A Monster Calls (J.A. Bayona, 2016) คะแนน B+
#ไม่สปอย
By Form Corleone
"ขั้นตอนหนึ่งของความเจ็บปวด คือการก้าวผ่านอสูรร้ายภายในใจ" เป็นงานในปีนี้ที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะโดนใจมากมายเท่าไหร่ แต่หลังจากได้สัมผัสด้วยตัวเองต้องบอกว่า ตัวหนังมีเนื้อหาสาระที่ดีมากๆ ทั้งความหมายและวิธีคิดที่หนังบรรจงใส่มาให้เราตลอดเวลา 'เด็กชายกับมอนเตอร์' การปรากฏของ 'Monster' เพื่อเล่านิทานสามเรื่องให้เด็กชายฟัง และเรื่องที่สี่เด็กชายต้องเป็นคนเล่าให้ 'Monster' ฟังบ้าง เปิดเรื่องมาก็น่าสนใจแล้ว แต่ที่ตกใจจริงๆคือนิทานทั้งสามเรื่องมีผลกระทบต่อเส้นทางทั้งหมดของเรื่องได้อย่างมีนัยสำคัญและแฝงไปด้วยข้อความเชิงปรัชญาต่างๆมากมาย เรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของเราคงเปรียบเสมือนเรื่องเล่าหนึ่งเรื่อง และแน่นอนที่สุดเรื่องเล่าทุกๆเรื่องมักมีสองด้านเสมอ และนั้นคือชีวิตจริงที่เราหลีกหนีไม่ได้เลย ในชีวิตนี้เราคงเลือกด้านดีอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันมักจะมีด้านแย่ๆตามมาเสมอ และทั้งสองด้านก็ไม่มีถูกหรือผิดเช่นกัน สิ่งที่เราทำได้คือเรียนรู้ผ่านเรื่องราวทั้งสองด้านไปให้ได้ เรียนรู้ผ่านอสูรร้ายภายในใจเราไปให้ได้ เพื่อเติบโตมากกว่าเดิม ตัวแทนของ 'Monster' ในเรื่องคือดีมากๆ สำหรับเรา ช่วงเวลาของการเรียนรู้ของตัวละครในเรื่องก็เป็นช่วงเวลาที่เราได้เรียนรู้สิ่งที่หนังต้องการสื่อให้เราไปพร้อมกัน 'A Monster Calls' เป็นภาพยนตร์ที่เกินคาดมากๆสำหรับปีนี้ ไม่คิดว่าจะทำออกมาได้ดีขนาดนี้ ไม่เพียงแค่เนื้อหาและบทภาพยนตร์ที่มีสาระประเด็นแฝงมากมายเท่านั้น หนังยังมีฉากหลังและงานภาพที่ช่วยสื่ออารมณ์ได้ดีอีกด้วย โทนสีไม่ได้เป็นหนังสดใสให้เด็กเล็กดู แต่เป็นโทนหม่นหมองที่สะท้อนถึงจิตใจส่วนลึกของผู้ใหญ่โดยแท้
เราได้เรียนรู้อะไรจากนิทาน ช่วงชีวิตคนๆหนึ่งคงผ่านนิทานมาแล้วหลายเรื่อง เคยสงสัยหรือเปล่าว่านิทานเหล่านั้นให้อะไรเราเมื่อโตขึ้น สำหรับเรานิทานในเรื่องนี้สอนให้เรารับมือกับความสูญเสีย รับมือกับความพลัดพราก รับมือกับการกล้าที่จะบอกความรู้สึกที่แท้จริง รวมไปถึงวิธีการแก้ปัญหาในชีวิต ในความเป็นจริงสิ่งที่ 'มอนเตอร์' ในเรื่องกำลังสอนผ่านการเล่าเรื่องคือการสะท้อนความจริงของโลกในทุกๆมิติ มิติที่ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว มิติที่ทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น