เกริ่น
เรื่องขอเรื่องเริ่มต้นที่ภรรยาผมเปลี่ยนงานเข้ามาทำงานในตำแหน่ง Purchasing and Sourcing หรือง่ายๆ ก็คือพนักงานที่มีหน้าจัดซื้อ จัดหา อุปกรณ์เสริมโทรศัพท์ต่างๆของบริษัทแห่งหนึ่ง สมมุติว่าชื่อบริษัท “มอมบี้” งานทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีเพราะเธอเคยทำงานเกี่ยวกับการจัดซื้อมาก่อน ไม่มีปัญหาอะไรกับเพื่อนร่วมงาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบปี เธอมีเหตุต้องไปดูงานต่างประเทศกับหัวหน้างาน ซึ่งหัวหน้างานคนนี้เดิมทีแฟนผมมีทัศนคติที่ดีกับหัวหน้าที่ดีมาตลอด เพราะเขาทำงานเก่ง พูดจาดี ถ้าวันไหนมีคนชมหรือทักเรื่องการแต่งหน้า แต่งตัว เขาจะอารมภ์ดีเป็นพิเศษ แต่ความคิดนี้ก็ได้เปลี่ยนไป !! และเป็นต้นเหตุของเรื่องดราม่านี้
ช่วง 1 (โดนย้าย)
ขอย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์ก่อนและหลังการไปดูงานสักเล็กน้อย งานที่จัดขึ้นจะเป็นงานที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบ ของอุปกรณ์มือถือมาออกบูทแสดงสินค้า ซึ่งหน้าที่หลักๆ ของแฟนผมและหัวหน้าของเธอก็คือคุยกับเล่า Supplier ต่างๆ และเก็บตัวอย่างสินค้าและโบรชัวมาพิจารณาต่อที่ไทยเพื่อตัดสินใจว่าจะนำเข้าสินค้านั้นต่อไปหรือไม่ ทุกอย่างดูเหมือนเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีทั้งเรื่องการเดินทาง และที่พักซึ่งอาจจะอยู่ไกลจากสถานที่จัดงานสักหน่อย ถ้าเดินตัวเปล่าๆ ก็สามารถเดินได้สบายๆ
วันก่อนไปงานหัวหน้าเธอและแฟนผมคุยกันอย่างดิบดีถึงเรื่องสิ่งที่จะต้องทำเมื่อไปถึงงานว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างเมื่อคุยกับ Supplier เช่น สอบถามรายละเอียดสินค้า เก็บโบวชัว และตัวอย่างสินค้า ว่าจะช่วยกันเก็บมาให้หมด เพราะบูทจำนวนบูทแสดงสินค้าที่แสดงนั้นมีเป็นร้อยบูท
ในวันงาน หัวหน้าเธอและแฟนผมก็แต่งหน้าแต่งตัวเพื่อไปดูงาน และคาดว่าจะช่วยเก็บตัวอย่างสินค้ามาให้ได้เยอะๆ แต่ แต่ !! สิ่งที่แฟนผมคิดไปก็คือ หัวหน้าเธอมิได้ช่วยแฟนผมเก็บตัวอย่างสินค้าแต่อย่างใด เดินนำและคอยชี้ว่าเดี๋ยวไปบูทโน้น บูทนี้ และปล่อยให้แฟนผมซึ่งตัวเล็ก สูงไม่เกิน 160cm หนัก44 kg ลากถุงตัวอย่างสินค้า หอบโบวชัวพะลุงพะลัง โดนไม่ได้ถามหรือช่วยแม้แต่เล็กน้อย ทั้งวัน อ้าว “เห้ย !! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา … “ หลังจากเดินลากถุงทั่วงาน ก็ต้องนำสินค้าที่เต็มถุงและโบวชัวร์ 2 หอบซ้ายขวากลับที่พักในสิ้นวัน ผมไม่แน่ใจว่าเธอไปกี่วันเพราะผมจำไม่ได้ แต่เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนกลับมาไทย
