เที่ยวภูฏาน...แบบไม่ง้อทัวร์ เพราะเพื่อนพาเที่ยว! part IV

หายไปนาน เนื่องจากคอมพ์ของผมเจ๊งกะบ๊ง เลยพาลให้ไม่มีกะจิตกะใจจะเขียนไปพักใหญ่ ต้องขอโทษทุกท่านที่ติดตามอ่านด้วยครับ ตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายที่ผมจะเขียนสำหรับทริปนี้แล้ว ทุกอย่างที่ผิดพลาด ผมต้องขออภัยด้วย และจะปรับปรุงให้ดีขึ้นครับ สำหรับท่านที่ไม่ได้อ่านตอนก่อนหน้านี้ สามารถติดตามย้อนหลังได้ตามลิ้งค์นี้นะครับ

เที่ยวภูฏาน...แบบไม่ง้อทัวร์ เพราะเพื่อนพาเที่ยว! part I   http://ppantip.com/topic/35691020
เที่ยวภูฏาน...แบบไม่ง้อทัวร์ เพราะเพื่อนพาเที่ยว! part II  http://ppantip.com/topic/35736211
เที่ยวภูฏาน...แบบไม่ง้อทัวร์ เพราะเพื่อนพาเที่ยว! part III http://ppantip.com/topic/35753914

-------------------------------------------------------------------------------
พวกเรามองค้างไปยังหน้าผาสูงตรงหน้า ท่ามกลางบรรยากาศที่มีสายฝนโปรยบางๆ ปุยเมฆปกคลุมคลอเคลียไปกับกลุ่มอาคารที่สร้างแอบอิงชิดกับหินผา สูงจากบริเวณที่เรายืนอยู่ตรงนี้ประมาณ 900 เมตร

วัดทักซัง (Taktsang Dzong) หรือที่เรียกกันว่า Tiger Nest  เป็นสถานที่อันศักดิสิทธิ์ที่สุดในภูฏาน เป็นที่หมายของเหล่านักแสวงบุญชาวพุทธและนักท่องเที่ยวทั้งจากในและนอกประเทศ แม้แต่ลามะจากฝั่งทิเบตยังต้องดั้งด้นมาสักการะแม้สักครั้งหนึ่งในชีวิต และเป็นวัดพุทธที่ว่ากันว่า งดงามที่สุดในโลก หากใครที่มีโอกาสมาภูฏานและไม่ได้ขึ้นทักซัง ก็เหมือนมาไม่ถึงภูฏานประมาณนั้น

ตำนานเล่าถึงการก่อสร้างและกำเนิดวัดแห่งนี้เอาไว้ว่า ท่านกูรู ริมโปเช  ได้ขี่นางเสือเหาะมาจากเมืองเค็นปาจงมายังสถานที่แห่งนี้  ท่านได้บำเพ็ญสมาธิอยู่ในถ้ำเสือเล็กๆอยู่นาน 3 เดือน จากนั้นท่านจึงโปรดเทศนาสั่งสอนชาวบ้านในหุบเขาพาโรแห่งนี้ให้มานับถือพระพุทธศาสนา และสะกดภูตผีปีศาจเอาไว้ด้วย

Choki เล่าว่า ชาวภูฏานต่างเชื่อกันว่า การมาแสวงบุญที่วัดทักซังจะเป็นบุญกุศลอันสูงสุดในชีวิต บาปและสิ่งเลวร้ายในอดีตที่เคยทำมา จะถูกชำระล้างเมื่อได้มาเดินขึ้นและแสวงบุญ ณ ที่แห่งนี้ มีข้อแม้ว่า การเดินทางสู่ตัววัดนั้น จะต้องเดินเท้าเท่านั้น ซึ่งการเดินเท้าตามเส้นทางศักดิสิทธิ์เพื่อไปสู่วัดทักซังนั้น จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน แต่สำหรับผู้เฒ่าคนชรา สามารถใช้บริการม้าแกลบพาเดินขึ้นได้ประมาณครึ่งทาง

