ของดีจากตำรา ฝูงหมูป่าท้าสู้เสือ

กระทู้สนทนา
ตำราที่ว่านี้ ก็คือ พระไตรปิฎกนั่นเองครับ ซึ่งผมได้หยิบยกเนื้อหาของดีในพระไตรปิฎกมา 2 เรื่องแล้ว และพอผมศึกษาไปมากเข้า ก็พบว่า พระไตรปิฎก มิใช่เป็นเพียงตำราวิชาการ อันว่าด้วยเรื่องธรรมะชั้นสูงเหมาะจะเป็นยานอนหลับขนานเอก สำหรับเราๆ ท่านๆ ที่ยังไม่ได้มีอัธยาศัย คิดหมดกิเลสในชาติปัจจุบัน แต่เพียงอย่างเดียว

แต่พระไตรปิฎกยังประกอบด้วยศาสตร์และศิลป์ในการดำเนินชีวิต ของผู้ครองเรือน ครอบคลุมตั้งแต่ระดับบุคคล ไปจนถึงระดับชุมชมเล็กใหญ่ ได้ดียิ่งทีเดียวเชียวครับ คือ หากตัวคนเดียว ก็ยึดใช้หลักดำเนินชีวิตในพระไตรปิฎกได้ หรือเป็นกลุ่มชุมชนขนาดเล็ก ไปจนถึงชุมชมขนาดใหญ่ ก็มีหลักดำเนินชีวิตในพระไตรปิฎกได้เช่นเดียวกัน

ดังเช่นเรื่องราวในวันนี้ ฝูงหมูป่า ที่ชั่วชีวิตเอาแต่วิ่งหนีเสือ และถูกจับกินไปไม่เว้นวัน แต่เมื่อได้ผู้นำดี จึงหาญกล้าท้าสู้เสือขึ้นมา เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ก็เข้าเรื่องเลยดีกว่า ในอดีตกาล มีช่างไม้คนหนึ่ง ทำมาหากินเรื่องการเข้าป่าหาไม้มาขาย อยู่ในเขตของเมืองพาราณสี ครั้งหนึ่งเขาเก็บลูกหมูป่าตัวหนึ่ง  ที่ตกหลุมอยู่ได้ ในป่าขณะไปทำมาหากิน จึงนำลูกหมูป่ามาเลี้ยงที่บ้าน

ผ่านไปไม่นาน ลูกหมูป่าเจริญเติบโต กลายเป็นหมูป่าหนุ่มตัวใหญ่โต มีเขี้ยวโง้ง และเฉลียวฉลาดแสนรู้ยิ่งนัก ช่างไม้ตั้งชื่อว่า วัฑฒกีสุกร (ซึ่งผมลองไปเปิด อ.กู๋ ดู หาความหมายคำว่า วัฑฒกี ไม่เจอ เจอแต่คำว่า วัฑฒโก แปลว่า เจริญ เลยคิดว่า แปลเหมือนกันมั้ง) ผมแปลให้ว่า เจ้าหมูเจริญ จะได้เรียกง่ายๆ เพราะชื่ออ่านยากๆ ผมอ่านครั้งเดียว ยังขี้เกียจอ่านซ้ำเลย อิอิ

วันๆ เจ้าหมูเจริญ จะคอยช่วยงานช่างไม้ เช่น ใช้จะงอยปากช่วยพลิกไม้ให้ เวลาช่างถากไม้ บางทีก็ เอาปากคาบมีด ขวาน สิ้ว และค้อนมาให้ช่างไม้ หรือแม้กระทั่งใช้ปากช่วยยึดปลายเส้นบรรทัดให้ ก็ยังทำได้เลย ฉลาดแฮะ ต่อมา ช่างไม้เห็นเจ้าหมูเจริญ ยิ่งอ้วนท้วมสมบูรณ์ เกรงว่า ถ้าอยู่ในเมืองต่อไป มันอาจจะกลายเป็นหมูพะโล้ ไม่เจริญสมชื่อแน่นอน จึงนำเจ้าหมูเจริญไปปล่อยในป่า