หลังไปดูงาน ความรู้สึกที่แฟนผมมีต่อหัวหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป แฟนผมเริ่มทำงานโดยโฟกัสที่งานของเธออย่างเดียวและไม่ได้สนใจหัวหน้างานอีกเลย แม้แต่ทักทาย ไม่ถาม ไม่ชม และปฏิเสธคำเชิญชวนต่างๆของหัวหน้าเธอโดยสิ้นเชิงเพราะเหตุเการณ์ในวันไปดูงานนั่นเอง ความโกรธค่อยๆ สะสมใจจิตใจของหัวหน้าเพราะเขาคิดว่าลูกน้องเริ่มแข็งขืน จนกระทั่งหัวหน้าของแฟนรู้ว่าแฟนผมท้องได้ 2 เดือน
=============================================================================
เล่าต่อจากช่วงแรก
หลังจากที่หัวหน้าของแฟนผมรู้ว่าเธอตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน ซึ่งมันเปรียบเสมือนเข็มเล็กๆ ที่ทิ่มไปบนผิวของลูกโป่งที่สะสมแก๊สไข่เน่ามาเป็นมาเวลานานรอวันที่จะแตก ไม่กี่วันต่อมาเธอโดนแจ้งจากหัวหน้างานของเธอว่าจะโดนย้ายไปทำงานในตำแหน่งธุรการเนื่องจากแฟนผมท้องไม่สามารถทำงานนอกสถานที่ได้ (ปกติแฟนนั่งทำงานแต่ออฟฟิต) ซึ่งหัวหน้าของแผนกธุรการนี้มีเพื่อนของเธอเป็นคนดูแล ในความคิดผมมันเหมือนการโยนหมูเข้าไปในกรงเสือ เป็นวิธีฆ่าหมูโดยที่มือไม่เปื้อนเลือด
สาเหตุที่หัวหน้าแฟนไม่เชือดเอง เพราะไม่มีเหตุผลพอที่จะไล่แฟนผมออกเพราะแฟนผมทำงานได้ไม่ขากตกบกพล่องนั่นเอง ฉลาดจริงๆ @#$@#!%!@% ด้วยเหตุผลนี้แฟนจึงไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของหัวหน้าได้ และเหตุผลอีกอย่างคือตำแหน่งใหม่แต่เงินเดือนเท่าเดิมซึ่งอาจจะเป็นงานที่ไม่หนักมากเพราะกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ และคิดว่าหัวหน้างานใหม่จะดีกว่าหัวหน้าเดิม แต่แฟนผมคิดผิดอย่างแรง เมื่อเจอกับหัวหน้าคนนี้ นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ
ช่วง 2 (ตำแหน่งใหม่)
ตำแหน่งงานใหม่ที่โดนย้ายมาด้วยความไม่เต็มใจนัก เพราะโดนย้ายแบบกระทันหันโดยไม่ได้ตัดสินใจล่วงหน้า ลักษณะงานใหม่ที่ทำ จะเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการซึ่งทำหน้าที่ในการเปิดใบ PO, PR, จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ, จัดซื้ออุปกรณ์สำนักงาน, ข้อมูลพนักงานเข้าออก และรับเข้ารับออกสินค้าผ่านระบบ AX
ลักษณะการทำงานอาจจะดูคล้ายๆของเดิม แต่เมื่อลงมือทำจริงๆ มันต้องใช้ระยะเวลาการเรียนรู้และลงมือทำ เมื่อไม่รู้ก็ต้องถามก็เป็นเรื่องปกติ แต่คำตอบที่ได้กลับผิดคลาดเพราะคำตอบที่ได้มักบอกว่าให้ไปดูอีเมล์เก่าหรือข้อมูลเก่าแทน อาจด้วยเพราะว่างานที่ทำเป็นงานใหม่ จึงเกิดข้อผิดพลาดด้านเอกสารและล่าช้าบ่อยๆ ซึ่งสาเหตุของการล่าช้ามิใช่ว่าแฟนทำงานช้าด้วยสาเหตุเดียว งานด้านเอกสารบางครั้งมันต้องรอเอกสารหรือข้อมูลต่างๆ จากหลายๆ ส่วนด้วยกันเช่น ผ่ายบัญชี ฝ่าย Supplier รอการตรวจจากผู้จัดการ จากหัวหน้า เป็นต้น
