วันนี้จะพานั่งรถไฟไปเที่ยวกันนะ จุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหนดี คิดก่อนครับ คิดไม่ออกให้ไปหัวลำโพง แล้วดูเวลาที่เราไปเหยียบหัวลำโพง ณ เวลานั้นเลยครับว่ามันมีรถไฟสายไหนที่ใกล้จะออกแล้วบ้าง สำหรับผมใกล้จะออกในเวลานั้นก็ 2 ทุ่มนิด ก็มีไปสายเหนือ ผมขอเลือกลงที่ “เด่นชัย” สถานีรถไฟที่ผมลืมล่มไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ครั้งนี้ไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย ก็เพราะไม่ได้คิดก่อนว่าจะไป ก็โชคไม่ดีเองขึ้นรถไฟผิดจากอนุสาวรีย์มาลงหัวลำโพง ไหนๆก็ไหนๆแล้วประเทศไทยมีตั้งหลายจังหวัด ก็กระโดดขึ้นรถไฟไปเลยดีก่า อารมณ์มันพาไป แม้กระทั่งแปรงสีฟัน เสื้อผ้า บลา บลา บลาไม่ได้เตรียม ด้วยอารมณ์ติ๊ดๆอินดี้ๆของผม เลยขอไปแบบไม่มีแผนละกันขอโทษเพื่อนๆด้วย แต่ถ้าใครจะไปตามเส้นทางที่ผมเหยียบย่ำครั้งนี้ก็ได้นะครับ ยินดีเป็นอย่างมาก ตอนขึ้นรถไฟไปยังไม่มีแผนอยู่ในหัวเลยรู้แต่ว่าต้องไปลงเด่นชัย มีผู้นั่งที่นั่งหันหน้าเข้าด้วยกันเป็น แม่ลูกคู่หนึ่งไปมาๆสอบถามาได้ว่าพวกเธอไปลงที่สถานีศิลาอาสน์ ที่ดีหน่อยตั๋วที่ได้มาเป็นที่นั่งริมหน้าต่างจะได้เอาหัวพิงกับขอบหน้าต่าง
ตั๋วรถไฟชั้น 3 หัวลำโพง-เด่นชัย
เหยียดขาได้ก็ต่อเมื่อไม่มีคนแล้ว ตอนนี้ถึงสถานีศิลาอาสน์แล้ว เกือบเด่นชัยแล้วเพิ่งเหยียดขาได้
แม่ลูกคู่หนึ่งที่นั่งแถวเดียวกับผม แล้วถีบผมบ่อยมากตอนหลับ ผมก็เลยถีบคืน
ตอนถึงสถานีรถไฟเด่นชัย ผมไม่มีเวลาถ่ายภาพครับ มีป้าคนนึงวานให้ช่วยส่งของลงจากหน้าต่างรถไฟที เพราะแกมาคนเดียว เป็นพวกไหมพรมหลายแพ็คใหญ่ๆอยู่ ก็ช่วยแกหน่อย ก็มันไม่มีใครนิหน่า เรียบร้อยก็กระโดดลงรถไฟ ไม่ได้กลัวว่ารถไฟจะออกหรอกนะเพราะมันสุดสายที่เด่นชัยแล้วขบวนนี้หนะ ที่เมื่อคืนบนรถไฟเจอน้องที่รู้จัก น้องว่าติดรถพ่อผมไปลงที่วัดก็ได้เพราะไม่ค่อยมีรถผ่านไปที่วัดนั้น ตอนแรกก็เกรงใจ ไปๆมาๆน้องบอกไม่ต้องเกรงใจ ก็เลยกระโดดติดรถไปด้วยเลย มีพ่อแม่ แล้วก็น้องสาวของน้องเค้ามารับที่สถานีครับ แลดูอบอุ่นจัง สำหรับคนที่ต้องออกไปทำงานไกลบ้าน #ขอบคุณสำหรับการไปส่งที่พระธาตุสุโทนมงคลคีรี
วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯ
เวลาที่ผมมาถึงที่วัดนี้ก็ราวๆ 06.30 น. ซึ่งยังมืดมากแล้วก็ฝนจะตกอีก มือถือแบตจะหมด รอบนี้มาไม่ได้เอากล้องมาด้วย ใช้มือถือถ่ายอย่างเดียวแบตเลยหมดไวมาก มันมืดมาก เลยเดินไปตามแสงไฟตรงศาลาวัด มีหน่อยยังมีที่ให้หลบละอองฝน ที่เยี่ยมที่สุดคือมีปลั๊กให้เสียบชาร์จมือถือ ผมก็นั่งเล่นที่ศาลานั้นจนมีแสงจากพระอาทิตย์ประจวบมือถือก็มีแบตพอที่จะเก็บภาพต่างๆได้พอสมควร
ด้านหน้าทางเข้าพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯ ออกมาถ่ายภาพตอนมีแสงแล้ว
มานั่งเป็นเพื่อนไงไอ้เหมียว ตั้งชื่อไปว่า “เจสุปะ” นี่วัดพม่านะ
