข้าไปหา นางซุยฮูหยิน ภรรยา แล้วบอกว่า
“……..บัดนี้ทหารเมืองวุยก๊ก ยกเข้ามาย่ำยีถึงขอบขัณฑสีมา พระบิดาเราก็มิได้คิดอ่านจะต่อสู้ ให้ออกไปนบนอบข้าศึกแล้ว ตัวเราเกิดมาในวงศ์ของพระเจ้าเล่าปี่ มิเคยได้อ่อนน้อมแก่ผู้ใด ครั้งนี้จะพลอยคำนับข้าศึกนั้น ก็เสียดายชาติตระกูลของเรา ผิดก็จะเชือดคอตายเสียดีกว่า อย่าให้เสียศักดิ์………”
นางซุยฮูหยิน ได้ยินดังนั้นจึงว่า
“……..ตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาของพระองค์ ก็จะไปให้อัปยศแก่ศัตรู หาประโยชน์มิได้ ข้าพเจ้าจะขอตายไปกับพระองค์ดูจะประเสริฐกว่า…….”
ว่าแล้วนางก็เอาศรีษะโขกกับศิลาจนถึงแก่ความตาย เล่าขำก็ฆ่าบุตรทั้งสามเสีย แล้วตัดศรีษะบุตรภรรยา ไปบูชาไว้หน้ากุฏิฝังศพพระเจ้าเล่าปี่ แล้วก็เอากระบี่เชือดคอตนเอง ตายตามครอบครัวไป ดังสัจวาจาที่ให้ไว้
เรื่องราวของผู้หญิงที่มีชื่อติดอยู่ในสามก๊ก ก็มาถึงคนสุดท้ายแต่เพียงนี้.
#########
สตรีในสามก๊ก (๒) ๖ ธ.ค.๕๙
สตรีในสามก๊ก (๒)
เล่าเซี่ยงชุน
ตอนที่แล้วได้เล่าถึง บรรดาผู้หญิงที่มีชื่อและไม่มีชื่อ ติดอยู่ในนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊กมาหลายนางแล้ว แต่ยังไม่หมดเสียทีเดียว ในตอนต้นเรื่องได้ข้ามไปสองนางคือภรรยาของลิฉุย และกุยกี ลิ่วล้อของตั๋งโต๊ะมหาอุปราชผู้ชั่วร้าย ที่ได้ถูกกำจัดไปภายหลังที่ถอด หองจูเปียนออกจากบัลลังก์ฮ่องเต้ แล้วยกให้หองจูเหียบขึ้นเป็นแทนได้ไม่นาน
ทั้งสองนายได้เข้ามาแก้แค้นแทนตั๋งโต๊ะ สามารถยึดการปกครองลกเอี๋ยงเมืองหลวงไว้ได้ จึงบังคับให้หองจูเหียบ หรือพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการสูงสุดฝ่ายพลเรือน และฝ่ายทหารทั้งสองนาย ส่วนภรรยาของทั้งสองซึ่งไม่แจ้งชื่อไว้ ก็คงจะเป็นใหญ่เป็นโตตามสามีไปด้วยเช่นกัน
อยู่มาได้ไม่นานภรรยาของกุยกีได้ข่าวว่า สามีของตนที่ชอบไปปรึกษาข้อราชการ
ที่บ้านของลิฉุยบ่อย ๆ นั้น ได้ลอบรักใคร่กับภรรยาของลิฉุย ภรรยาของกุยกีก็เชื่อในทันที แกล้งห้ามสามีว่า อย่าไปที่บ้านของลิฉุยบ่อยนัก อาจจะถูกปองร้ายได้ กุยกีก็เชื่อภรรยาเมื่อลิฉุยเชิญไปกินเลี้ยงที่บ้าน เพื่อปรึกษาราชการก็ไม่ไป ลิฉุยคอยอยู่นานเห็นว่ากุยกีไม่มา ก็ให้คนใช้เอาอาหารไปส่งให้ที่บ้าน พอดีกุยกีกำลังนอนหลับอยู่ ภรรยาอยากจะให้คำพูดของตนสมจริง จึงเอายาพิษใส่ในอาหารที่ลิฉุยให้มานั้น พอกุยกีตื่นขึ้นจะลงมือกินอาหาร ภรรยาก็ห้ามว่าอย่าเพิ่งกิน ขอพิสูจน์ดูก่อน แล้วก็โยนอาหารนั้นให้สุนัขกิน สุนัขก็ตาย กุยกีจึงชักจะเชื่อว่าเพื่อนรักของตนคิดร้ายแน่