หลังจากทดลองทำงานผ่านไปเกือบ 3 เดือน ผู้จัดการเรียกตัวแฟนเข้าพบในเวลาประมาณ 6 โมงครึ่งหลังเลิกงาน และนำรายงานงานที่ทำจากหัวหน้าคนใหม่มาให้ดู พบว่างานเอกสารที่ทำเสร็จแล้วมีการแก้ไขหลายครั้ง เช่น เลือก Supplier ผิด วันที่มีการแก้ไขแต่ไม่อัพเดท งานตัดสต๊อกค้างมา 2 เดือนโดยที่หัวหน้าไม่แจ้งว่าต้องทำอย่างไร พอไปถามก็ไม่ว่างตลอด สรุปคือ แฟนต้องพิจารณาตัวเองให้ลาออก!!!! ผมไม่รุ้หรอกว่าในขณะนั้นแฟนรู้สึกอย่างไร ถ้าเป็นผมคงรู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางทุ่งโล่งท่ามกลางสายฝน อยู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมาข้างหน้าห่างไป 30cm แว้บแรกคงรู้สึกว่าทุกอย่างดับเงียบ คิดอะไรไม่ออก สตั้นไป 10 วิ นานกว่าโดน Mirana ยิง Arrow มาจากระยะไกล หลังจากนั้นแฟนเลยเอ่ยถามไปว่า “พี่จะไล่หนูออกหรือค่ะ?” ผู้จัดการเงียบไม่ตอบอะไร และสิ้นสุดการสนธนาลงแค่นั้น ตัวผมซึ่งทำงานอยู่ที่ตึกข้างๆ ไม่ไกลจากตึกแฟนสักเท่าไหร่ก็ขับรถมารับกลับบ้านเป็นปกติ บทสนธนาระหว่างผมกับแฟนนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าแฟนรู้เสียใจและผิดหวังอย่างหนัก เพราะเธอมีภาระต้องส่งเงินให้ทางบ้าน และค่าใช้จ่ายส่วนตัวซึ่งกู้มาช่วยพ่อแม่ที่ภาคอิสานสร้างบ้านอีก เธอร้องไห้หนักมาก ผมนิรู้สึกสงสารเธอจับใจ ซึ่งในขณะนั้นเธอท้องได้ 5 เดือนแล้ว และมีปัญหาด้านสุขภาพด้วย ตัวผมทำอะไรไม่ได้มากนอกจากปลอบใจและบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าพวกเขาจะไล่ออกด้วยเหตุผลนี้มันทำไม่ได้หรอก เย็นวันนั้นเราไม่ได้กินข้าวเย็นกันทั้งคู่เพราะกินอะไรไม่ลง
และแล้วก็ถึงเวลาตัวร้ายออกโรง นั่นคือหัวหน้าของแฟนผม เรียกเข้าพบในอีกไม่กี่วันต่อมาในเวลาเลิกงานเช่นกัน เขานำรายงานเรื่องความผิดพลาดของแฟนมาให้ดูและชี้ให้ดูผลการประเมินการทำงานของแฟนผมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า เอกสารงานที่ทำเสร็จแล้ว มีจำนวนที่แก้ข้อผิดพลาดเยอะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่าโน้นเท่านี้มากกว่า 50% ผมนึกในใจ หือ !!! คุณเอาจำนวนครั้งที่แก้ไขเอกสารในระบบคีย์ข้อมูลซึ่งเก็บประวัติไว้มาคิดพิจารณาว่างานนั้นๆ มีคุณภาพหรือไม่ หรอ??? เกณฑ์ของคุณมันถูกต้องเหมือนสมแล้วหรอ?? และหัวหน้างานก็ให้ข้อเสนอให้เวลา 15วันในการเคลียร์ให้ถูกต้อง 100% และจะประเมินอีกรอบ หรือจะเซ็นต์ใบลาออกด้วยความสมัครใจ แต่แฟนผมไม่ได้เซ็นต์เพราะในเอกสารเขียนเหตุผลว่าทำความผิดร้ายแรงและผมเคยให้คำแนะนำว่าถ้าเขาจะให้แฟนออกด้วยสาเหตุนี้ไม่ได้และไม่ต้องเซ็นต์และเธอก็ได้รับเวลาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง หลังจากกลับบ้านแฟนผมก็หอบงานกลับไปทำที่บ้านเป็นปกติ ผมพยายามแนะนำว่างานไหนเราควรเคลียร์ทำงานที่ข้างไว้ก่อนงานไหนรีบต้องรีบทำอย่าปล่อยไว้ สีหน้าของแฟนผมแสดงให้เห็นว่าเธอเครียดและจิตตกมากเมื่อผมจี้มากๆเข้า เธอก็ปล่อยโฮออกมากบอกว่าจะให้ไปลาออกเลยมั้ย? เธอเครียด เพราะโดนโยนงานมาให้ทำเยอะขึ้นกว่าเก่าและงานเก่าก็ยังค้างอยู่