เลยต้องตั้งชื่อให้เข้ากับบรรยากาศหน่อย เจสุปะเป็นภาษาพม่าแปลว่า “แต้งกิ้ว” ครับ
วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯ เป็นวัดที่ค่อนข้างใหม่ถ้าพูดถึงในเรื่องของประวัติศาสตร์ความเป็นมาก็คงยังไม่มีมากนัก ท่านพระครูบามนตรี ธัมมเมธี เป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้เมื่ออายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ท่านได้เป็น ครูบา เมื่ออายุ 38 ปี ซึ่งเป็นตั้งแต่อายุยังน้อยท่านนึงในประเทศไทย ความงามของวัดนี้เป็นการออกแบบที่ไม่มีแบบแผนของท่านพระครู ซึ่งมีการนำสถาปัตยกรรมแบบพม่า จีน ลาว ไทย มาผสมผสานกันและลงตัวมาก วัดแห่งนี้มีการก่อสร้างโดยไม่มีแผนผังของวัดในการก่อนสร้างครับ (ก็ดีนะจะได้ไม่ต้องเครียดมาก) ใครที่เคยไปพม่ามาจะรับรู้ถึงกลิ่นอายของพม่าค่อนข้างมากครับ
รอยพระพุทธบาทศิลปะแบบพม่ามงคล 108 ประการ ส่วนมากที่สังเกตศิลปะแบบพม่าจะสร้างให้ภาพนูนขึ้นมา ส่วนของไทยจะเป็นการสลักลงไป (อันนี้การสังเกตของผมนะ ไม่ได้เก่งอะไรครับ)
"มอม" สัตว์แห่งป่าหิมพานต์ และเป็นสัตว์ที่นำสารไปบอกเทพแห่งเมฆฝนในพิธีขอฝนขอชาวล้านนา
(ผมชอบมอมมาก ความชอบส่วนตัวนะครับ)
จะเล่าถึง มอม หรือ สิงห์มอม ให้ฟังคร่าวๆนะครับ สำหรับคนที่ไม่ค่อยมาเที่ยวทางภาคเหนือก็จะไม่ค่อยพบเจอกับมอมครับ เพราะลงไปทางภาคกลางถึงภาคใต้ก็จะไม่ค่อยมีสถาปัตยกรรมแบบนี้ให้เห็นกัน มอมเป็นสัตว์แห่งป่าหิมพานต์ เป็นที่ประทับของ “ปัชชุนเทวบุตร” ซึ่งแปลว่า “เมฆฝน” ความเชื่อของชาวล้านนาที่ทำไร่ทำนากัน เมื่อไม่มีฝนจะมีการทำพิธีกรรมขอฝนกัน ซึ่งที่ภาคอีสานใช้แมว แต่ทางภาคเหนือจะทำพิธีผ่านทาง มอม เป็นการย้ำความมั่นใจว่าจะต้องไปถึง “ปัชชุเทวบุตร” ผู้ที่ครองเมฆฝนเป็นแน่แท้ครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบมอมมากครับ เพราะเค้าน่ารักดีตาใสๆ น่าแบ๋วๆดี แต่อย่าดูถูกมอมเชียว เพราะ มอมดูเผินๆแล้วดูน่ารักนิ่มนวลเฉกเช่นแมวน้อย แต่ความจริงองอาจดังราชสีห์ แข็งแกร่งเยี่ยงเสือ และมีความคล่องตัวไวดุจดังลิงครับ ชาวล้านนาจึงมีการผูกความเชื่อนี้แล้วลงไว้ในยันต์ต่างๆของชาวล้านนาเกี่ยวกับด้วยกับความคงกระพัน มหาอำนาจครับ
ทวารบาล ยักษ์เฝ้าประตู
ุ
มุมมองจากด้านบนบันไดทางขึ้นของวัด
อีกมุมหนึ่งของวัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯ
เดินชมภายในของวัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯ(ชื่อยาวชะมัด)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องกลับไปตั้งต้นที่เด่นชัยใหม่เพื่อจะไปตัวเมืองแพร่ แล้วไปยังไงหล่ะ??? ถนนเส้นหน้าวัดไม่มีรถประจำทางซะด้วย เดินกลับไปที่สถานีรถไฟก็เกือบชั่วโมงเป็นแน่ ก็เลยโบกเลยตามภาษาแบ็คแพ็คเกอร์ตามนั้น โบกจ้า...!!!! ไม่มีรถจอดจ้า...!!! กูก็เดินต่อไปจ้า 555 ต้องเดินไปตามทางเรื่อยๆครับย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ แต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ เดินไปสักพักก็ถึงปั๊มน้ำมัน ด้วยความหิวเลยเข้าไปหาของกินมีปั๊ม 2 ฝั่ง สีน้ำเงินกับสีเขียว ตอนแรกว่าจะเข้าปั๊มสีน้ำเงิน แต่ไปๆมาไปเข้าสีเขียวดีกว่า เพราะอยู่ทางที่จะเข้าไปเด่นชัย เผื่อติดรถคนแถวนั้นไปได้
อำลาวัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯก่อน
เส้นทางข้างหน้าอีกยาวไกล...เดินไป เดินไป
ภาพระหว่างทางการเดินไปยังปั๊มน้ำมัน วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯ - สถานีรถไฟเด่นชัย
[CR] เที่ยวแพร่ แค่วันเดียว แค่คนเดียว
วันนี้จะพานั่งรถไฟไปเที่ยวกันนะ จุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหนดี คิดก่อนครับ คิดไม่ออกให้ไปหัวลำโพง แล้วดูเวลาที่เราไปเหยียบหัวลำโพง ณ เวลานั้นเลยครับว่ามันมีรถไฟสายไหนที่ใกล้จะออกแล้วบ้าง สำหรับผมใกล้จะออกในเวลานั้นก็ 2 ทุ่มนิด ก็มีไปสายเหนือ ผมขอเลือกลงที่ “เด่นชัย” สถานีรถไฟที่ผมลืมล่มไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ครั้งนี้ไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย ก็เพราะไม่ได้คิดก่อนว่าจะไป ก็โชคไม่ดีเองขึ้นรถไฟผิดจากอนุสาวรีย์มาลงหัวลำโพง ไหนๆก็ไหนๆแล้วประเทศไทยมีตั้งหลายจังหวัด ก็กระโดดขึ้นรถไฟไปเลยดีก่า อารมณ์มันพาไป แม้กระทั่งแปรงสีฟัน เสื้อผ้า บลา บลา บลาไม่ได้เตรียม ด้วยอารมณ์ติ๊ดๆอินดี้ๆของผม เลยขอไปแบบไม่มีแผนละกันขอโทษเพื่อนๆด้วย แต่ถ้าใครจะไปตามเส้นทางที่ผมเหยียบย่ำครั้งนี้ก็ได้นะครับ ยินดีเป็นอย่างมาก ตอนขึ้นรถไฟไปยังไม่มีแผนอยู่ในหัวเลยรู้แต่ว่าต้องไปลงเด่นชัย มีผู้นั่งที่นั่งหันหน้าเข้าด้วยกันเป็น แม่ลูกคู่หนึ่งไปมาๆสอบถามาได้ว่าพวกเธอไปลงที่สถานีศิลาอาสน์ ที่ดีหน่อยตั๋วที่ได้มาเป็นที่นั่งริมหน้าต่างจะได้เอาหัวพิงกับขอบหน้าต่าง
ตอนถึงสถานีรถไฟเด่นชัย ผมไม่มีเวลาถ่ายภาพครับ มีป้าคนนึงวานให้ช่วยส่งของลงจากหน้าต่างรถไฟที เพราะแกมาคนเดียว เป็นพวกไหมพรมหลายแพ็คใหญ่ๆอยู่ ก็ช่วยแกหน่อย ก็มันไม่มีใครนิหน่า เรียบร้อยก็กระโดดลงรถไฟ ไม่ได้กลัวว่ารถไฟจะออกหรอกนะเพราะมันสุดสายที่เด่นชัยแล้วขบวนนี้หนะ ที่เมื่อคืนบนรถไฟเจอน้องที่รู้จัก น้องว่าติดรถพ่อผมไปลงที่วัดก็ได้เพราะไม่ค่อยมีรถผ่านไปที่วัดนั้น ตอนแรกก็เกรงใจ ไปๆมาๆน้องบอกไม่ต้องเกรงใจ ก็เลยกระโดดติดรถไปด้วยเลย มีพ่อแม่ แล้วก็น้องสาวของน้องเค้ามารับที่สถานีครับ แลดูอบอุ่นจัง สำหรับคนที่ต้องออกไปทำงานไกลบ้าน #ขอบคุณสำหรับการไปส่งที่พระธาตุสุโทนมงคลคีรี
เวลาที่ผมมาถึงที่วัดนี้ก็ราวๆ 06.30 น. ซึ่งยังมืดมากแล้วก็ฝนจะตกอีก มือถือแบตจะหมด รอบนี้มาไม่ได้เอากล้องมาด้วย ใช้มือถือถ่ายอย่างเดียวแบตเลยหมดไวมาก มันมืดมาก เลยเดินไปตามแสงไฟตรงศาลาวัด มีหน่อยยังมีที่ให้หลบละอองฝน ที่เยี่ยมที่สุดคือมีปลั๊กให้เสียบชาร์จมือถือ ผมก็นั่งเล่นที่ศาลานั้นจนมีแสงจากพระอาทิตย์ประจวบมือถือก็มีแบตพอที่จะเก็บภาพต่างๆได้พอสมควร