อีกหลายวันต่อมา หลังออกจากที่เฝ้าฮ่องเต้แล้ว ลิฉุยก็ชวนกุยกีไปกินเลี้ยงที่บ้าน กุยกีเกรงใจก็ไปแวะไม่นาน เมื่อกินเลี้ยงแล้วกลับมาบ้าน บังเอิญเกิดปวดท้องภรรยาจึงซ้ำเติมว่าเตือนแล้วไม่เชื่อ และแก้ไขให้อาเจียนออกมาหมด ก็หายปวด คราวนี้กุยกีโกรธมากจึงพาทหารจะไปล้อมบ้านลิฉุย
ครั้นลิฉุยได้ข่าวก็คิดว่าเพื่อนทรยศ จึงยกทหารออกมาสู้รบกัน เป็นที่เอิกเกริก แต่ก็ไม่แพ้ชนะกัน และเรื่องก็ได้บานปลาย จนขุนนางและนายทหารก็แบ่งแยกออกเป็นสองพวก แย่งกันยึดเอาฮ่องเต้เป็นตัวประกัน รบกันอยู่เป็นแรมเดือน จนโจโฉได้รับสั่งให้นำกองทัพจากภาคตะวันออก มาปราบปรามสำเร็จ ทั้งสองเกลอต่างก็แตกหนีไปซุกซ่อนตัวอยู่นาน สุดท้ายก็ถูกจับตัวไปประหาร หมดทั้งสองตระกูล เหตุนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะความขี้หึงและหูเบาของภรรยากุยกี นั่นเอง
ยังมีอีกสองนางทางฝ่ายเมืองกังตั๋งของง่อก๊ก คือนางงอฮูหยิน ผู้พี่ และนางงอ ก๊กไถ้ ผู้น้อง ทั้งสองเป็นภรรยาของซุนเกี๋ยน ผู้ก่อตั้งแคว้นกังตั๋งให้เป็นหนึ่งในสามก๊ก นางผู้พี่เป็นภรรยาเอก มีบุตรเป็นชายทั้งห้าคน คนโตชื่อซุนเซ็ก ได้รับตำแหน่งต่อจากบิดาที่เสียชีวิตในการรบตั้งแต่ยังหนุ่ม แล้วตนเองก็ตายเพราะฝีมือลิ่วล้อ ให้ซุนกวนน้องชายสืบตระกูลต่อไป จนได้เป็นฮ่องเต้ของง่อก๊ก
นางงอก๊กไถ้ผู้น้องมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง บุตรหญิงชื่อนางซุนหยิน ซึ่งซุนกวน ใช้เป็นอุบายล่อลวงเล่าปี่ให้มาแต่งงานด้วย แล้วจะจับตัวฆ่าเสีย แต่นางผู้เป็นน้าของซุนกวนและเป็นมารดานางซุนหยิน กลับรักใคร่เล่าปี่ และรับเป็นบุตรเขยด้วยความเต็มใจ แต่ตจ่อมาสองสามีภรรยาได้ใช้อุบายหนีกลับไปอยู่เมืองเกงจิ๋ว ซุนกวนจึงหาอุบายพรากตัวนางซุนฮูหยินกลับมาเมืองกังตั๋งได้ โดยหลอกว่านางงอก๊กไถ้ป่วยหนัก ง่อก๊กกับจ๊กก๊กจึงเป็นศัตรูกันตั้งแต่บัดนั้น
ต่อมาอีกสามสิบปี เมื่อโจโฉได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคปวดศรีษะ โจผีลูกชาย คนโตของโจโฉก็ได้รับตำแหน่งเป็นจีนอ๋องแทนบิดา อีกเก้าเดือนต่อมาก็บังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ สละราชสมบัติให้ตนเป็นฮ่องเต้แทน และไล่พระเจ้าเหี้ยนเต้กับมเหสีองค์สุดท้ายชื่อ โจเฮา ซึ่งเป็นบุตรีของโจโฉ น้องสาวของตนเอง ให้ออกไปอยู่บ้านนอก จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