งานนี้ถ้าเอาแค่ส่วนเนื้อหาอย่างเดียวต้องบอกว่าเป็นงานที่ทรงคุณค่ามากๆเรื่องหนึ่งเลย แต่ถึงกระนั้นจุดที่ทำได้ไม่ดีคือการเล่าเรื่องที่เนิบช้าเกินไปโดยไม่จำเป็น และอาจทำง่วงได้หรืออาจจะหลุดได้เลย อาจจะด้วยข้อจำกัดที่หนังใช้การเล่าเรื่องแบบเชิงปรัชญาที่ต้องอาศัยการคิดตามอยู่ตลอด ถ้าใครไม่ชอบคงจะไม่สนุกเกือบตลอดทั้งเรื่อง ฉากดราม่าทำได้ไม่ค่อยดี รู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าทีควร แม้จะดำเนินเรื่องมาดีแค่ไหนแต่พอถึงฉากสำคัญๆ ก็ทำได้ไม่สุด น่าจะใส่อะไรให้หนักมากกว่านี้เพื่อเรียกความรู้สึกให้มากกว่านี้อีกนิดหนึ่ง แต่ถ้าเอาแค่ภาพรวมของหนังต้องบอกว่าสอบผ่านเลย ในส่วนของนักแสดง ' Lewis MacDougall ' นักแสดงเด็ก เล่นได้ดีมีมิติของอารมณ์ สีหน้า แววตา ร้องไห้ เศร้า หัวใจจะหลุดออกจากตัวแล้ว แต่บางฉากก็รู้สึกเยอะไปนิด ฮ่าๆ ใน่ส่วน 'Felicity Jones' ที่เล่นเป็นแม่นั้นก็ 'เล่นน้อยแต่ได้เยอะ' ส่วนคนอื่นๆก็ทำได้ดีเหมือนกัน
งานภาพเรียกว่าคุ้มค่ามาก สวยมากทุกองค์ประกอบเลย เพลินทั้งส่วนที่เป็นอนิเมชั่นที่ใส่มาตอน Monster เล่านิทานให้เด็กฟัง ส่วนนี้คือเพลินมากๆ ตัวของ Monster ทำออกมาละเอียดมาก เราพึ่งรู้สึกว่า 'สีน้ำ' มันมีผลต่อความรู้สึกได้มากจริงๆ และก็ให้อารมณ์ในเชิงสัญลักษณ์ด้วย เป็นการเล่าแบบนามธรรมมีมุมมองชั้นเชิงในการเล่นที่ช่วยกระตุ้นความคิดได้ดีมาก ความคิดหลังดูจบคือ เราอยากขอบคุณเสียงเรียกจาก 'Monster' เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ยิ่นเสียงนี้ จงขอบคุณและก้าวผ่านมันไปให้ได้ 'จงยอมรับความเสียใจจากเสียงนั้นและยอมรับความจริง' ทุกคนเคยได้ยินเสียงเรียกของ 'Monster' มาแล้วทั้งนั้น และเราก็เข้าใจเสียงนั้นมาแล้วด้วยเหมือนกัน และยังได้ยินเสียงนี้ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนหนังพยายามทำให้เราคิดแบบนั้นนะ 'ชีวิตมันโหดร้ายแต่นั้นแหละคือความจริง'
ท้ายสุด 'A Monster Calls' คืองานคุณภาพเกินคาดของปีนี้สำหรับเรา ด้วยการฉาบหน้าของหนังจนนึกว่าเป็นหนังเด็กน้อย แต่พอได้ดูเท่านั้นแหละ ถึงกลับตะลึงในเนื้อหาสาระที่หนักมากๆเรื่องหนึ่งเลย คิดว่าจะดูเพลินๆ แต่กลายเป็นหนังเจริญสมอง สะเทือนความคิด ให้เรากลับมาครุ่นคิดต่อหลังหนังจบ หนังไม่เหมาะกับเด็กเล็กด้วยองค์ประกอบทั้งหมดทั้งมวล เราว่ามันคืองาน 'Coming-of-age' ที่คนอายุ 60 ก็สามารถดูได้ และควรจะดูอีกด้วย หนังดีส่งท้ายปีเลยจริงๆ
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: A Monster Calls (J.A. Bayona, 2016) เขียนโดย Form Corleone
