[CR] ตะลอนแพร่ แลมุมเมือง

“ Gen411 วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ” หนึ่งในรายวิชาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รายวิชาซึ่งเปิดโอกาสให้เราได้ออกไปท่องเที่ยว ออกแบบการเดินทางด้วยตนเอง
 
“ จังหวัดแพร่ ”
 
จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือที่พวกเราลงความเห็นกันว่าควรจะใช้โอกาสจากรายวิชานี้ทำให้มันเกิดขึ้นจริง ดังนั้นการเดินทาง 3 วัน 4 คืนของพวกเราก็ได้เริ่มต้นขึ้น
 
สมาชิกในการเดินทางครั้งนี้มีทั้งหมด 4 คน ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย เรียกได้ว่าเป็นจำนวนคนที่ทำให้เราไม่เหงาได้อย่างแน่นอน
 
 เริ่มต้น
 
พวกเรานัดเจอกันที่สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์เพื่อที่จะขึ้นรถไฟสายกรุงเทพ - เด่นชัย ขบวน 107ซึ่งจะออกในเวลา 20 : 45 น. และไปถึงสถานีเด่นชัย จ.แพร่ ในเวลาประมาณ 6 : 00 น. ในเช้าวันถัดมา โดยมีค่าตั๋วรถไฟอยู่ที่คนละ 249 บาท
 
เรื่องราวบนรถไฟของพวกเราไม่มีอะไรมากนัก เนื่องจากได้ทานอาหารเย็นกันก่อนจะขึ้นรถไฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราทุกคนจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนพักผ่อน แน่นอนว่าเป็นเพราะจะเก็บแรงไว้สำหรับการตะลอนเที่ยวในวัดถัดไป
 
วันแรกที่น่าสงสาร
 
เช้าวันต่อมาเมื่อพวกเราถึงสถานีเด่นชัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราได้เลือกต่อรถสองแถวเข้าไปในตัวเมืองแพร่ เพื่อจะได้เดินทางเข้าที่พักสะดวก โดยมีค่าโดยสารรถสองแถวอยู่ที่คนละ 50 บาท
 
ระหว่างทางเข้าตัวเมืองแพร่พวกเราเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดกันนิดหน่อย นั้นก็คือสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และพอเราได้พูดคุยกับคุณลุงผู้โดยสารท่านข้าง ๆ ก็ได้ความว่าช่วงนี้เหมือนจะเป็นช่วงที่พายุเข้า กลายเป็นว่าทริปนี้พวกเรามากับฝน
 
ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่น่าสงสารมาก
 
สถานีขนส่ง
 
ใช้เวลาไม่นานรถสองแถวที่พวกเรานั่งก็มาถึงสถานีขนส่งจังหวัดแพร่โดยที่ฝนก็ยังคงตกอยู่ สาเหตุที่พวกเราเลือกลงที่นี่ก็ด้วยเหตุผลหลัก ๆ สองข้อ ข้อหนึ่งคือการที่สามารถหลบฝนได้ และข้อสองคือที่นี่สะดวกต่อการติดต่อกับทางโฮมสเตย์ให้มารับพวกเราได้ง่าย
 
หลังจากนั่งรอสักพัก พี่เจ้าของโฮมสเตย์ก็ขับรถมารับพวกเราถึงที่สถานีขนส่งและพาพวกเราไปยังที่พัก ซึ่งพี่เจ้าของโฮมสเตย์ก็ใจดีมาก ๆ พี่คอยแนะนำเส้นทาง สถานที่ท่องเที่ยว หรือพื้นที่กิจกรรมต่าง ๆ ให้พวกเราตลอดการเดินทางไปที่พักเลย
 
โฮมสเตย์
 
พวกเรามาถึงที่พักในเวลาประมาณ 9 : 00 น. โดยโฮมสเตย์ที่พวกเราพักกันชื่อว่า “  เฮือนไม้สักโฮมสเตย์ ” เราจองที่พักสองหลังและพักเป็นเวลาสองคืน เป็นที่พักพร้อมอาหารเช้าในราคา 3,000 บาท และอาหารเช้าก็ถูกใจพวกเราเอามาก ๆ (ซึ่งการเล่าถึงอาหารจะเขียนให้อ่านตามเวลาของวันนั้น ๆ อดใจรอกันสักนิด)
 