โจผีนั้นมีภรรยาเดิมชื่อ นางเอียนซี ซึ่งเป็นแม่ม่ายเพราะอ้วนฮีสามีเก่า ซึ่งเป็นบุตรอ้วนเสี้ยว ตายไปในการทำสงครามกับโจโฉ ขณะนั้นโจผีอายุเพียงสิบห้าปีได้ไปในกองทัพของบิดาด้วย จึงรับมาอุปถัมภ์บำรุง พอเป็นฮ่องเต้เกิดหลงใหล นางกุยฮุย มเหสีฝ่ายซ้าย ใส่ความว่านางเอียนซีทำเสน่ห์ โจผีหลงเชื่อจึงให้ประหารเสีย แต่ยังเหลือบุตรชื่อ โจยอย ซึ่งได้เป็นฮ่องเต้สืบต่อจากบิดา ในอีกเจ็ดปีต่อมา
พระเจ้าโจยอยนั้นก็มีมเหสีชื่อ นางมอซือ แต่ไปหลง นางโกยฮูหยิน สนมเอกเสียจนหัวปักหัวปำ ไม่ออกว่าราชการเป็นเวลานาน พอนางมอซือทักท้วงก็โมโหโกรธา ให้ขันทีไปจัดการฆ่าเสียอย่างทารุณ พร้อมกับนางสนมคนสนิทอีกเก้าคน ครั้นครองราชย์มาได้ยี่สิบเอ็ดปี เกิดประชวรลง พระเจ้าโจยอยก็เห็นปีศาจนางมอซือ กับนางสนมเก้าคนนั้นมาร้องทวงชีวิต อาการประชวรก็เลยกำเริบสิ้นพระชนม์ไป เมื่ออายุเพียงสามสิบหกปี ด้วยอาการไม่ค่อยจะสงบนัก
ต่อมาถึงสมัยพระเจ้าโจฮองบุตรเลี้ยงของพระเจ้าโจยอย ขึ้นครองราชย์ต่อเมื่ออายุได้แปดปี จึงมีผู้สำเร็จราชการชื่อโจซองซึ่งเป็นพระราชวงศ์ โจซองพยายามจะลดอำนาจของ สุมาอี้มหาอุปราช แต่ถูกสุมาอี้ยึดอำนาจได้ จึงจับโจซองกับพี่น้องบุตรภรรยาและพรรคพวก ประหารชีวิตหมดสิ้น
เหลือนางผู้หนึ่งเป็นภรรยาของโจวุนซก น้องของโจซองแต่ได้ตายไปนานแล้ว มีบุตรชายคนหนึ่ง นางเป็นบุตรสาวของแฮฮัวเหลง ญาติของแซ่โจ เมื่อเป็นม่ายใหม่ ๆ บิดาจะให้มีผัวใหม่ นางก็มิยอมสาบานว่าจะไม่มีผัวอีก จึงเชือดใบหูเสียหน่อยหนึ่ง ครั้นโจซองเป็นโทษบิดากลัวจะพลอยเป็นโทษไปด้วย จึงจะให้มีผัวใหม่อีก นางก็ไม่ยอมจึงเอามีดเชือดปลายจมูกเสียอีกหน่อยหนึ่ง ประสงค์จะให้เสียโฉม จะได้ไม่มีใครต้องการอีก เมื่อญาติพี่น้องถามเหตุผล นางก็ว่า
“…..ประเพณีลูกผู้หญิง เมื่อยังหาสามีมิได้ก็ตั้งอยู่ในบังคับบัญชาของบิดา ถ้ามีสามีแล้วก็ตั้งอยู่ในบังคับสามี ถ้าสามีได้ยศศักดิ์เป็นสุข ก็ได้เป็นสุขด้วย สามี ถ้าสามีประกอบไปด้วยทุกข์ก็ให้สู้ทุกข์ยากด้วยสามี เมื่อยังมีชีวิตอยู่รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ฉันใด สามีตายแล้วให้รักใคร่ร่วมสุขร่วมทุกข์ดังนี้น โจซองมีบุญซิพึ่งบุญเขามา ครั้นเขาเป็นโทษจะเอาตัวหนีออกหากดังนี้ เห็นเป็นคนอกตัญญูหารู้คุณเขาไม่ เหมือนสัตว์เดรัจฉาน……..”