ช่วง 3 (โดนกลั่นแกล้ง)
ช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ตัวเองกับคนที่ไม่ได้ตั้งใจให้โอกาศอยู่แล้ว เป็นช่วงเวลาแห่งความเครียดและทำงานหนักของแฟนมากๆ งานไหนมีปัญหาแฟนก็ไปถามเพื่อหาคำตอบ แต่คำตอบนั้นมักเป็นเหมือนๆเดิม คือให้ไปดูของเก่า งานไหนที่ไม่เคยทำไปถามแล้วก็ไม่สอนว่าต้องทำอย่างไร ต้องไปถามคนจากแผนกอื่น เช่นฝ่ายบัญชี ฝ่ายไอที แทน เพื่อที่จะทำงานให้เสร็จให้ได้ โดนแกล้ง โดนนินทา โดนกะแนะกะแหน ตลอดเวลาจากพวกๆของหัวหน้างาน แต่เธอพยายามเก็บอารมภ์ พยายามไปวัดทำบุญเยอะๆ และสวดมนต์นั่งสมาธิ แผ่ส่วนบุญให้ก่อนนอนทุกวัน แต่มี 2 เหตุการณ์ที่ผมและแฟนจะจำไปตลอดและเป็นเหตุการณ์ที่ชี้นำไปถึงบทสรุปตอนสุดท้ายคือ
1. แกล้งหยิบใบเสร็จรับเงินจากชั้นเก็บเอกสารกลางไป เพื่อที่จะส่งผลให้แฟนทำงานผิดพลาดก่อให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงกับบริษัท เพราะเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร แฟนพยายามหาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เจอ กล้องวงจรปิดก็พึ่งเปลี่ยนไปหมาดๆ สุดท้ายเธอแก้ไขโดยการโทรศัพท์ไปขอใบเสร็จใหม่จาก Supplier ซึ่งปกติต้องแจ้งความไปขอใหม่ และเจ้าของบริษัทซึ่งน่าจะเป็นด๊อกเตอร์เค้าใจดีมากๆ และทำให้ใหม่ ยังพอมีบุญเก่าอยู่บ้างนะเนี้ย
2. แกล้งทำเอกสารต่างๆ หาย โดยหวังว่าให้แฟนทำงานดึกๆ จะได้พาพวกมากะแนะกะแหนได้สนุกๆ
บทสรุป
หลังจากที่โดนเหตุการณ์แบบนี้กดดันได้ไม่ถึงเดือน ผมก็ตัดสินใจให้แฟนลาออกมาอยู่บ้านเถอะเพราะงานหนักแถมเครียดและท้องด้วย เรื่องข้อกฎหมายคุ้มครองผู้ใช้แรงงานต่างๆ ผมรู้ดี แต่แค่เงินชดเชยไม่กี่หมื่นกี่แสนมันก็มาทดแทนชีวิตแฟนผมและลูกไม่ได้หรอก วันต่อมาแฟนก็ไปยื่นใบลาออกด้วยเหตุผลที่ว่าออกไปเลี้ยงลูกเพื่อที่จะได้จบกันดีๆ แฟนไม่ได้เงินชดเชยใดๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาสู่แฟนคือ รอยยิ้มที่มีความสุข เหมือนหลุดพ้นจากภาระอันหนักอึ้งที่ถือไว้มาตลอดเวลาการทำงานกับคนและบริษัทที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของพนักงาน แต่กลับเห็นคุณค่าของน้ำลายที่เลอะอยู่บนขาของตัวเอง
แชร์ประสบการณ์เมื่อแฟนเป็นผู้ถูกกระทำ โดนกดดันให้ออกจากงานในขณะตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน!!