Choki เตือนพวกเราให้ระวังตัวเกี่ยวกับอากาศที่เบาบางระหว่างทางด้วย เนื่องจากเรามาจากประเทศไทยที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียงไม่กี่เมตร จะมีผลกระทบแน่นอนในการออกแรงเดินขึ้นสู่ยอดผาที่สูงถึงกว่าสามพันเมตรจากระดับน้ำทะเล

เราเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นวัด ในกระเป๋าเป้ของผมนอกจากจะมีกล้องถ่ายรูป น้ำดื่มและช็อคโกแลตแล้ว ยังจะมีออกซิเจนกระป๋องที่เตรียมมาเผื่อว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ชาวที่ราบต่ำอาจต้องหายใจจากอากาศกระป๋องเพื่อเอาชีวิตรอด ที่เชิงเขามีซุ้มประตูและร้านขายของที่ระลึกเรียงรายกันอยู่ทั้งสองฝั่งทางเดิน เสียงพ่อค้าแม่ค้าเชิญชวนให้แวะเลือกดูและซื้อติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้าน แต่เราตกลงกันว่าจะแวะดูตอนขากลับมากกว่า เพราะไม่ต้องการจะแบกน้ำหนักตอนเดินขึ้นเขาเพิ่มขึ้น

พ้นแนวร้านขายของมา เราก็พบกับม้าแกลบจำนวนมากและเหล่าเจ้าของคนเลี้ยงที่มารอให้บริการ ซึ่งสนนราคาใช้บริการก็ไม่แพงอะไร แต่ผมและแบงค์ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า จะต้องเดินให้ถึงด้วยขาของตัวเอง จึงเดินผ่านมาพร้อมทั้งพยายามหลบกองขี้ม้าที่กระจายเละอยู่บนพื้น ส่วนภรรยาผมและ Choki ที่ไม่แข็งแรงนักขอเลือกใช้ม้าเพื่อทุ่นแรง จากนี้ไป Cobra จะมาเป็นผู้นำทางให้ผมและแบงค์ รอบๆตัวของผมและแบงค์ตอนนี้ มีทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชาวบ้านที่แบกของจะนำไปถวายที่วัด พระลามะ และม้า ต่างเดินบ่ายหน้าสู่แนวป่าสนซึ่งหนทางค่อยๆลาดชันขึ้น กลุ่มของเราเดินนำม้าของภรรยาผมและ Choki มาเล็กน้อย


เพียงแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีนับจากที่เราเดินผ่านแนวร้านขายของที่ระลึก ผมก็ต้องแวะพักหายใจหอบซี่โครงบานอยู่ข้างต้นสนใหญ่ริมทาง รู้สึกถึงความรู้สึกที่ว่า ‘หายใจไม่เต็มปอด’ ถึงแม้อากาศยามเช้าจะยังคงเย็นเยียบและบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้นเลย ผมพยายามสูดหายใจให้ลึก จดจ่อกับการนำอากาศเข้าปอดและละความสนใจจากรอบตัว แม้ก่อนหน้านี้ผมจะเคยเดินป่ามาหลายครั้ง แต่ป่าประเทศไทยก็มีอากาศให้ผมสูดอย่างเพียงพอมาตลอด วันนี้แค่เริ่มต้น ผมก็เริ่มพบกับอาการขาดอากาศแล้ว Cobra ถามอาการผมอย่างเป็นห่วงเนื่องจากเขาไม่ใช่ไกด์ และไม่ใช่หมอ ดังนั้นเขาดูจะกังวลกับอาการของผมไม่น้อย แต่ผมบอกไปว่าผมยังไหว เราเริ่มออกเดินต่อหลังจากแวะพักไปประมาณห้านาที