ความอันนี้แจ้งไปถึงสุมาอี้ ก็คิดว่าคนใจสัตย์ซื่ออย่างนี้หายากนัก ถึงว่าบิดาชั่วมารดาก็ยังดี จึงขอบุตรชายของนางมาเลี้ยงไว้ เป็นบุตรบุญธรรม
ต่อมาหลังจากที่พระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ขงเบ้งยกทัพไปรบกับ เบ้งเฮ็กเจ้าเมืองมันอ๋องซึ่งมายุให้เจ้าเมืองเกียมเหลง เจ้าเมืองโคกุ้น เจ้าเมืองอวดจุ้น เป็นขบถต่อ เสฉวน หลังจากที่ได้ปราบปรามเมืองทั้งสามเรียบร้อยแล้ว ก็บุกเข้าไปในดินแดนของเบ้งเฮ็ก เมื่อเบ้งเฮ็กรบแพ้ถูกจับได้ ขงเบ้งก็ปล่อยตัวไปถึงห้าครั้งแล้ว และยึดเมืองสำกั๋งได้ เบ้งเฮ็กก็ตกใจมาก แต่นางจกหยงภรรยาของเบ้งเฮ็กกลับปลอบสามีว่า
“...... ท่านเป็นชายชาติทหาร ควรหรือมาสิ้นความคิดด้วยการศึกแต่เพียงนี้ ท่านอย่าวิตกเลย ตัวข้าพเจ้าเป็นหญิงจะขออาสาทำศึกกับขงเบ้งเอง............”
เบ้งเฮ็กก็คิดได้ว่านางจกหยงนั้น ก็เป็นคนมีวิชาอาวุธใช้ได้พอจะให้ออกไปสู้รบกับขงเบ้งได้ จึงจัดทหารเอกร้อยคนกับทหารเลวห้าหมื่น ให้นางยกออกไปรบ เมื่อออกไปครั้งแรกสามารถจับตัว เตียวหงี กับม้าตง ทหารเอกของขงเบ้งมาได้ จึงจะให้ประหารเสีย แต่เบ้งเฮ็กขอร้องว่าตนถูกขงเบ้งจับได้ก็ปล่อยตัวมาถึงห้าครั้งแล้ว นางจึงให้เอาตัวไปขังไว้ก่อน
พอออกรบครั้งที่สองก็เสียที จูล่งกับอุยเอี๋ยนถูกจับตัวได้เช่นกัน ขงเบ้งจึงส่งตัวนางจกหยงคืนให้เบ้งเฮ็กแลกกับเตียวหงีและม้าตง
ต่อมาเมื่อขงเบ้งรบชนะเบ้งเฮ็กเป็นครั้งที่เจ็ด เบ้งเฮ็กจึงพาภรรยาครอบครัวและสมัครพรรคพวก มากราบเข้งเบ้งขอยอมอ่อนน้อมไปชั่วชีวิต นางจกหยงจึงเป็นภรรยาเจ้าเมืองมันอ๋องตามเดิม
ยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งไม่ปรากฏชื่อ เป็นภรรยาของม้าเชียว เจ้าเมืองอิวตั๋ง ด่านสุดท้ายของเมืองเสฉวน ที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนบุตรของพระเจ้าเล่าปี่ปกครองอยู่ เมื่อเตงงายแม่ทัพของ สุมาเจียว มหาอุปราชของพระเจ้าโจฮวน ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของแซ่โจ ยกทัพตีตลุยฝ่าถิ่นทุรกันดาร ที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงหน้าผาชันและหุบเหวลึก มาใกล้จะถึงเมือง นางเห็นสามีไม่วิตกทุกข์ร้อน ก็โกรธเป็นกำลัง
เวลาเย็นวันหนึ่งม้าเชียวกลับจากฝึกทหารแล้ว ก็มานั่งเสพสุราอาหารอยู่อย่างสบายใจนางจึงถามว่า
“……….ทหารเมืองวุยก๊กยกมาตีเอาเมืองฮันต๋งได้แล้ว ตัวท่านเป็นเจ้าเมือง เหตุใดมิคิดอ่านที่จะป้องกันบ้านเมืองเลย จึงประมาทเสพสุราเล่นตามสบายฉะนี้……”
ม้าเชียวก็ตอบว่า
“........ตัวเราเป็นเจ้าเองบ้านล็กเมืองน้อย กองทัพวุยก๊กจะไม่มาทางนี้ ด้วยเป็นทางน้อยมีซอกเขาคับขันนัก ถ้าจะยกมาจริงก็จะมาทางใหญ่…….”