#ไม่สปอย
By Form Corleone
"ขั้นตอนหนึ่งของความเจ็บปวด คือการก้าวผ่านอสูรร้ายภายในใจ" เป็นงานในปีนี้ที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะโดนใจมากมายเท่าไหร่ แต่หลังจากได้สัมผัสด้วยตัวเองต้องบอกว่า ตัวหนังมีเนื้อหาสาระที่ดีมากๆ ทั้งความหมายและวิธีคิดที่หนังบรรจงใส่มาให้เราตลอดเวลา 'เด็กชายกับมอนเตอร์' การปรากฏของ 'Monster' เพื่อเล่านิทานสามเรื่องให้เด็กชายฟัง และเรื่องที่สี่เด็กชายต้องเป็นคนเล่าให้ 'Monster' ฟังบ้าง เปิดเรื่องมาก็น่าสนใจแล้ว แต่ที่ตกใจจริงๆคือนิทานทั้งสามเรื่องมีผลกระทบต่อเส้นทางทั้งหมดของเรื่องได้อย่างมีนัยสำคัญและแฝงไปด้วยข้อความเชิงปรัชญาต่างๆมากมาย เรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของเราคงเปรียบเสมือนเรื่องเล่าหนึ่งเรื่อง และแน่นอนที่สุดเรื่องเล่าทุกๆเรื่องมักมีสองด้านเสมอ และนั้นคือชีวิตจริงที่เราหลีกหนีไม่ได้เลย ในชีวิตนี้เราคงเลือกด้านดีอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันมักจะมีด้านแย่ๆตามมาเสมอ และทั้งสองด้านก็ไม่มีถูกหรือผิดเช่นกัน สิ่งที่เราทำได้คือเรียนรู้ผ่านเรื่องราวทั้งสองด้านไปให้ได้ เรียนรู้ผ่านอสูรร้ายภายในใจเราไปให้ได้ เพื่อเติบโตมากกว่าเดิม ตัวแทนของ 'Monster' ในเรื่องคือดีมากๆ สำหรับเรา ช่วงเวลาของการเรียนรู้ของตัวละครในเรื่องก็เป็นช่วงเวลาที่เราได้เรียนรู้สิ่งที่หนังต้องการสื่อให้เราไปพร้อมกัน 'A Monster Calls' เป็นภาพยนตร์ที่เกินคาดมากๆสำหรับปีนี้ ไม่คิดว่าจะทำออกมาได้ดีขนาดนี้ ไม่เพียงแค่เนื้อหาและบทภาพยนตร์ที่มีสาระประเด็นแฝงมากมายเท่านั้น หนังยังมีฉากหลังและงานภาพที่ช่วยสื่ออารมณ์ได้ดีอีกด้วย โทนสีไม่ได้เป็นหนังสดใสให้เด็กเล็กดู แต่เป็นโทนหม่นหมองที่สะท้อนถึงจิตใจส่วนลึกของผู้ใหญ่โดยแท้
เราได้เรียนรู้อะไรจากนิทาน ช่วงชีวิตคนๆหนึ่งคงผ่านนิทานมาแล้วหลายเรื่อง เคยสงสัยหรือเปล่าว่านิทานเหล่านั้นให้อะไรเราเมื่อโตขึ้น สำหรับเรานิทานในเรื่องนี้สอนให้เรารับมือกับความสูญเสีย รับมือกับความพลัดพราก รับมือกับการกล้าที่จะบอกความรู้สึกที่แท้จริง รวมไปถึงวิธีการแก้ปัญหาในชีวิต ในความเป็นจริงสิ่งที่ 'มอนเตอร์' ในเรื่องกำลังสอนผ่านการเล่าเรื่องคือการสะท้อนความจริงของโลกในทุกๆมิติ มิติที่ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว มิติที่ทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น