การดื่มน้ำสามารถช่วยปรับร่างกายให้สามารถทนต่อการขาดอากาศได้บ้าง แต่ดื่มมากเกินไปก็จะทำให้จุกเสียดอีก ผมจึงเดินไปพร้อมกับจิบน้ำอึกเล็กๆไปตลอดทาง สภาพรอบตัวขณะนี้เป็นแนวป่าสนสลับกับพุ่มไม้เตี้ยๆและโขดหินเล็กๆ ชาวบ้านหนุ่มๆหลายคนแบกทั้งกระสอบข้าวสาร ถังแก็ส หรือไม่ก็ปูนซีเมนต์เดินแซงผมไปทีละคนสองคน  Cobra เล่าว่าเด็กๆหลายคนจากบ้านจากครอบครัวไปเป็นพระอยู่ที่วัด พ่อแม่พี่น้องของพวกเขาจึงนำสิ่งของต่างๆไปบริจาคที่วัด เพื่อว่านอกจากเป็นการทำบุญแล้ว สิ่งของเหล่านี้จะได้ส่งไปถึงลูกหลานของพวกเขาด้วย

Cobra พาเราเดิน แยกออกจากทางเดินหลักที่ผมเห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นเดินกัน มาเป็นทางเท้าขนาดเล็ก ลัดเลาะเข้าป่าข้างทางไป Cobra บอกกับเราว่าเส้นทางที่เขากำลังนำเราเดินไป เป็นเส้นทางลัดที่เฉพาะชาวบ้านใช้เดินกันเท่านั้น เนื่องจากระยะทางสั้นกว่าเส้นทางหลักถึงประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ก็แลกกับเส้นทางที่แคบและชันกว่ากันมากทีเดียว จากการเดินบนทางดินอัดแน่นกลายเป็นทางเดินแคบๆที่ชันและลื่น ต้นไม้ทึบและแสงแดดส่องมาได้เพียงรำไรๆ เสื้อและกางเกงของพวกเราเปียกชุ่มจากเหงื่อที่ซึมออกมาตลอด แม้อากาศจะเย็นก็ตาม



นี่เป็นครั้งแรกที่ผมแยกจากภรรยาในขณะที่เราอยู่ต่างประเทศ ความรู้สึกเป็นห่วงและว้าวุ่นใจคอยรบกวนผมอยู่แทบจะตลอดเวลา แม้จะรู้แก่ใจว่า Choki ยังอยู่กับเธอ และจะคอยดูแลเธอแทนผมตลอดเวลาที่เราแยกกันเดินทางในครั้งนี้

ความทรมานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามความสูง อากาศที่เคยรู้สึกว่าบาง และไม่ค่อยพอจะหายใจกลับดูยิ่งร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ผมนึกในใจว่า ทำไมจะต้องมาทรมานตัวเอง เสี่ยงชีวิตตัวเองเพียงเพื่อจะได้เห็นแค่วัดที่สร้างบนหน้าผาแค่นั้น ความเหนื่อยล้าที่ทวีคูณมากขึ้นเกือบทำให้ผมล้มเลิก มันจะคุ้มอะไรกับคนที่ไม่ได้ศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างจริงจังอะไร ผมไม่ได้มาแสวงบุญ ผมแค่มาเที่ยว ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวในขณะที่ขาก็ยังก้าวต่อไปทั้งที่ปวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว ตัวช่วยทั้งออกซิเจนทั้งน้ำและช็อคโกแลตถูกนำมาใช้จนแทบจะหมด

บ่อยครั้งที่เราต้องล้ม ลื่นไถลเพราะความลื่น พื้นดินและหญ้าที่เปียกชื้นจากน้ำค้างและสายฝน ในที่สุดเราก็มาจนถึงกลางทาง ซึ่งมีคาเฟ่เล็กๆไว้คอยบริการกาแฟ ชาและอาหารแก่ผู้มาเยือน ตรงจุดนี้ วิวของทักซังช่างต่างจากที่เราเห็นตรงเชิงเขามากนัก ทั้งสวยงามและสง่า
    
Choki และภรรยาผมที่ใช้บริการม้าขึ้นเขามา ได้มาถึงและรอพวกเราอยู่ก่อนแล้วราว 15 นาที