และอธิบายว่าอันทางใหญ่นั้นเล่า เกียงอุยนายทหารเอกศิษย์ของอาจารย์ขงเบ้ง ก็ยกทหารไปรักษาอยู่ ที่ไหนจะมาได้ และบัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็โลเลเชื่อคำฮุยโฮขันทีคนโปรด มิได้เอาใจใส่ในราชกิจการบ้านเมือง แล้วเราจะขวนขวายทำไมให้เหนื่อยตัว แม้ทหารเมืองวุยก๊กตีเข้ามาได้จริง เราก็นอบน้อมยอมจำนนเสีย ก็คงมีความสุข จะเป็นข้าผู้ใดก็มีข้าวกินเหมือนกัน
ภรรยาม้าเชียวได้ฟังความคิดของสามีก็โกรธจัด ถ่มน้ำลายลงตรงหน้าแล้วด่าเอาด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า
“…….นี้เสียแรงเกิดมา หาความกตัญญูต่อเจ้าไม่ กินเบี้ยหวัดผ้าปีเสียเปล่า มิได้รักษาเจ้า ประสงค์จะเอาแต่ความสุขใส่ตัว ใครจะนับว่าดี……..”
ม้าเชียวได้ฟังภรรยาว่าดังนั้น ก็อดสูใจไม่กล้าเถียง ได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่ พอดีกองทัพของเตงงายตีหักเข้ามาถึงกลางเมือง จะจัดแจงทหารสู้รบก็ไม่ทันท่วงที ม้าเชียวจึงออกไปมอบตัวแก่เตงงาย แล้วร้องไห้วอนว่า
“………ข้าพเจ้าคอยหาท่านอยู่ช้านานแล้ว ได้ยินข่าวว่าจะมาแล้วก็หายไป บัดนี้ท่านมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าก็จะพาทหารทั้งปวงเข้าอยู่ด้วยท่าน…….”
ส่วนภรรยาม้าเชียวนั้น รู้สึกอับอายในความขี้ขลาดตาขาวของสามีเป็นยิ่งนัก จึงหนีเข้าห้องไปผูกคอตายเสียในทันใดนั้นเอง
สุดท้ายเมื่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนพาครอบครัว และขุนนางในเมืองเสฉวน ออกไปยอมอ่อนน้อมต่อเตงงายนั้น บุตรทั้งหมดหกคน มีแต่เล่าขำบุตรคน
ที่ห้าเท่านั้น ที่ไม่เห็นด้วย ก็เดินถอดกระบี่เข้าไปหา นางซุยฮูหยิน ภรรยา แล้วบอกว่า
“……..บัดนี้ทหารเมืองวุยก๊ก ยกเข้ามาย่ำยีถึงขอบขัณฑสีมา พระบิดาเราก็มิได้คิดอ่านจะต่อสู้ ให้ออกไปนบนอบข้าศึกแล้ว ตัวเราเกิดมาในวงศ์ของพระเจ้าเล่าปี่ มิเคยได้อ่อนน้อมแก่ผู้ใด ครั้งนี้จะพลอยคำนับข้าศึกนั้น ก็เสียดายชาติตระกูลของเรา ผิดก็จะเชือดคอตายเสียดีกว่า อย่าให้เสียศักดิ์………”
นางซุยฮูหยิน ได้ยินดังนั้นจึงว่า
“……..ตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาของพระองค์ ก็จะไปให้อัปยศแก่ศัตรู หาประโยชน์มิได้ ข้าพเจ้าจะขอตายไปกับพระองค์ดูจะประเสริฐกว่า…….”
ว่าแล้วนางก็เอาศรีษะโขกกับศิลาจนถึงแก่ความตาย เล่าขำก็ฆ่าบุตรทั้งสามเสีย แล้วตัดศรีษะบุตรภรรยา ไปบูชาไว้หน้ากุฏิฝังศพพระเจ้าเล่าปี่ แล้วก็เอากระบี่เชือดคอตนเอง ตายตามครอบครัวไป ดังสัจวาจาที่ให้ไว้
เรื่องราวของผู้หญิงที่มีชื่อติดอยู่ในสามก๊ก ก็มาถึงคนสุดท้ายแต่เพียงนี้.
#########