ซึ่งเจ้าหมูเจริญ พอไปสำรวจป่า ก็พบซอกเขาใหญ่แห่งหน้า อุดมสมบูรณ์ด้วยเหง้ามัน และรากไม้ ทั้งยังมี ฝูงหมูป่าฝูงใหญ่อาศัยอยู่หลายร้อยตัว เลยผูกมิตรด้วย เจ้าหมูเจริญ ก็ทักทายพูดคุยว่า ที่นี่อุดมสมบูรณ์ดี ขออยู่ที่นี่ด้วยนะ ฝูงหมูป่าบอกว่า จริงอยู่ ที่นี่น่าอยู่ยิ่งนัก แต่มีอันตรายอยู่อย่างหนึ่ง คือ ทุกๆ วัน จะมีเสือโคร่งดุร้าย มาตะครุบเอาหมูไปกินเป็นประจำ

เจ้าหมูเจริญถามว่า แล้วมันมีกี่ตัวหรือ พรรคพวกหมูบอกว่า มีตัวเดียว เจ้าหมูเจริญย้อนถามว่า "อะไรกัน พวกท่านมีจำนวนตั้งหลายร้อย เอาชนะแค่เสือโคร่งตัวเดียวไม่ได้หรือไง"  หมูป่าทั้งหลาย ได้ฟัง ก็ตอบว่า "แค่คิด ยังไม่กล้าคิดเลย ว่าหมูๆ อย่างเรา จะไปมีปัญญาทำอะไรเสือโคร่งได้"

เจ้าหมูเจริญจึงบอกว่า งั้นทำตามที่ข้าบอก เดี๋ยวจับมันให้ดู ว่าแล้ว คืนนั้นเองเจ้าหมูเจริญ ก็ให้จัดขบวนรบ 3 ขบวน ขบวนที่หนึ่ง จัดเป็นรูปดอกบัว ขบวนที่สอง จัดเป็นรูปล้อรถ ขบวนที่สาม จัดเป็นรูปเกวียน และในขบวนรูปดอกบัว เจ้าหมูเจริญจัดให้หมูป่าแม่ลูกอ่อนอยู่ชั้นในสุด ถัดมาเป็นฝูงหมูป่าสาวจัดล้อมหมูแม่ลูกอ่อนไว้ ถัดมาเป็นฝูงป่าหมูหนุ่มล้อมไว้อีกชั้น ถัดมาเป็นหมูป่าแก่ล้อมหมูหนุ่มเอาไว้ ถัดมาเป็นหมูป่าเขี้ยวยาวมาก ล้อมหมูป่าแก่เอาไว้ แล้วชั้นนอกสุด จัดหมูป่าที่มีกำลังและใจนักรบล้อมไว้เป็นหมู่ๆ หมู่ละ 10 ตัว 20 ตัว

และเฉพาะบริเวณที่เจ้าหมูเจริญยืนอยู่ ก็ไม่ขุดหลุมพรางขนาดเล็กไว้หน้าตน และขุดพรางขนาดใหญ่ลึกและคับแคบไว้ด้านหลังตน จากนั้น เจ้าหมูเจริญ ก็พาหมูป่านักรบตระเวนไปให้ขวัญกำลังใจในแต่ละขบวน บอกว่า พวกเจ้าทั้งหลายไม่ต้องกลัว ให้ทำตามที่ข้าบอก รับรองล้มเสือได้แน่นอน ประมาณนี้

พอรุ่งเช้า เจ้าเสือโคร่ง ก็ลงจากเขามา เพื่อจะจับหมูป่า ไปเป็นอาหารเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้ เหตุการณ์กลับตาลปัตร บรรดาหมูป่าที่เคยวิ่งหนี กลับยืนตระหง่านเป็นขบวน 3 ขบวน จึงจ้องมองดู เจ้าหมูเจริญก็ส่งสัญญาณ ให้ฝูงหมูป่าทั้งหมด จ้องมองเสือตอบ อย่าเกรงกลัว พอเสือโคร่งอ้าปากหายใจ ถ่ายของเหลว ฝูงหมูทั้งหมดก็กระทำตาม ไม่เกรงกลัวไม่แต่น้อย ไม่ว่าเสือจะทำท่าทางอย่างใด พวกหมูป่าก็ทำท่าทางอย่างนั้นตามเสือกันทั้งหมด

พอเสือเห็นเช่นนี้ ก็คิดว่า เมื่อก่อนฝูงหมูป่าพอเห็นเราก็เผ่นแนบ กระจัดกระจายกระเจิดกระเจิง แต่วันนี้ พวกมันกลับไม่หนี แถมยังทำกิริยาล้อเลียนเราอีกด้วย แต่เห็นมีอยู่ตัวหนึ่ง ยืนสั่งการตัวอื่นๆ หนึ่ง ชะรอยเจ้านี่ จะเป็นผู้นำ วันนี้ เราคงทำอะไรมันไม่ได้ กลับดีกว่า