‘อีกเพียงแค่ชั่วโมงกว่าก็จะถึง’ พนักงานในคาเฟ่บอกกับพวกเราในขณะที่ผมแวะพักจิบชาและทานแคร็กเกอร์เพื่อฟื้นพลัง  ภาพอันงดงามตรงหน้าไล่ตะเพิดความคิดที่จะล้มเลิกของเราไปไกลลิบ เป็นตายยังไง เราก็จะต้องไปให้ถึง ไม่ใช่แค่วัดธรรมดาๆ แต่เป็นวัดที่ศักสิทธิ์ที่สุดในภูฏาน เป็นวัดพุทธที่สวยงามที่สุดในโลก เป็นวัดที่ใครๆต่างก็อยากมาเยือนแม้สักครั้งในชีวิต แม้คนๆนั้นจะไม่ชอบเที่ยววัดก็ตาม
    
จากจุดนี้ ผมและภรรยาจะแยกกันอีกครั้ง เนื่องจากเธอมีร่างกายที่ไม่แข็งแรง และเราตกลงกันว่า เธอไม่ควรเอาชีวิตไปเสี่ยงบนเส้นทางที่อากาศเบาบางเช่นนี้ เธอจึงตกลงที่จะคอยพวกเราอยู่ที่ café จนกว่าเราจะไปถึงและกลับมารับ ….ใจหายอีกครั้ง
    
จากคาเฟ่ เส้นทางเดินง่ายขึ้นเพราะมีโขดหินให้เกาะและจับง่ายกว่าเส้นทางก่อนหน้า และลดความชันลงไปด้วยเพราะเราเดินขึ้นมาจนถึงบริเวณไหล่เขาแล้ว ความรวดร้าวที่ขาและในปอดดูจะคลายลงไปเมื่อความมุ่งมั่นและพยายามจะไปให้ถึงเข้ามาแทนที่ เสียงให้กำลังใจจากผู้ที่ไปถึงก่อนและกำลังเดินสวนลงไปดังมาเป็นระยะๆ เราเดินมาจนถึงช่วงสุดท้าย บันได 700 ขั้นทอดตัวลงระหว่างหุบลึกกำลังรอทดสอบกำลังใจและแรงศรัทธาของเราอยู่ตรงหน้า และทักซังเด่นสง่าอยู่บนชะง่อนผาฝั่งตรงข้ามกับที่เรากำลังยืนอยู่




700 ขั้นสุดท้ายช่างเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวง เพราะเส้นทางทั้งแคบและชันมาก บันไดทอดตัวลงจากไหล่เขาฝั่งหนึ่งลงหุบลึก เพื่อจะไต่ขึ้นหน้าผาอีกฝั่งอันเป็นช่วงสุดท้ายของการเดินทาง นักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญได้นำชีวิตของพวกเขามาจนถึงและแตกดับบนเส้นทางช่วงสุดท้ายนี้ไม่น้อย ด้วยความที่เส้นทางลาดชัน และบางช่วงก็ลื่นจากละอองน้ำตกที่ทิ้งตัวลงมาจากผาสูงที่ขนาบข้าง ผมพยายามไม่นึกถึงสิ่งที่เลวร้ายและหลับหูหลับตาเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย


ภาพที่บันทึกใส่ sd card ดูจะไม่มีค่าอะไรเลยหากเทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับ แม้จะไม่ใช่ความศรัทธาในศาสนาที่พาผมมาจนถึงจุดนี้ แต่มนต์เสน่ห์แห่งขุนเขา ป่าไม้ และความงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของวัดทักซังซึ่งตั้งตระหง่านบนผาสูง ได้เปลี่ยนความคิดของผมที่ว่า ทักซังก็เป็นแค่วัดไปจนหมดสิ้น ความเชื่อ แรงศรัทธาและจิตวิญญาณของชาวภูฏานได้ทำให้พวกเขาสรรค์สร้างความมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่เอาไว้บนผาสูงแห่งหนึ่งในเทือกหิมาลัย Chokiและพวกเราได้มาจนถึงจุดสูงสุดบนเส้นทางศักดิสิทธิ์ตามความเชื่อของชาวภูฏานแล้ว น่าเสียดายที่ทางการไม่อนุญาตให้บันทึกภาพใดๆในอาณาเขตวัด สิ่งที่นำออกมาได้มีเพียงความทรงจำ ซึ่งจะประทับอยู่ในใจของเราไปตลอดชีวิต

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่