6 เอกลักษณ์ในงานของ ชินไค มาโกโตะ (สาวกห้ามพลาด!!!!!!)

นานมาแล้ว มีหนุ่มย่านจังหวัด นางาโนะ ผู้นั่งรถไฟมาเล่าเรียนถึงกรุงโตเกียว จบสายวรรณกรรมญี่ปุ่น ด้วยความสามารถด้านการวาดภาพฉากทิวทัศน์ ได้พาเขาสู่บริษัทเกมส์ Falcom เป็นดั่งสำนักฝึกปรือด้านคอมพิวเตอร์ ที่นั่นทำให้เขาเริ่มทำอนิเมชั่นเป็นครั้งแรก ก่อนที่การเติบโตได้พาเขาออกจากบริษัท สู่การเป็นผู้กำกับอนิเมชั่นเต็มตัว

นี่คือภูมิหลัง ของ ชินไค มาโคโตะ เหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา จากการข้ามสายวรรณกรรมสู่อนิเมชั่น ด้วยแนวคิดและภูมิหลังไม่ตรงสายงาน อนิเมชั่นของชินไคจึงไม่เหมือนใครและเป็นเอกลักษณ์ คำถามคือ "แล้วอะไรคือเอกลักษณ์ในงานของชินไค?"



ทางเพจ "Movies Can Talk หนังพูดได้” โดย 3 แอดมิน ตอง,เอ็ม,หมูลี จึงมาร่วมสันนิษฐาน และ นำเสนอว่าชินไคทำไมชอบเล่าเรื่องแบบนี้ มีไว้ทำอะไร ด้วยความน่าสนใจของผู้กำกับท่านนี้ เราขอแถลงไขด้วย “ 6 เอกลักษณ์ในงานชินไค มาโกโตะ ” โดยจับส่วนเด่นชัดมาเขียน มาแชร์ด้วยกัน ดังนั้นเรามา
“หลับตาฝันถึงชินไค” ดูซิว่าเราต่างเจออะไรกันมาบ้าง มาเชยชมด้วยกันเถิดครับ

1.คัดลอกจากสถานที่จริง
{พบได้ใน : 5 centimeters per second , Garden of words , Your Name}



หากใครเคยดูงานของ ชินไค มาโคโตะ แล้วเกิดติดตาฉากในหนังจนอยากไปญี่ปุ่นโดยพลันเพราะอยากเดินตามรอยสถานที่ในหนัง แสดงว่ามาถูกทางแล้ว

ด้วยตัวหนังส่วนมากว่าด้วยธีมของคำว่า”ความทรงจำ” สถานที่จึงเป็นสิ่งควรค่าแก่การคำนึงถึง ชินไคเลือกการรีเซิร์จและถ่ายรูปเป็นพันๆภาพมาวาดเป็นฉากหลังดั่งที่เห็นในหนัง โดยชินไคเคยกล่าวว่า “การใช้สถานที่จริงจะทำให้คนดูคุ้นเคย สามารถดูหนังสลับระหว่างตนเองกับตัวละครในหนังได้”

สถานที่ในหนังจึงไม่ได้เป็นแค่การคัดลอกฉากเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการจำลองสถานที่จริงเพื่อเกิดเป็นความทรงจำแด่คนดูและสัมผัสได้จริง โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นที่ต่างชินกับบรรยากาศรถไฟ , ฤดูกาลดอกซากูระบานสะพรั่ง หรือ ศาลเจ้าพร้อมมิโกะประจำศาล ล้วนเป็นภาพคุ้นตาและทำให้พวกเขารู้สึกอินกับเหตุการณ์และสถานที่ง่ายขึ้น

สถานที่ที่หลายคนตามไปเก็บตกกันคงหนีไม่พ้นย่านชินจูกุ ไม่ว่าจะเป็น สถานีชินจูกุ (ใน 5 centimeters per second) , สวนชินจูกุเงียวเอน (ใน The Garden of words) อันเป็นที่ๆ ชินไคเคยใช้ชีวิตในที่แห่งนี้อยู่เป็นสิบปี ภาพเหล่านี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียดและปราณีตจากความผูกพันธ์และคุ้นเคยสถานที่

สำหรับ Your Name ถือเป็นอีกความท้าทายในการใช้หลายสถานที่ นอกจากพื้นที่ในชินจูกุแล้ว จังหวัดสมมติของ มิสึฮะ นางเอกของเรื่อง หลายฉากจำลองมาจากเมืองฮิดะ จังหวัดกิฟุ ที่มีสถานีรถไฟ , ศาลเจ้าฮิดะ-ซันโนะกุ ฮิเอะ และห้องสมุดสาธารณะ รวมถึงการใช้เกาะโอกะชิมะ เป็นฉากหลักของเรื่อง

ความขยันของชินไค ไม่เพียงสร้างภาพจำแก่สถานที่เท่านั้น มันยังดึงดูดให้ผู้คนต่างเสาะหาสถานที่จริงเพื่อความโรแมนติกในการผูกติดชีวิตตนกับหนังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวไปในตัวอีกด้วย


2.แสงแบบนี้นี่แหละชินไค
{พบได้ใน Voice of a Distant Star จนถึง Your Name}



จุดเด่นในงานของชินไคที่สัมผัสได้ คือการใช้แสงที่ช่วยให้เกิดงานภาพอันประณีต ด้วยฝีมือกำกับศิลป์ที่ต่อให้เปลี่ยนลายเส้นเปลี่ยนคนวาด ก็ยังบ่งบอกสไตล์เฉพาะตัวว่าเป็นชินไคได้ชัดเจน