ในครั้งนั้น ก็มีฤษีจอมแสบตนหนึ่ง ทุกๆ วัน จะได้เนื้อหมูป่าอ้วน ที่เสือนำมาแบ่งให้กิน แต่วันนี้ฤษีเห็นเสือมามือเปล่า เอ้ย ปากเปล่า เลยถามว่า "ทำไมเดินซมเซามาตัวเปล่าอย่างนั้นล่ะ เจ้าเสือ ทุกที่เจ้าจะมีเนื้อหมูป่ามาฝากข้านี่นา หรือ เจ้าหมดกำลังวังชาแล้ว

เสือบอกว่า "เปล่า ท่านฤษี เพียงแต่ว่า เมื่อก่อน พวกหมูป่าแลเห็นข้า ก็วิ่งหนีแยกกันไปตัวละทิศละทาง แต่วันนี้ พวกมันทั้งหมดมารวมตัวกันส่งเสียงร้องอยู่ อีกทั้งยังตั้งขบวนอยู่ในที่ที่เป็นชัยภูมิ ซึ่งยากที่ข้าจะจัดการพวกมันได้"

ฤษีได้ฟัง ก็ปลุกปลอบขวัญเสือโคร่งว่า เจ้าอย่ากลัวไปเลย ที่มันทำได้เช่นนี้ เพราะต้องมีผู้นำฝูง เจ้าจงคำรามใส่พวกมัน แล้วกระโจนเข้าจัดการผู้นำฝูงรับรองว่า เมื่อไร้ผู้นำ พวกมันก็จะเกรงกลัวแล้วแตกพ่ายหนีไปจนหมดสิ้นนั่นแหละ เสือโคร่งได้ฟัง ก็ฮึกเหิมใหม่อีกครั้ง ตูมีกุนซือเลว เอ้ย ดีวุ่ย คราวนี้แหละ 555 แล้วก็รีบวิ่งกลับไปหาฝูงหมูป่าอีกรอบ

พวกหมูป่ายังคงตั้งขบวนรออยู่ เห็นเสือมาอีกรอบ ก็ร้องบอกเจ้าหมูเจริญว่า มันกลับมาอีกแล้ว เจ้าหมูเจริญปลอบขวัญพรรคพวกว่า ไม่ต้องกลัว ข้าจะจัดการมันเดี๋ยวนี้แหละ เสือโคร่ง มองไปยังเจ้าหมูเจริญ เพราะมันสังเกตเห็นตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วว่า เจ้านี่เป็นผู้นำสั่งการในครั้งนี้ แล้วก็คำรามเสียงก้อง กระโจนเข้าใส่เจ้าหมูเจริญทันที

เจ้าหมูเจริญไม่ได้มีทีท่าหวั่นไหว รอจังหวะที่เสือพุ่งลงมาจากด้านบนใกล้จะถึงตัว มันก็รีบพุ่งตัวไปยังหลุมพรางขนาดเล็กด้านหน้าตัวมัน ส่วนเสือโคร่งตกใจที่หมูหายวับไป(ในหลุมพราง) จนไม่อาจยั้งความเร็วได้ ก็พุ่งสวนหมูไปทางด้านหลัง แล้วพลัดตกลงไปในหลุมพรางขนาดใหญ่ที่คับแคบด้านหลัง

เจ้าหมูเจริญไม่รอให้โอกาสดีๆ เช่นนี้ผ่านไป รีบพุ่งออกจากหลุมพรางขนาดเล็ก ตรงเข้าขวิดขาอ่อน ไปจนถึงม้ามของเจ้าเสือโคร่งที่ติดอยู่ในหลุมพรางขนาดใหญ่ด้านหลัง แล้วให้บรรดาหมูป่าทั้งหลายเข้ามารุมทึ้งเสือโคร่งเป็นการใหญ่ เสร็จจากเสือโคร่ง ฝูงหมูป่าก็ไม่ได้ดีใจ เจ้าหมูเจริญสอบถามเลยทราบว่า ยังมีเจ้าฤษีจอมโกงที่ตนหนึ่ง ที่สามารถนำเสือโคร่งใหม่ๆ มาอีกเป็น 10 ตัวได้ เจ้าหมูเจริญ จึงพาหมูทุกตัวไปจัดการฤษีนั้น

