“หมอผี” คือผู้นำชุมชนในยุคแรก นอกจากจะเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณ หมอผียังมีบทบาทเป็นทั้งผู้ปกป้องและรักษา ก็ต่อเมื่อศาสนพราหมณ์ค่อยๆ เข้ามาผู้นำชุมชนก็ถูกเปลี่ยนมือมาที่ “หมอพราหมณ์” และคล้อยหลังไม่นานศาสนาพุทธเข้ามาอีก จากนั้นบทบาทของผู้นำชุมชนก็ถูกแชร์ระหว่าง “หมอพราหมณ์” กับ “เจ้าอาวาส” ต่อมา...เมื่อชุมชนต้องการขยายอาณาเขตของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ก็เกิดผู้นำใหม่ขึ้นมาอีกในบทบาทหนึ่งคือบทบาทของนักรบ กล่าวโดยย่อๆ เมื่ออาณาเขตกว้างขึ้นๆ ก็ถูกเรียกว่า “ราชอาณาจักร” ส่วนศาสนา(ทั้งพุทธและพราหมณ์)ที่ดำรงอยู่กับชุมชนนั้นมาตั้งแต่ต้นก็เติบโตไปพร้อมๆ กับราชอาณาจักรและถูกเรียกว่า “ศาสนจักร” แม้แนวทางทั้งสองอาณาจักรจะแตกต่างกันหรือที่เรียกว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นโลกิยะอีกฝ่าคือโลกุตระ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองอาณาจักรจะตัดกันไม่ขาด เอาเฉพาะมุมมองส่วนตัวของผมนะครับ ผมมองว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของผู้นำทั้งสองอาณาจักรที่ตักตวงผลประโยชน์ให้กับฝ่ายตนนั่นเอง
เมื่อใดก็ตามที่การเมือง “ภายใน” ของอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งคุกรุ่นขึ้นมา เรามักจะเห็นการ “ยืมมือ” และ “ยื่นมือ" ของอีกอาณาจักรหนึ่งเข้าช่วยและเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายตน อย่างกรณีพระเทวทัตเข้าไปปั่นหัวพระเจ้าอาชาตศรัตรูเพื่อกำจัดพระพุทธเจ้า และปูทางให้ตัวเองขึ้นปกครองคณะสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า หรืออย่างกรณีในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถส่งพระภิกษุขึ้นเชียงใหม่เพื่อไปบิณบาตรขอเมืองเชลียงจากพระเจ้าติโลกราชหลังจากที่สองเมืองสู้รบกันมาอย่างนาน และที่เห็นได้ชัดเจนในสมัยปลายรัชสมัยกรุงธนบุรี ถึงขั้นที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่มีความเห็นแยกเป็นสองฝ่าย เช่นกรณีที่พระเจ้าตากนิมนต์พระราชาคณะเข้ามาถามว่าพระสงฆ์จะไหว้คฤหัสถ์ที่บรรลุโสดาบันได้หรือไม่ บางฝ่ายตอบว่าได้(เพื่อเอาใจพระเจ้าตาก) บางฝ่ายตอบว่าไม่ได้ ปรากฏว่าฝ่ายที่ตอบว่าได้รอดตัวและได้ปูนบำเหน็จไป ส่วนฝ่ายที่ตอบว่าไม่ได้ก็ถูกลงโทษ ต่อมาเมื่อสิ้นสมัยของพระเจ้าตาก พระสงฆ์ที่เคยตอบว่าได้ก็ถูกลงโทษ ส่วนพระสงฆ์ที่เคยตอบว่าไม่ได้ก็ได้ดี เช่นนี้
ระยะหลังๆ พระเข้าไปเล่นการเมืองเองหรือการเมืองดึงพระออกไปเล่นเริ่มเด่นชัดขึ้น อย่างเช่นกรณีการเกิดธรรมยุตินิกายที่ลุกลามใหญ่โตเกี่ยวโยงศาสนาจักรและราชอาณาจักรอีรุงตุงนังในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบันนี้ สถานะของ “วัดราษฏร์” และ “วัดหลวง” คือร่องรอยและหลักฐานของปัญหาการเมืองภายในของศาสนจักร แม้รัฐจะพยายามเข้าไปแก้ปัญหาแต่ก็ล้มเหลวและคาราคาซังอยู่ถึงปัจจุบัน ปัญหาเรื่องนี้ลุกลามข้ามแม่น้ำโขงไปถึงฝั่งลาวและเกิดการแตกความสามัคคีในศาสนจักรของประเทศลาวด้วย ก็ต่อเมื่อคอมมิวนิสต์เข้ามาปกครองปัญหานี้ก็ถูกกำจัดโดยสิ้นซาก ประเทศลาวจึงกลับมานับถือนิกายเดียวและดั้งเดิมต่อไป รวมไปถึงการตัดตำแหน่งพระราชาคณะชั้นนู้นชั้นนี้ออกไปอย่างมากมาย