งานนี้ถ้าเอาแค่ส่วนเนื้อหาอย่างเดียวต้องบอกว่าเป็นงานที่ทรงคุณค่ามากๆเรื่องหนึ่งเลย แต่ถึงกระนั้นจุดที่ทำได้ไม่ดีคือการเล่าเรื่องที่เนิบช้าเกินไปโดยไม่จำเป็น และอาจทำง่วงได้หรืออาจจะหลุดได้เลย อาจจะด้วยข้อจำกัดที่หนังใช้การเล่าเรื่องแบบเชิงปรัชญาที่ต้องอาศัยการคิดตามอยู่ตลอด ถ้าใครไม่ชอบคงจะไม่สนุกเกือบตลอดทั้งเรื่อง ฉากดราม่าทำได้ไม่ค่อยดี รู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าทีควร แม้จะดำเนินเรื่องมาดีแค่ไหนแต่พอถึงฉากสำคัญๆ ก็ทำได้ไม่สุด น่าจะใส่อะไรให้หนักมากกว่านี้เพื่อเรียกความรู้สึกให้มากกว่านี้อีกนิดหนึ่ง แต่ถ้าเอาแค่ภาพรวมของหนังต้องบอกว่าสอบผ่านเลย ในส่วนของนักแสดง ' Lewis MacDougall ' นักแสดงเด็ก เล่นได้ดีมีมิติของอารมณ์ สีหน้า แววตา ร้องไห้ เศร้า หัวใจจะหลุดออกจากตัวแล้ว แต่บางฉากก็รู้สึกเยอะไปนิด ฮ่าๆ ใน่ส่วน 'Felicity Jones' ที่เล่นเป็นแม่นั้นก็ 'เล่นน้อยแต่ได้เยอะ' ส่วนคนอื่นๆก็ทำได้ดีเหมือนกัน
งานภาพเรียกว่าคุ้มค่ามาก สวยมากทุกองค์ประกอบเลย เพลินทั้งส่วนที่เป็นอนิเมชั่นที่ใส่มาตอน Monster เล่านิทานให้เด็กฟัง ส่วนนี้คือเพลินมากๆ ตัวของ Monster ทำออกมาละเอียดมาก เราพึ่งรู้สึกว่า 'สีน้ำ' มันมีผลต่อความรู้สึกได้มากจริงๆ และก็ให้อารมณ์ในเชิงสัญลักษณ์ด้วย เป็นการเล่าแบบนามธรรมมีมุมมองชั้นเชิงในการเล่นที่ช่วยกระตุ้นความคิดได้ดีมาก ความคิดหลังดูจบคือ เราอยากขอบคุณเสียงเรียกจาก 'Monster' เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ยิ่นเสียงนี้ จงขอบคุณและก้าวผ่านมันไปให้ได้ 'จงยอมรับความเสียใจจากเสียงนั้นและยอมรับความจริง' ทุกคนเคยได้ยินเสียงเรียกของ 'Monster' มาแล้วทั้งนั้น และเราก็เข้าใจเสียงนั้นมาแล้วด้วยเหมือนกัน และยังได้ยินเสียงนี้ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนหนังพยายามทำให้เราคิดแบบนั้นนะ 'ชีวิตมันโหดร้ายแต่นั้นแหละคือความจริง'
ท้ายสุด 'A Monster Calls' คืองานคุณภาพเกินคาดของปีนี้สำหรับเรา ด้วยการฉาบหน้าของหนังจนนึกว่าเป็นหนังเด็กน้อย แต่พอได้ดูเท่านั้นแหละ ถึงกลับตะลึงในเนื้อหาสาระที่หนักมากๆเรื่องหนึ่งเลย คิดว่าจะดูเพลินๆ แต่กลายเป็นหนังเจริญสมอง สะเทือนความคิด ให้เรากลับมาครุ่นคิดต่อหลังหนังจบ หนังไม่เหมาะกับเด็กเล็กด้วยองค์ประกอบทั้งหมดทั้งมวล เราว่ามันคืองาน 'Coming-of-age' ที่คนอายุ 60 ก็สามารถดูได้ และควรจะดูอีกด้วย หนังดีส่งท้ายปีเลยจริงๆ
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/