เรื่องขอเรื่องเริ่มต้นที่ภรรยาผมเปลี่ยนงานเข้ามาทำงานในตำแหน่ง Purchasing and Sourcing หรือง่ายๆ ก็คือพนักงานที่มีหน้าจัดซื้อ จัดหา อุปกรณ์เสริมโทรศัพท์ต่างๆของบริษัทแห่งหนึ่ง สมมุติว่าชื่อบริษัท “มอมบี้” งานทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีเพราะเธอเคยทำงานเกี่ยวกับการจัดซื้อมาก่อน ไม่มีปัญหาอะไรกับเพื่อนร่วมงาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบปี เธอมีเหตุต้องไปดูงานต่างประเทศกับหัวหน้างาน ซึ่งหัวหน้างานคนนี้เดิมทีแฟนผมมีทัศนคติที่ดีกับหัวหน้าที่ดีมาตลอด เพราะเขาทำงานเก่ง พูดจาดี ถ้าวันไหนมีคนชมหรือทักเรื่องการแต่งหน้า แต่งตัว เขาจะอารมภ์ดีเป็นพิเศษ แต่ความคิดนี้ก็ได้เปลี่ยนไป !! และเป็นต้นเหตุของเรื่องดราม่านี้
ช่วง 1 (โดนย้าย)
ขอย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์ก่อนและหลังการไปดูงานสักเล็กน้อย งานที่จัดขึ้นจะเป็นงานที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบ ของอุปกรณ์มือถือมาออกบูทแสดงสินค้า ซึ่งหน้าที่หลักๆ ของแฟนผมและหัวหน้าของเธอก็คือคุยกับเล่า Supplier ต่างๆ และเก็บตัวอย่างสินค้าและโบรชัวมาพิจารณาต่อที่ไทยเพื่อตัดสินใจว่าจะนำเข้าสินค้านั้นต่อไปหรือไม่ ทุกอย่างดูเหมือนเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีทั้งเรื่องการเดินทาง และที่พักซึ่งอาจจะอยู่ไกลจากสถานที่จัดงานสักหน่อย ถ้าเดินตัวเปล่าๆ ก็สามารถเดินได้สบายๆ
วันก่อนไปงานหัวหน้าเธอและแฟนผมคุยกันอย่างดิบดีถึงเรื่องสิ่งที่จะต้องทำเมื่อไปถึงงานว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างเมื่อคุยกับ Supplier เช่น สอบถามรายละเอียดสินค้า เก็บโบวชัว และตัวอย่างสินค้า ว่าจะช่วยกันเก็บมาให้หมด เพราะบูทจำนวนบูทแสดงสินค้าที่แสดงนั้นมีเป็นร้อยบูท
ในวันงาน หัวหน้าเธอและแฟนผมก็แต่งหน้าแต่งตัวเพื่อไปดูงาน และคาดว่าจะช่วยเก็บตัวอย่างสินค้ามาให้ได้เยอะๆ แต่ แต่ !! สิ่งที่แฟนผมคิดไปก็คือ หัวหน้าเธอมิได้ช่วยแฟนผมเก็บตัวอย่างสินค้าแต่อย่างใด เดินนำและคอยชี้ว่าเดี๋ยวไปบูทโน้น บูทนี้ และปล่อยให้แฟนผมซึ่งตัวเล็ก สูงไม่เกิน 160cm หนัก44 kg ลากถุงตัวอย่างสินค้า หอบโบวชัวพะลุงพะลัง โดนไม่ได้ถามหรือช่วยแม้แต่เล็กน้อย ทั้งวัน อ้าว “เห้ย !! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา … “ หลังจากเดินลากถุงทั่วงาน ก็ต้องนำสินค้าที่เต็มถุงและโบวชัวร์ 2 หอบซ้ายขวากลับที่พักในสิ้นวัน ผมไม่แน่ใจว่าเธอไปกี่วันเพราะผมจำไม่ได้ แต่เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนกลับมาไทย
