การลงทุนแนวนี้ถ้าเรายืดหลักการแนว VI แล้วนำแนวทางนี้มาปรับใช้ให้เข้ากับตัวเราผมคิดว่าการลงทุนนี้น่าสนใจและไม่เครียดคือเราเริ่มจากดูพื้นฐานง่าย คือ
1. บริษัทที่เราสนใจหรือเลือกที่จะลงทุนด้วยเราต้องรู้ก่อนว่าบริษัทเขาทำธุรกิจอะไรขายอะไรแนวไหน ยกตัวอย่าง บริษัท MK บางคนอาจไม่ร็ด้วยซ้ำว่าเป็นบริษัทอะไรเห็นในโฆณาก็คิดว่าเป็น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จริงแล้วคือบริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) แล้วบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) คือ M เพราะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลัง บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) คือ MK เอาง่ายๆคือเขาตั้งก่อน
2. บริษัทมีส่วนแบ่งทางตลาดมากน้อยแค่ไหน คือเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดคู่แข่งเข้ามาสู้ไม่ได้
3. ยอดขายเป็นไงต่อปีต่อไตรมาส เพิ่มขึ้นไหม ทุกปีไหม
4. จุดแข็งจุดอ่อนของบริษัท (แนะนำอ่านใน 56-1)
5. ดู P/E , P/BV , ROE , ROA ส่วนนี้ดูความถูกแพงของราคาหุ้น และ Dividend Yield ว่าปันผลทุกปีไหม และดู OPPDAY ประกอบ
6. แวะดูผู้บริหารสักหน่อยว่ามีประสบการณ์หรือผลงานอะไร มีธรรมาภิบาลไหม ไม่ใช้ออกมาพูดคุยโวจนเกินจริงแต่ทำไม่ได้
ถ้ายืดหลักแนวนี้ครบก็อาจจะประสบความสำเร็จได้ต้องใช้เวลาอดทนกับความอ่อนไหวในตลาดแล้วก็ถือยาวๆไปไม่เครียด
ต่างจากส่วนมากและที่เห็นในกระทู้ PANTIP ส่วนมากจะมาบ่นกันหุ้นตก ติดดอย โดนกอง โดนปอบทุบ ฝรั่งขนเงินกลับบ้าน ข่าวการเลือกตั้ง รบกัน ส่วนตัวผมว่าไม่เกี่ยวกับธุรกิจหรือบริษัทที่เราจะลงทุนเท่าไหร่
การลงทุนแนวนี้ตั้งแต่ผมลงทุนมาได้ประมาณสามปีผมก็ยืดหลักแนว VI มาตลอดและปรับให้เข้ากับตัวเราส่วนตัวผมซื้อแล้วผมจะไม่สนใจข่าวแบบนี้หลอกผมจะไปโฟกัสที่งบการเงินของแต่ละไตรมาสหรือต่อปีมากกว่าว่าพื้นฐานเปลี่ยนไหมบริษัทที่เราถือมียอดขายเป็นไงเพิ่มหรือลดส่วนแบ่งเพิ่มหรือลดมีภาระหนี้สินเพิ่มหรือเปล่าปันผลอยู่ไหมแค่เนี๊ยซื้อแล้วก็ไม่ค่อยเปิดดูพอร์ตเลยแต่จะใช้เวลาส่วนมากสักชั่วโมงค้นหาหุ้นที่ดีกว่าในการลงทุนต่อแต่คนส่วนมากจะทำไม่ได้อดทนกับการเห็นหุ้นขึ้นลงไม่ได้ต้องเข้าไปแจ่มเราต้องควบคุมอารมณ์เราให้ได้
สุดท้ายนี้บทความในกระทู้นี้อาจประโยชน์มากน้อยแค่ไหนถ้าเรานำใช้บางส่วนก็อาจจะประสบความสบเร็จได้และขอให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านทุกคนประสบความสำเร็จในแนวทางของคุณ ทุกคนนะครับ
การลงทุนง่ายๆไม่เครียด ฉบับแนว VI
1. บริษัทที่เราสนใจหรือเลือกที่จะลงทุนด้วยเราต้องรู้ก่อนว่าบริษัทเขาทำธุรกิจอะไรขายอะไรแนวไหน ยกตัวอย่าง บริษัท MK บางคนอาจไม่ร็ด้วยซ้ำว่าเป็นบริษัทอะไรเห็นในโฆณาก็คิดว่าเป็น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จริงแล้วคือบริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) แล้วบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) คือ M เพราะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลัง บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) คือ MK เอาง่ายๆคือเขาตั้งก่อน
2. บริษัทมีส่วนแบ่งทางตลาดมากน้อยแค่ไหน คือเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดคู่แข่งเข้ามาสู้ไม่ได้
3. ยอดขายเป็นไงต่อปีต่อไตรมาส เพิ่มขึ้นไหม ทุกปีไหม
4. จุดแข็งจุดอ่อนของบริษัท (แนะนำอ่านใน 56-1)
5. ดู P/E , P/BV , ROE , ROA ส่วนนี้ดูความถูกแพงของราคาหุ้น และ Dividend Yield ว่าปันผลทุกปีไหม และดู OPPDAY ประกอบ
6. แวะดูผู้บริหารสักหน่อยว่ามีประสบการณ์หรือผลงานอะไร มีธรรมาภิบาลไหม ไม่ใช้ออกมาพูดคุยโวจนเกินจริงแต่ทำไม่ได้
ถ้ายืดหลักแนวนี้ครบก็อาจจะประสบความสำเร็จได้ต้องใช้เวลาอดทนกับความอ่อนไหวในตลาดแล้วก็ถือยาวๆไปไม่เครียด
ต่างจากส่วนมากและที่เห็นในกระทู้ PANTIP ส่วนมากจะมาบ่นกันหุ้นตก ติดดอย โดนกอง โดนปอบทุบ ฝรั่งขนเงินกลับบ้าน ข่าวการเลือกตั้ง รบกัน ส่วนตัวผมว่าไม่เกี่ยวกับธุรกิจหรือบริษัทที่เราจะลงทุนเท่าไหร่
การลงทุนแนวนี้ตั้งแต่ผมลงทุนมาได้ประมาณสามปีผมก็ยืดหลักแนว VI มาตลอดและปรับให้เข้ากับตัวเราส่วนตัวผมซื้อแล้วผมจะไม่สนใจข่าวแบบนี้หลอกผมจะไปโฟกัสที่งบการเงินของแต่ละไตรมาสหรือต่อปีมากกว่าว่าพื้นฐานเปลี่ยนไหมบริษัทที่เราถือมียอดขายเป็นไงเพิ่มหรือลดส่วนแบ่งเพิ่มหรือลดมีภาระหนี้สินเพิ่มหรือเปล่าปันผลอยู่ไหมแค่เนี๊ยซื้อแล้วก็ไม่ค่อยเปิดดูพอร์ตเลยแต่จะใช้เวลาส่วนมากสักชั่วโมงค้นหาหุ้นที่ดีกว่าในการลงทุนต่อแต่คนส่วนมากจะทำไม่ได้อดทนกับการเห็นหุ้นขึ้นลงไม่ได้ต้องเข้าไปแจ่มเราต้องควบคุมอารมณ์เราให้ได้
สุดท้ายนี้บทความในกระทู้นี้อาจประโยชน์มากน้อยแค่ไหนถ้าเรานำใช้บางส่วนก็อาจจะประสบความสบเร็จได้และขอให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านทุกคนประสบความสำเร็จในแนวทางของคุณ ทุกคนนะครับ