ฝ่ายฤษี เห็นฝูงหมูป่าวิ่งมาหา ก็รีบปีนขึ้นต้นไม้ แต่เจ้าหมูเจริญเสียอย่าง มันได้สั่งการให้ฝูงหมูทั้งขุด ทั้งกัดรากต้นไม้ แล้วยังให้หมูสาวๆ ไปนำน้ำมารดต้นไม้ ให้ดินอ่อนนุ่มลง (ฉลาดเหมือนคนเลยแฮะ) ในที่สุดต้นไม้ก็โค่นล้มลงมา ฝูงหมูทั้งหลายก็รุมจัดการฤษีจนเรียบร้อย

รุกขเทวา ที่สถิตย์อยู่ที่นั้น (ภายหลังท่านมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า) ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็กล่าวสรรเสริญว่า "เรารู้สึกเลื่อมใสในฝูงหมูที่มารวมกันฝูงนี้ เราได้เห็นมิตรภาพอันน่าอัศจรรย์ ควรสรรเสริญ เป็นอย่างยิ่ง หมูป่าทั้งหลายเอาชนะเสือโคร่งได้ด้วยความสามัคคีฉันใด ก็ย่อมเอาชนะมรณภัย ด้วยความสามัคคีฉันนั้น

http://www.84000.org/tipitaka/attha/jataka.php?i=270448

ข้อคิดที่ได้ ก็ย่อมต้องมีตามเคย เพราะสุจิปุลิ หรือ อ่านคิดถามเขียน เป็นหัวใจนักปราชญ์ เรียนมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน ครูสอนไว้
1. ธรรมชาติของเสือ ย่อมมีต้องเบียดเบียนสัตว์อื่น เช่น หมูป่า ธรรมชาติของคนพาล ย่อมต้องเบียดเบียนคนดี เสือที่มีฤษีจอมแสบเป็นที่ปรึกษา ย่อมคอยครุ่นคิดหาวิธีการเบียดเบียนทำร้ายทำลายคนดีตลอดมา ก็เหมือนคนพาลที่มีพวกฉลาดแกมโกง เป็นที่ปรึกษา ย่อมจะเก่งกล้าน่ากลัวยิ่งขึ้น ในการที่จะครุ่นคิดหาอุบายวิธีการในการทำลายคนดี

2. ธรรมชาติของคนพาล อยู่ร่วมกันด้วยผลประโยชน์ เหมือนฤษีจอมแสบที่คอยช่วยเสือ เพราะได้เนื้อสัตว์จากเสือเป็นผลประโยชน์ตอบแทน

3. บรรดาคนดีทั้งหลาย หากไม่มีผู้นำที่ดี ไม่มีสติปัญญา และความสามัคคีในการแก้ปัญหา บรรดาคนดีนั้น ก็จะต้องถูกเบียดเบียนจากกลุ่มคนพาลอยู่ร่ำไป เมื่อฝูงหมูป่า เห็นเสือก็กระจัดกระจาย กระเจิดกระเจิง เผ่นหนีเอาตัวรอด แต่เมื่อสามัคคีมีใจเป็นหนึ่ง กระทำกิจของคนดีอย่างชาญฉลาด คนพาลทั้งหลาย ก็ไม่อาจจะทำอันตรายใดๆ ได้ แม้คนดีเหล่านั้น จะไม่ได้มีกำลังดังเช่นคนพาลก็ตาม เหมือนหมูตัวเดียว ย่อมมีกำลังด้อยกว่าเสือ แต่เมื่อรวมกัน ก็มีกำลังที่ทำให้เสือต้องหวั่นเกรงได้

4. ความวิตกกังวล หวาดกลัวปัญหา ย่อมไม่อาจช่วยแก้ปัญหาใดๆ ได้ แต่ความเยือกเย็น มีสติ มีปัญญา คอยจังหวะเวลาที่เหมาะสม สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างง่ายเดียว ดังเช่น ที่หมูป่าทั้งฝูงหวาดกลัวเสือตัวใหญ่ แต่เจ้าหมูเจริญ ทั้งเยือกเย็น ทั้งมีสติ มีปัญญา และรอคอยจังหวะเวลาที่เหมาะสม ย่อมสามารถจัดการเสือตัวใหญ่ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่