๑. มีความเป็นไปได้ที่สงฆ์หรือคณะสงฆ์จะล้ำเส้นออกนอกศาสนจักรมาเล่นการเมืองแบบเปิดหน้า เช่นกรณีพระพิมลธรรมอนันตปรีชานำไพร่พลออกมาแล้วปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าทรงธรรมในยุคอยุธยาตอนกลาง หรือกรณีพระเจ้าฝางที่ตั้งก๊กตัวเองขึ้นหลังกรุงแตกครั้งที่สอง รวมไปถึงพระครูธรรมโชติแห่งหมู่บ้านบางระจันด้วย
๒. มีความเป็นไปได้เช่นกันที่ฝ่ายรัฐจะล้ำเส้นออกนอกราชอาณาจักมาเล่นการเมืองในศาสนจักร อย่างเช่นการสั่งลงโทษเฆี่ยนสมเด็จพระวันวัต วัดบางหว้าใหญ่เมื่อตอนต้นรัตนโกสินทร์ หรือการสั่งจับพระพิมลธรรม (วัดมหาธาตุ)เข้าคุกในยุคสฤษดิ์ หรือแม้กรณีการแต่งตั้งตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ที่ดูเหมือนว่าอำนาจการแต่งตั้งหรือตัดสินจะอยู่ในมือของฆราวาสไปเสียแล้ว
ทั้งสองกรณีข้างบน ชี้ให้เห็นว่า เมื่อหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอ่อนแอหรือหมดประโยชน์ในส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่รีรอที่จะเข้าไปขยายอำนาจในส่วนนั้นๆ อันนี้รวมไปถึงการดึงระบบการศึกษาที่วัดและคณะสงฆ์เคยมีบทบาทสูงในสังคมไทยมาเป็นร้อยๆ ปีมาไว้ในกำมือของรัฐ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้รัฐขยายอำนาจในการกำกับทิศทางและปลูกฝังแนวคิดของสังคมได้มากขึ้น
ปล. ในอดีต แคว้นสุโขทัยซึ่งเป็นแคว้นเล็กมากเมื่อเทียบกับประเทศไทยในปัจจุบัน เคยมีคณะสงฆ์ถึงสามฝ่ายคือ ฝ่ายอรัญญวาสี ฝ่ายคามวาสี และคณะสงฆ์วัดป่าแก้ว แต่ไม่เคยปรากฏว่าคณะสงฆ์จะมีปัญหากระทบกระทั่งกันจนต้องยืมมือฝ่ายบ้านเมืองเข้ามาร่วมสกรัม ทั้งศาสนจักรและราชอาณาจักรควรจะศึกษาตัวอย่างจากตรงนี้
….พระเล่นการเมือง หรือว่า การเมืองเล่นพระ.../วัชรานนท์
เมื่อใดก็ตามที่การเมือง “ภายใน” ของอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งคุกรุ่นขึ้นมา เรามักจะเห็นการ “ยืมมือ” และ “ยื่นมือ" ของอีกอาณาจักรหนึ่งเข้าช่วยและเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายตน อย่างกรณีพระเทวทัตเข้าไปปั่นหัวพระเจ้าอาชาตศรัตรูเพื่อกำจัดพระพุทธเจ้า และปูทางให้ตัวเองขึ้นปกครองคณะสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า หรืออย่างกรณีในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถส่งพระภิกษุขึ้นเชียงใหม่เพื่อไปบิณบาตรขอเมืองเชลียงจากพระเจ้าติโลกราชหลังจากที่สองเมืองสู้รบกันมาอย่างนาน และที่เห็นได้ชัดเจนในสมัยปลายรัชสมัยกรุงธนบุรี ถึงขั้นที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่มีความเห็นแยกเป็นสองฝ่าย เช่นกรณีที่พระเจ้าตากนิมนต์พระราชาคณะเข้ามาถามว่าพระสงฆ์จะไหว้คฤหัสถ์ที่บรรลุโสดาบันได้หรือไม่ บางฝ่ายตอบว่าได้(เพื่อเอาใจพระเจ้าตาก) บางฝ่ายตอบว่าไม่ได้ ปรากฏว่าฝ่ายที่ตอบว่าได้รอดตัวและได้ปูนบำเหน็จไป ส่วนฝ่ายที่ตอบว่าไม่ได้ก็ถูกลงโทษ ต่อมาเมื่อสิ้นสมัยของพระเจ้าตาก พระสงฆ์ที่เคยตอบว่าได้ก็ถูกลงโทษ ส่วนพระสงฆ์ที่เคยตอบว่าไม่ได้ก็ได้ดี เช่นนี้