เมื่อเราเข้าที่พักและเก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราพบว่าฝนยังคงตกอยู่ ก็เลยคุยกันว่าจะรอฝนหยุดก่อน แล้วจากนั้นค่อยเข้าตัวเมืองไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อใช้ในการตะลอนเที่ยวครั้งนี้
 
เช่ารถ
         
 
หลังจากนอนรอแล้วรอเล่า รอจนหลับไปสามตื่น ฝนก็ได้หยุดลงในช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง พวกเราจึงได้ขอให้พี่เจ้าของโฮมสเตย์พาเราเข้าเมืองเพื่อไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ “ แสงฟ้ามอเตอร์ ” โดยค่าเช่าอยู่ที่วันละ 200 บาทต่อหนึ่งคัน (และมีค่ามัดจำรถอยู่ที่ 1,000 บาท)

มื้อแรก
 
เมื่อได้รถมอเตอร์ไซค์เป็นที่เรียบร้อย สิ่งแรกที่พวกเราทำกันคือการหาร้านอาหารทานเติมพลังให้กับตัวเอง พวกเราขับไปเจอร้าน “ ลุงป๊า ก๋วยเตี๋ยว ต้มยำ เย็นตาโฟ ” และได้สั่งข้าวซอยไก่ ซึ่งรสชาติอร่อยมากและราคาชามละ 50 บาท
 
เริ่มเที่ยวจริง ๆ เสียที
 
หลังจากท้องอิ่ม พวกเราก็ขับมอเตอร์ไซค์ไป “ พระธาตุช่อแฮ ” ซึ่งเป็นวัดขึ้นชื่อของจังหวัดแพร่ เราเลือกวัดนี้เป็นสถานที่แรกสำหรับทริปนี้ เพราะวัดนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เรียกได้ว่าถ้ามาเมืองแพร่ต้องลองแวะมาชมวัดนี้ให้ได้
 
            หลังจากเราได้เดินชมวัดและเจดีย์ซึ่งออกแบบด้วยศิลปะแบบล้านนากันจนพอใจแล้ว พวกเราก็เห็นว่าการจะกลับที่พักตอนนี้อาจจะยังเร็วไปสักหน่อย พวกเราควรจะแวะอีกสักจุดแล้วค่อยไปหาซื้ออาหารเย็นก่อนจะกลับที่พัก
 
ตาไว
 
            ในระหว่างที่กำลังคุยกันว่าจะไปไหนกันต่อดีโดยที่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ หนึ่งในสมาชิกทีมของเราตาไว เงยหน้ามองภูเขาพร้อมกับเห็นว่าบนเขานั้นมีบริเวณที่เหมือนจะเป็นจุดชมวิว เราลองหาดูกันไหมว่าขึ้นไปได้หรือเปล่า
 
            พวกเราจึงลองค้นหาในแมพว่าตรงที่เพื่อนพูดถึงคือที่ไหนและขึ้นไปยังไง ผลลัพธ์ของการค้นหาที่พวกเราเจอก็คือ “ พระธาตุดอยเล็ง ” พระธาตุที่สูงที่สุดในจังหวัดแพร่
 
            ทันใดนั้นพวกเราก็ลงความเห็นกันภายในหนึ่งวินาทีว่า “ ที่นี่แหละ ขึ้นไปกัน ถ้าสูงแปลว่าต้องได้รูปสวย ๆ มาแน่ ”
โดยที่ไม่รู้เลยว่าถนนขึ้นเขาที่พวกเรากำลังจะเจอนั้นมันชันแค่ไหน
 
สูงแค่ไหนก็ไปถึง

“ ชันมาก ” เป็นคำแรกที่พวกเรารับรู้ได้ตอนกำลังขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปบนพระธาตุดอยเล็ง (และขอบอกตรงนี้ว่าทั้งสองคันเป็นเกียร์ออโต้) บอกได้เลยว่าเป็นการขับมอเตอร์ไซค์ที่ตื่นเต้นและน่าหวาดเสียว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทางชัน และอีกส่วนคงเป็นเพราะการที่เราขับขึ้นมาที่นี่ไม่ได้อยู่ในแผนที่วางเอาไว้ตอนแรก ใจร้อนกันมาก ตลกตัวเอง