เลยต้องตั้งชื่อให้เข้ากับบรรยากาศหน่อย เจสุปะเป็นภาษาพม่าแปลว่า “แต้งกิ้ว” ครับ
วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯ เป็นวัดที่ค่อนข้างใหม่ถ้าพูดถึงในเรื่องของประวัติศาสตร์ความเป็นมาก็คงยังไม่มีมากนัก ท่านพระครูบามนตรี ธัมมเมธี เป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้เมื่ออายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ท่านได้เป็น ครูบา เมื่ออายุ 38 ปี ซึ่งเป็นตั้งแต่อายุยังน้อยท่านนึงในประเทศไทย ความงามของวัดนี้เป็นการออกแบบที่ไม่มีแบบแผนของท่านพระครู ซึ่งมีการนำสถาปัตยกรรมแบบพม่า จีน ลาว ไทย มาผสมผสานกันและลงตัวมาก วัดแห่งนี้มีการก่อสร้างโดยไม่มีแผนผังของวัดในการก่อนสร้างครับ (ก็ดีนะจะได้ไม่ต้องเครียดมาก) ใครที่เคยไปพม่ามาจะรับรู้ถึงกลิ่นอายของพม่าค่อนข้างมากครับ
(ผมชอบมอมมาก ความชอบส่วนตัวนะครับ)
จะเล่าถึง มอม หรือ สิงห์มอม ให้ฟังคร่าวๆนะครับ สำหรับคนที่ไม่ค่อยมาเที่ยวทางภาคเหนือก็จะไม่ค่อยพบเจอกับมอมครับ เพราะลงไปทางภาคกลางถึงภาคใต้ก็จะไม่ค่อยมีสถาปัตยกรรมแบบนี้ให้เห็นกัน มอมเป็นสัตว์แห่งป่าหิมพานต์ เป็นที่ประทับของ “ปัชชุนเทวบุตร” ซึ่งแปลว่า “เมฆฝน” ความเชื่อของชาวล้านนาที่ทำไร่ทำนากัน เมื่อไม่มีฝนจะมีการทำพิธีกรรมขอฝนกัน ซึ่งที่ภาคอีสานใช้แมว แต่ทางภาคเหนือจะทำพิธีผ่านทาง มอม เป็นการย้ำความมั่นใจว่าจะต้องไปถึง “ปัชชุเทวบุตร” ผู้ที่ครองเมฆฝนเป็นแน่แท้ครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบมอมมากครับ เพราะเค้าน่ารักดีตาใสๆ น่าแบ๋วๆดี แต่อย่าดูถูกมอมเชียว เพราะ มอมดูเผินๆแล้วดูน่ารักนิ่มนวลเฉกเช่นแมวน้อย แต่ความจริงองอาจดังราชสีห์ แข็งแกร่งเยี่ยงเสือ และมีความคล่องตัวไวดุจดังลิงครับ ชาวล้านนาจึงมีการผูกความเชื่อนี้แล้วลงไว้ในยันต์ต่างๆของชาวล้านนาเกี่ยวกับด้วยกับความคงกระพัน มหาอำนาจครับ
ุ
เดินชมภายในของวัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีฯ(ชื่อยาวชะมัด)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องกลับไปตั้งต้นที่เด่นชัยใหม่เพื่อจะไปตัวเมืองแพร่ แล้วไปยังไงหล่ะ??? ถนนเส้นหน้าวัดไม่มีรถประจำทางซะด้วย เดินกลับไปที่สถานีรถไฟก็เกือบชั่วโมงเป็นแน่ ก็เลยโบกเลยตามภาษาแบ็คแพ็คเกอร์ตามนั้น โบกจ้า...!!!! ไม่มีรถจอดจ้า...!!! กูก็เดินต่อไปจ้า 555 ต้องเดินไปตามทางเรื่อยๆครับย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ แต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ เดินไปสักพักก็ถึงปั๊มน้ำมัน ด้วยความหิวเลยเข้าไปหาของกินมีปั๊ม 2 ฝั่ง สีน้ำเงินกับสีเขียว ตอนแรกว่าจะเข้าปั๊มสีน้ำเงิน แต่ไปๆมาไปเข้าสีเขียวดีกว่า เพราะอยู่ทางที่จะเข้าไปเด่นชัย เผื่อติดรถคนแถวนั้นไปได้