ระยะหลังๆ พระเข้าไปเล่นการเมืองเองหรือการเมืองดึงพระออกไปเล่นเริ่มเด่นชัดขึ้น อย่างเช่นกรณีการเกิดธรรมยุตินิกายที่ลุกลามใหญ่โตเกี่ยวโยงศาสนาจักรและราชอาณาจักรอีรุงตุงนังในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบันนี้ สถานะของ “วัดราษฏร์” และ “วัดหลวง” คือร่องรอยและหลักฐานของปัญหาการเมืองภายในของศาสนจักร แม้รัฐจะพยายามเข้าไปแก้ปัญหาแต่ก็ล้มเหลวและคาราคาซังอยู่ถึงปัจจุบัน ปัญหาเรื่องนี้ลุกลามข้ามแม่น้ำโขงไปถึงฝั่งลาวและเกิดการแตกความสามัคคีในศาสนจักรของประเทศลาวด้วย ก็ต่อเมื่อคอมมิวนิสต์เข้ามาปกครองปัญหานี้ก็ถูกกำจัดโดยสิ้นซาก ประเทศลาวจึงกลับมานับถือนิกายเดียวและดั้งเดิมต่อไป รวมไปถึงการตัดตำแหน่งพระราชาคณะชั้นนู้นชั้นนี้ออกไปอย่างมากมาย
๑. มีความเป็นไปได้ที่สงฆ์หรือคณะสงฆ์จะล้ำเส้นออกนอกศาสนจักรมาเล่นการเมืองแบบเปิดหน้า เช่นกรณีพระพิมลธรรมอนันตปรีชานำไพร่พลออกมาแล้วปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าทรงธรรมในยุคอยุธยาตอนกลาง หรือกรณีพระเจ้าฝางที่ตั้งก๊กตัวเองขึ้นหลังกรุงแตกครั้งที่สอง รวมไปถึงพระครูธรรมโชติแห่งหมู่บ้านบางระจันด้วย
๒. มีความเป็นไปได้เช่นกันที่ฝ่ายรัฐจะล้ำเส้นออกนอกราชอาณาจักมาเล่นการเมืองในศาสนจักร อย่างเช่นการสั่งลงโทษเฆี่ยนสมเด็จพระวันวัต วัดบางหว้าใหญ่เมื่อตอนต้นรัตนโกสินทร์ หรือการสั่งจับพระพิมลธรรม (วัดมหาธาตุ)เข้าคุกในยุคสฤษดิ์ หรือแม้กรณีการแต่งตั้งตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ที่ดูเหมือนว่าอำนาจการแต่งตั้งหรือตัดสินจะอยู่ในมือของฆราวาสไปเสียแล้ว
ทั้งสองกรณีข้างบน ชี้ให้เห็นว่า เมื่อหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอ่อนแอหรือหมดประโยชน์ในส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่รีรอที่จะเข้าไปขยายอำนาจในส่วนนั้นๆ อันนี้รวมไปถึงการดึงระบบการศึกษาที่วัดและคณะสงฆ์เคยมีบทบาทสูงในสังคมไทยมาเป็นร้อยๆ ปีมาไว้ในกำมือของรัฐ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้รัฐขยายอำนาจในการกำกับทิศทางและปลูกฝังแนวคิดของสังคมได้มากขึ้น
ปล. ในอดีต แคว้นสุโขทัยซึ่งเป็นแคว้นเล็กมากเมื่อเทียบกับประเทศไทยในปัจจุบัน เคยมีคณะสงฆ์ถึงสามฝ่ายคือ ฝ่ายอรัญญวาสี ฝ่ายคามวาสี และคณะสงฆ์วัดป่าแก้ว แต่ไม่เคยปรากฏว่าคณะสงฆ์จะมีปัญหากระทบกระทั่งกันจนต้องยืมมือฝ่ายบ้านเมืองเข้ามาร่วมสกรัม ทั้งศาสนจักรและราชอาณาจักรควรจะศึกษาตัวอย่างจากตรงนี้