            แน่นอนว่าวิวบนพระธาตุดอยเล็งไม่ได้ทำให้พวกเราผิดหวัง เพราะที่นี่สามารถมองเห็นวิวได้กว้างสุดลูกหูลูกตา นอกจากนั้นยังมองเห็นพระธาตุช่อแฮ่ได้อีกด้วย ถือว่าคุ้มค่าแล้วที่ลุยทางชันและต่อด้วยเดินขึ้นบันไดมา

จบวันแรก

     หลังเดินเก็บบรรยากาศธรรมชาติและไหว้พระธาตุกันเรียบร้อย พวกเราก็ลงความเห็นว่าได้เวลาทานอาหารเย็นกันแล้ว พวกเราขับรถลงเขา (หรือเรียกว่าปล่อยรถไหลลงเขาอาจจะเหมาะกว่า) เพื่อหาซื้ออะไรกลับมาทานที่โฮมสเตย์กัน โดยพวกเราแวะเดินตลาดแถวโฮมสเตย์กันก่อน แต่ตลาดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของสด พวกเรายังไม่อยากประกอบอาหารกันเองเท่าไร เลยเลือกจะเข้าไปหาซื้ออะไรในตัวเมืองแทน

และหลังจากกลับโฮมสเตย์ ทานอาหารเย็นกันเรียบร้อย ก็ถือว่าเป็นการจบทริปวันแรก

เป็นวันแรกที่เรารู้สึกว่ายาวนานมาก

อาหารเหนือ
 
วันที่สองพวกเราตื่นมาทานอาหารเช้าที่ทางโฮมสเตย์เตรียมไว้ให้ อาหารเช้ามื้อนี้ทำให้เพื่อนเรายิ้มได้แต่เช้า เพราะเป็นอาหารเหนือ และเพื่อนเราก็บ่นอยากทานอาหารเหนือมาตั้งแต่เมื่อวาน
 
อร่อยมาก
คั่วโฮะ น้ำพริกน้ำปู ผักเครื่องเคียง และไข่ต้มที่พวกเราเองก็ไม่ได้นับว่ากี่ฟอง ทานคู่กับข้าวเหนียว เรียกได้ว่าเป็นมื้อเช้าที่ประทับใจมาก ๆ


น้องแมว

            และมื้อเช้าก็น่ารักมากขึ้นไปอีกเมื่อบรรดาน้องแมวของโฮมสเตย์ออกมาเดินเล่นโชว์ตัวให้พวกเราได้ดู ทานอาหารเช้าไปดูน้องแมวไป
ทาสแมวหัวใจทำงานหนัก
พอท้องอิ่มก็พร้อมไปลุยเที่ยวกันต่อ

ช่วงเช้าหรือช่วงเย็น

            เช้าวันที่สองนี้พวกเราเริ่มกันที่ “ แพะเมืองผี ” ซึ่งห่างจากที่พักไปไม่มาก และถึงจะบอกว่าเช้านี้แต่ความจริงตอนที่เราไปถึงก็เป็นเวลาเกือบสิบโมงแล้ว

            สิ่งที่คนไปแพะเมืองผีมาแล้วมักจะบอกต่อกันกับคนที่กำลังจะไปก็คือให้ไปช่วงเช้าไม่ก็ช่วงเย็น เพราะแดดจะได้ไม่ร้อนมาก และพวกเราที่มาตอนเวลาสิบโมงก็เรียกได้ว่าเจอกับแดดอย่างเต็มที่

ร้อนมาก แต่มาแล้วต้องไปต่อ

ทำไมถึงเป็นแพะ

 

ทางวนอุทยานมีร่มให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ยืมใช้ อย่างน้อยร่มคนละคันก็ช่วยให้พวกเราพอหลบแดดไปได้บ้าง (นอกจากนั้นเพื่อนเรายังซื้อน้ำแข็งไสมาคนละถ้วยก่อนเดินเข้าไปชมแพะเมืองผีด้วย)

            แพะเมืองผี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ดินและทรายถูกกัดเซาะจนกลายเป็นรูปร่าง ส่วนชื่อแพะเมืองผีก็มีที่มาจากภาษาพื้นเมือง ซึ่งแพะแปลว่าป่าละเมาะ และเมืองผีก็แปลว่าเงียบเหงาและวังเวง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่