หลังไปดูงาน ความรู้สึกที่แฟนผมมีต่อหัวหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป แฟนผมเริ่มทำงานโดยโฟกัสที่งานของเธออย่างเดียวและไม่ได้สนใจหัวหน้างานอีกเลย แม้แต่ทักทาย ไม่ถาม ไม่ชม และปฏิเสธคำเชิญชวนต่างๆของหัวหน้าเธอโดยสิ้นเชิงเพราะเหตุเการณ์ในวันไปดูงานนั่นเอง ความโกรธค่อยๆ สะสมใจจิตใจของหัวหน้าเพราะเขาคิดว่าลูกน้องเริ่มแข็งขืน จนกระทั่งหัวหน้าของแฟนรู้ว่าแฟนผมท้องได้ 2 เดือน
=============================================================================
เล่าต่อจากช่วงแรก
หลังจากที่หัวหน้าของแฟนผมรู้ว่าเธอตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน ซึ่งมันเปรียบเสมือนเข็มเล็กๆ ที่ทิ่มไปบนผิวของลูกโป่งที่สะสมแก๊สไข่เน่ามาเป็นมาเวลานานรอวันที่จะแตก ไม่กี่วันต่อมาเธอโดนแจ้งจากหัวหน้างานของเธอว่าจะโดนย้ายไปทำงานในตำแหน่งธุรการเนื่องจากแฟนผมท้องไม่สามารถทำงานนอกสถานที่ได้ (ปกติแฟนนั่งทำงานแต่ออฟฟิต) ซึ่งหัวหน้าของแผนกธุรการนี้มีเพื่อนของเธอเป็นคนดูแล ในความคิดผมมันเหมือนการโยนหมูเข้าไปในกรงเสือ เป็นวิธีฆ่าหมูโดยที่มือไม่เปื้อนเลือด
สาเหตุที่หัวหน้าแฟนไม่เชือดเอง เพราะไม่มีเหตุผลพอที่จะไล่แฟนผมออกเพราะแฟนผมทำงานได้ไม่ขากตกบกพล่องนั่นเอง ฉลาดจริงๆ @#$@#!%!@% ด้วยเหตุผลนี้แฟนจึงไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของหัวหน้าได้ และเหตุผลอีกอย่างคือตำแหน่งใหม่แต่เงินเดือนเท่าเดิมซึ่งอาจจะเป็นงานที่ไม่หนักมากเพราะกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ และคิดว่าหัวหน้างานใหม่จะดีกว่าหัวหน้าเดิม แต่แฟนผมคิดผิดอย่างแรง เมื่อเจอกับหัวหน้าคนนี้ นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ
ช่วง 2 (ตำแหน่งใหม่)
ตำแหน่งงานใหม่ที่โดนย้ายมาด้วยความไม่เต็มใจนัก เพราะโดนย้ายแบบกระทันหันโดยไม่ได้ตัดสินใจล่วงหน้า ลักษณะงานใหม่ที่ทำ จะเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการซึ่งทำหน้าที่ในการเปิดใบ PO, PR, จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ, จัดซื้ออุปกรณ์สำนักงาน, ข้อมูลพนักงานเข้าออก และรับเข้ารับออกสินค้าผ่านระบบ AX
ลักษณะการทำงานอาจจะดูคล้ายๆของเดิม แต่เมื่อลงมือทำจริงๆ มันต้องใช้ระยะเวลาการเรียนรู้และลงมือทำ เมื่อไม่รู้ก็ต้องถามก็เป็นเรื่องปกติ แต่คำตอบที่ได้กลับผิดคลาดเพราะคำตอบที่ได้มักบอกว่าให้ไปดูอีเมล์เก่าหรือข้อมูลเก่าแทน อาจด้วยเพราะว่างานที่ทำเป็นงานใหม่ จึงเกิดข้อผิดพลาดด้านเอกสารและล่าช้าบ่อยๆ ซึ่งสาเหตุของการล่าช้ามิใช่ว่าแฟนทำงานช้าด้วยสาเหตุเดียว งานด้านเอกสารบางครั้งมันต้องรอเอกสารหรือข้อมูลต่างๆ จากหลายๆ ส่วนด้วยกันเช่น ผ่ายบัญชี ฝ่าย Supplier รอการตรวจจากผู้จัดการ จากหัวหน้า เป็นต้น
