….อุดรธานี อีสานบ้านผม....

กระทู้คำถาม
อุดรธานีในยุคที่ผมเป็นเด็ก...สงครามเวียดนามกำลังตีโค้งเข้าสู่จุดเอ็นดิ้ง   สภาพตัวเมืองในยุคนั้นเรียกได้ว่ารุดหน้าเจริญกว่าบางเขตในกรุงเทพฯทีเดียว แหล่งราตรี บันเทิง บาร์ ไนท์คลับ บริษัท  โรงภาพยนต์ขนาดใหญ่เทียบเท่าเฉลิมกรุง สกาล่าในยุคนั้น  และสำนักงานต่างๆ ผุดขึ้นเพื่อมารองรับเหล่า “นักรบจีไอ” ที่เพ่นพ่านเต็มเมืองอุดรฯ เวลานั้น     แต่ก็นั่นแหละ....เหล่านั้นเป็นความเจริญด้านวัตถุที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพและสถานการณ์นั้นๆ



อีกด้านหนึ่ง...อุดรธานีจัดว่าเป็น “ถิ่นธรรม” ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แห่งหนึ่งของประเทศไทยก็ว่าได้    สถานะความยากจนไม่ใช่อุปสรรคที่จะเข้าถึงธรรมและสัมผัสรสพระธรรม    พระสุปฏิปันโณมีให้กราบไหว้แทบจะทุกระแหง  ในหมู่บ้าน   ป่าชัฏ  หรือแม้แต่ในภูผา     สิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของภาคอีสานก็คือ   บางหมู่บ้านที่ดูเหมือนจะทุรกันดาน   แต่วัดประจำหมู่บ้านจะมีพระอุโบสถหลังใหญ่งามไว้ให้พระภิกษุไว้ทำวัตร   เป็นดัชนีที่ชี้ถึง “จิตใจ” ของคนในหมู่บ้านนั้นๆ ว่าอิงแอบแนบชิดศรัทธาและจรรโลงต่อพระพุทธศาสนาอันเป็นที่พึ่งทางจิตใจมากน้อยเพียงไร     และแน่นอน....ที่ขาดไม่ได้เลยคือ “พระบรมฉายาลักษณ์” ที่แขวนบนผนังบ้านในรูปแบบของปฏิทินบ้างหรือใส่กรอบบ้าง  แล้วแต่ฐานานุฐานะของของครอบครัว   เป็นภาพที่คุ้นเคยตาสำหรับคนอีสานมาตั้งแต่เด็ก



วันนี้  มีเหตุและแรงบันดาลใจที่อยากจะเขียนถึงบ้านเกิดหลายอย่าง    ความจริงก็เขียนสอดแทรกในลักษณะ”รักบ้านเกิด” มาแทบตลอด   มีบ้างที่โดนสะกิดว่าท้องถิ่นนิยมบ้าง อวดโอ้บ้าง  หรือเลยเถิดไปกว่านั้น  เคยถูกมองว่าเขียนเพื่อแบ่งพรรคแบ่งภาคบ้างก็มี   นั่นก็สุดแล้วแต่คนจะมอง.....แต่จิตสำนึกในส่วนลึกของผม  ผมคือคนอีสาน...และภูมิใจตรงนี้    วันนี้ขอเขียนในลักษณะเบาๆ....อ่านแล้วไม่เครียด   อ่านจบแล้ว...จะยกมือกล่าวอนุโมทนาสาธุการก็ถือว่าเป็นกุศลร่วมกัน    ย้อนกลับมาที่เหตุและแรงบันดาลใจที่อยากจะเขียน    คืออีกไม่กี่วันข้างหน้านี้จะมีพระราชพิธีมอบพัดยศเปรียญธรรมเก้าประโยค    ปีนี้มีพระเณรลงสอบบาลีฯ หลายร้อยพันรูป  และสอบได้เปรียญธรรมเก้าประโยคไม่เยอะ   มีสามเณรที่สอบเปรียญเก้าได้สามรูป หนึ่งในนั้นมีสามเณรจากสำนักเรียนจังหวัดอุดรธานีสอบได้เปรียญธรรมเก้าประโยคหนึ่งรูป  และส่วนใหญ่และตลอดมาจะมาจากสำนักบาลีใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ ผมในฐานะเคยเป็นศิษย์เก่าที่นั่นก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมงานฉลองพัดยศ  



ขออนุญาตเกริ่นเรื่องการเรียนบาลีฯ สักเล็กน้อยสำหรับท่านที่ยังไม่รู้  การเรียนบาลีมีเก้าระดับ ขั้นต้นเรียกว่าเปรียญตรี (ประโยค1-3) ขั้นกลางเปรียญโท(ประโยค4-6) และเปรียญเอก(ประโยค7-9) (เรียนเปรียญธรรม กับ เรียนนักธรรมคนละอย่างนะครับ อย่าสับสนกัน) เป็นวิชาที่ต้องเรียนหนักเอาการพอดู   สมัยผมเรียน  มีพระหรือสามเณรบางรูปใช้เวลาเกือบสี่ถึงห้าปีกว่าจะได้ประโย 1-2 บางรูปถอดใจเลิกเรียนไปก็มี   เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าเปรียญธรรมประโยคเก้าจะสาหัสขนาดไหน   และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสามเณร......ดังนั้นจึงเป็นประเพณีสืบต่อกันมาว่าถ้าสามเณรรูปใดสอบได้เปรียญธรรมเก้าประโยค   พระเจ้าแผ่นดินจะพระราชทานพัดยศและรับสามเณรรูปนั้นเป้น “นาคหลวง” อุปสมบทที่วัดพระแก้ว    ผมเคยฝันตรงจุดนี้เหมือนกัน.....แต่ผมตกม้าตายไปไม่ถึงฝั่งฝันตั้งแต่จุดสตาร์ท     และที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนอีสานก็คือ  สามเณรรูปแรกที่สอบข้อเขียนได้เปรียญธรรมเก้าประโยคในรัชสมัย ร.๙ มาจากภาคอีสานคืออดีตสามเณรที่ชื่อเสฐียรพงษ์ วรรณปก    และอีกเช่นกัน  สามเณรที่อายุน้อยที่สุดที่สอบเปรียญธรรมเก้าประโยคได้ก็มากจากภาคอีสานคือสามเณรสันติราษฏร์ พวงมะลิ (สอบได้เมื่ออายุ18)     และประธานสมาคมเปรียญธรรมเก้าประโยคปัจจุบันคือนายรักสยาม  นามานุภาพ(จากอุดรฯ  เคยสะพายย่ามบวชเรียนมาด้วยกัน)  ปีนี้ ท่านสามเณรธนธรณ์ คูสูงเนิน จากสำนักเรียนบาลีที่วัดไวกูลฐารามในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อนารายณ์น้อย อำเภอบ้านผือใกล้ชายแดนลาวสอบได้เปรียญธรรมเก้าประโยค   นำความภาคภูมิใจสู่หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัดและประเทศ

บรรากาศและห้องเรียนของวัด







วิถีชีวิตของลูกผู้ชาย/ผู้หญิงคนอีสานมีให้เลือกไม่มากโดยเฉพาะเรื่องการศึกษา  เพราะฐานะทางครอบครัวคนอีสานส่วนใหญ่ยากจน   จึงไม่แปลกที่สถิติประชากรด้อยการศึกษาในภาคอีสานจึงสูง   แต่นั่นก็ไม่ได้ความว่าคุณค่าทางจิตใจจะด้อยไปด้วย...การดิ้นรนขนขวายเพื่อการศึกษาที่ดีกว่าของคนอีสานมีหลากหลายรูปแบบ   พี่เสียสละให้น้องเรียนต่อบ้าง     พ่อแม่ทิ้งหมู่บ้านลงไปหางานทำในกรุงเพื่อส่งลูกๆ เรียนบ้าง   รับจ้างขายแรงงานและเรียนไปพร้อมๆ กันบ้าง   ฯลฯ   และอีกแนวทางหนึ่ง...ที่เด็กผู้ชายคนอีสานพอจะลืมตาอ้าปากได้ร่ำเรียนเขียนอ่านเป็นกับเขาก็คือการบวชเรียน   นั่นคือเส้นทางที่ผมและหลายเด็กผู้ชายหลายในภาคอีสานได้เลือกเดิน    ประสบความสำเร็จระดับประชาติก็มี  ล้มเหลวระหว่างทางก็มี  หรือเป็น “พระอริยะ” ให้คนทั่วประเทศกราบไหว้ก็มี    หรือเป็นพระนักวิชาการ  นักเทศน์  นักปาฐกก็มี   เหล่านี้ถือว่าล้วนเป็น “สมบัติบุคคล” ของชาติ    แม้ว่าบางกรณีชาติไม่เคยไปช่วยหรือพยุงเขาเลยก่อนที่จะเดินมาถึงจุดนี้     ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะครองผ้ากาสาวพัตร์ต่อไปหรือสึกออกมา....ก็รับประกันได้ระดับหนึ่งว่า  อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ผ่านการบวชเรียนมาแม้ปริญญาอาจจะไม่มี.....แต่การเป็นคนดีของสังคมไม่ได้วัดกันตรงนั้น  หากแต่อยู่ที่จิตใจใครว่าการอบรมและบ่มนิสัยด้านคุณธรรมมาขนาดไหน?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่