หลังจากทดลองทำงานผ่านไปเกือบ 3 เดือน ผู้จัดการเรียกตัวแฟนเข้าพบในเวลาประมาณ 6 โมงครึ่งหลังเลิกงาน และนำรายงานงานที่ทำจากหัวหน้าคนใหม่มาให้ดู พบว่างานเอกสารที่ทำเสร็จแล้วมีการแก้ไขหลายครั้ง เช่น เลือก Supplier ผิด วันที่มีการแก้ไขแต่ไม่อัพเดท งานตัดสต๊อกค้างมา 2 เดือนโดยที่หัวหน้าไม่แจ้งว่าต้องทำอย่างไร พอไปถามก็ไม่ว่างตลอด สรุปคือ แฟนต้องพิจารณาตัวเองให้ลาออก!!!! ผมไม่รุ้หรอกว่าในขณะนั้นแฟนรู้สึกอย่างไร ถ้าเป็นผมคงรู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางทุ่งโล่งท่ามกลางสายฝน อยู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมาข้างหน้าห่างไป 30cm แว้บแรกคงรู้สึกว่าทุกอย่างดับเงียบ คิดอะไรไม่ออก สตั้นไป 10 วิ นานกว่าโดน Mirana ยิง Arrow มาจากระยะไกล หลังจากนั้นแฟนเลยเอ่ยถามไปว่า “พี่จะไล่หนูออกหรือค่ะ?” ผู้จัดการเงียบไม่ตอบอะไร และสิ้นสุดการสนธนาลงแค่นั้น ตัวผมซึ่งทำงานอยู่ที่ตึกข้างๆ ไม่ไกลจากตึกแฟนสักเท่าไหร่ก็ขับรถมารับกลับบ้านเป็นปกติ บทสนธนาระหว่างผมกับแฟนนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าแฟนรู้เสียใจและผิดหวังอย่างหนัก เพราะเธอมีภาระต้องส่งเงินให้ทางบ้าน และค่าใช้จ่ายส่วนตัวซึ่งกู้มาช่วยพ่อแม่ที่ภาคอิสานสร้างบ้านอีก เธอร้องไห้หนักมาก ผมนิรู้สึกสงสารเธอจับใจ ซึ่งในขณะนั้นเธอท้องได้ 5 เดือนแล้ว และมีปัญหาด้านสุขภาพด้วย ตัวผมทำอะไรไม่ได้มากนอกจากปลอบใจและบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าพวกเขาจะไล่ออกด้วยเหตุผลนี้มันทำไม่ได้หรอก เย็นวันนั้นเราไม่ได้กินข้าวเย็นกันทั้งคู่เพราะกินอะไรไม่ลง
และแล้วก็ถึงเวลาตัวร้ายออกโรง นั่นคือหัวหน้าของแฟนผม เรียกเข้าพบในอีกไม่กี่วันต่อมาในเวลาเลิกงานเช่นกัน เขานำรายงานเรื่องความผิดพลาดของแฟนมาให้ดูและชี้ให้ดูผลการประเมินการทำงานของแฟนผมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า เอกสารงานที่ทำเสร็จแล้ว มีจำนวนที่แก้ข้อผิดพลาดเยอะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่าโน้นเท่านี้มากกว่า 50% ผมนึกในใจ หือ !!! คุณเอาจำนวนครั้งที่แก้ไขเอกสารในระบบคีย์ข้อมูลซึ่งเก็บประวัติไว้มาคิดพิจารณาว่างานนั้นๆ มีคุณภาพหรือไม่ หรอ??? เกณฑ์ของคุณมันถูกต้องเหมือนสมแล้วหรอ?? และหัวหน้างานก็ให้ข้อเสนอให้เวลา 15วันในการเคลียร์ให้ถูกต้อง 100% และจะประเมินอีกรอบ หรือจะเซ็นต์ใบลาออกด้วยความสมัครใจ แต่แฟนผมไม่ได้เซ็นต์เพราะในเอกสารเขียนเหตุผลว่าทำความผิดร้ายแรงและผมเคยให้คำแนะนำว่าถ้าเขาจะให้แฟนออกด้วยสาเหตุนี้ไม่ได้และไม่ต้องเซ็นต์และเธอก็ได้รับเวลาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง หลังจากกลับบ้านแฟนผมก็หอบงานกลับไปทำที่บ้านเป็นปกติ ผมพยายามแนะนำว่างานไหนเราควรเคลียร์ทำงานที่ข้างไว้ก่อนงานไหนรีบต้องรีบทำอย่าปล่อยไว้ สีหน้าของแฟนผมแสดงให้เห็นว่าเธอเครียดและจิตตกมากเมื่อผมจี้มากๆเข้า เธอก็ปล่อยโฮออกมากบอกว่าจะให้ไปลาออกเลยมั้ย? เธอเครียด เพราะโดนโยนงานมาให้ทำเยอะขึ้นกว่าเก่าและงานเก่าก็ยังค้างอยู่
ช่วง 3 (โดนกลั่นแกล้ง)
ช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ตัวเองกับคนที่ไม่ได้ตั้งใจให้โอกาศอยู่แล้ว เป็นช่วงเวลาแห่งความเครียดและทำงานหนักของแฟนมากๆ งานไหนมีปัญหาแฟนก็ไปถามเพื่อหาคำตอบ แต่คำตอบนั้นมักเป็นเหมือนๆเดิม คือให้ไปดูของเก่า งานไหนที่ไม่เคยทำไปถามแล้วก็ไม่สอนว่าต้องทำอย่างไร ต้องไปถามคนจากแผนกอื่น เช่นฝ่ายบัญชี ฝ่ายไอที แทน เพื่อที่จะทำงานให้เสร็จให้ได้ โดนแกล้ง โดนนินทา โดนกะแนะกะแหน ตลอดเวลาจากพวกๆของหัวหน้างาน แต่เธอพยายามเก็บอารมภ์ พยายามไปวัดทำบุญเยอะๆ และสวดมนต์นั่งสมาธิ แผ่ส่วนบุญให้ก่อนนอนทุกวัน แต่มี 2 เหตุการณ์ที่ผมและแฟนจะจำไปตลอดและเป็นเหตุการณ์ที่ชี้นำไปถึงบทสรุปตอนสุดท้ายคือ
1. แกล้งหยิบใบเสร็จรับเงินจากชั้นเก็บเอกสารกลางไป เพื่อที่จะส่งผลให้แฟนทำงานผิดพลาดก่อให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงกับบริษัท เพราะเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร แฟนพยายามหาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เจอ กล้องวงจรปิดก็พึ่งเปลี่ยนไปหมาดๆ สุดท้ายเธอแก้ไขโดยการโทรศัพท์ไปขอใบเสร็จใหม่จาก Supplier ซึ่งปกติต้องแจ้งความไปขอใหม่ และเจ้าของบริษัทซึ่งน่าจะเป็นด๊อกเตอร์เค้าใจดีมากๆ และทำให้ใหม่ ยังพอมีบุญเก่าอยู่บ้างนะเนี้ย
2. แกล้งทำเอกสารต่างๆ หาย โดยหวังว่าให้แฟนทำงานดึกๆ จะได้พาพวกมากะแนะกะแหนได้สนุกๆ
บทสรุป
หลังจากที่โดนเหตุการณ์แบบนี้กดดันได้ไม่ถึงเดือน ผมก็ตัดสินใจให้แฟนลาออกมาอยู่บ้านเถอะเพราะงานหนักแถมเครียดและท้องด้วย เรื่องข้อกฎหมายคุ้มครองผู้ใช้แรงงานต่างๆ ผมรู้ดี แต่แค่เงินชดเชยไม่กี่หมื่นกี่แสนมันก็มาทดแทนชีวิตแฟนผมและลูกไม่ได้หรอก วันต่อมาแฟนก็ไปยื่นใบลาออกด้วยเหตุผลที่ว่าออกไปเลี้ยงลูกเพื่อที่จะได้จบกันดีๆ แฟนไม่ได้เงินชดเชยใดๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาสู่แฟนคือ รอยยิ้มที่มีความสุข เหมือนหลุดพ้นจากภาระอันหนักอึ้งที่ถือไว้มาตลอดเวลาการทำงานกับคนและบริษัทที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของพนักงาน แต่กลับเห็นคุณค่าของน้ำลายที่เลอะอยู่บนขาของตัวเอง