ชินไคมักใช้ภาพย้อนแสงและให้เงาตกกระทบบนตัวละคร แสงของชินไคมีหน้าที่แบ่งตัวละครเป็น 2 ด้าน คือด้านที่รับแสงและด้านที่มีเงาตกกระทบ สะท้อนภาวะของตัวละครที่ต้องอยู่กับตัวเอง (ในเงา) ขณะเดียวกันก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์ภายนอก (รับแสง) ไปด้วย

งานภาพจะมีสีแบ็คกราวนด์หลักๆ อย่างสีน้ำเงิน เขียว และชมพู ที่ใช้เป็นฉากหลังอยู่บ่อยๆ โดย 2 สีแรกมักใช้เป็นแบ็คกราวนด์พื้นฐาน ก่อนจะให้สีชมพูมาตัดกับ 2 สีแรก จากนั้นใช้แสงมาช่วยขับเน้นวัตถุสีชมพูอีกที ทำให้ภาพของชินไคมีความอวบอิ่มและหวานเจือปนอยู่

เอกลักษณ์อีกอย่างของชินไค คือเส้นแสงสองสายที่ตัดกันเป็นรูปสีแยกไฟแดงที่เรียกว่า Lens Flare (แสงส่องประกายจ้า) เพื่อขับอารมณ์โรแมนติกให้ชัดขึ้น โดยเฉพาะฉากที่คู่พระนางมาพบกัน แสงจากเลนส์นี้ก็จะยิ่งเด่นชัด เพื่อเปรียบเทียบการพบกันของตัวละครกับเส้นแสงที่ตัดกันนั่นเอง

โดยชินไคให้เหตุผลว่า การเพิ่มรายละเอียดภาพและการใช้แสง นอกจากทำให้ภาพดูสมจริงแล้ว ยังขับเน้นอารมณ์ในฉากนั้นๆให้ดูสำคัญและน่าจดจำขึ้นด้วย ซึ่งคิดกันตั้งแต่ตอนทำสตอรี่บอร์ดแล้ว ที่ยังเขียนเป็นภาพวาดด้วยมือแทนที่จะวาดในคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เห็นจุดหรือจังหวะที่จะเลือกใช้แสงได้ลงตัว จนเกิดเป็นแสงสไตล์ชินไคออกมา

3.VoiceOver แห่งความเหงา
{พบได้ในหนังเรื่อง : หนังสั้นเรื่อง She and Her Cat จนถึง Your Name}


*หมายเหตุ ภาพนี้มาจากตัวอย่างหนังโฆษณาของชินไคชื่อว่า "Cross Road" ครับ

อาจเป็นเทคนิกจำเจเสียหน่อยสำหรับหนังเหงา เสียงของตัวละครต่างพัดพาให้ทั้งสองเจอกัน ทำไมมันถึงเข้ากับหนังชินไคเสียได้

ส่วนหนึ่งมาจากสังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมที่มีโลกส่วนตัวสูง และรักษาความเป็นปัจเจกเพื่อรักษามารยาทในสังคม ตัวละครต่างพูดจากการที่รู้สึกว่าเข้ากับสถานที่และผู้คนไม่ได้ การใช้เสียงบรรยายความรู้สึกตัวละครเป็นการแชร์ความรู้สึกจริงๆถึง "สิ่งที่ไม่สามารถพูดออกมาได้"

นอกจากมีบทบาทในวงการอนิเมชั่น ชินไคมักเขียนวรรณกรรมควบคู่กับอนิเมชั่นที่เขาทำ สิ่งที่คาดหวังได้คือ บทบรรยายเป็นกวี เป็นห้วงๆของชั่วเวลาหนึ่งที่เราต่างรำพันถึงอดีต จนเกิดเป็นความทรงจำของตัวละครขึ้น โดยคนดูมีส่วนในการสวมบทอินไปกับความรู้สึกตัวละครด้วย

ชินไคใช้ภาพสถานที่สวยๆ โลเคชั่นโล่งๆ อันพบได้ในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวผ่านตัวละครหลัก(อาจมากกว่า 1 ตัว) เสียงเอื้อนเอ่ยจากปากของพวกเขาได้กระทบกัน เกิดเป็นความโรแมนติกถึงความคิดอยากเข้าใกล้ แต่ ณ ปัจจุบันตัวละครยังไม่ได้ทำตามที่คิด จากโลกส่วนตัวที่กั้นไว้นั่นเอง

เกร็ด : Other World หนังสั้นเรื่องแรกของชินไคและเป็นเพียงเรื่องเดียวใช้ข้อความตัวอักษรบรรยายเหตุการณ์แทนการใช้เสียงพากษ์ตัวละคร

4.ระยะห่างของความสัมพันธ์
{พบได้ในทุกงานของชินไค}



งานของชินไคจะพูดถึงระยะห่างอยู่ที่มีหลากหลายแบบ เช่น ระยะของการเดินทาง (ใน Children Who Chase Lost Voices) ระยะห่างของเธอกับฉัน (ใน Voices of a Distant Star) ระยะที่อยู่ใกล้กันแต่ความรู้สึกกลับแสนไกล (ใน 5 Centimeters Per Second) ระยะห่างของอายุ (ใน The Garden of Words) ฯลฯ ชินไคใส่เอาไว้ในงานของเขาที่สร้างความปวดจิ๊ดให้ผู้คนมากมาย

การสร้างระยะห่างของชินไค เป็นเงื่อนไขที่ผลักตัวละครห่างไกลออกไปถึงแม้จะอยู่ใกล้กัน หนังของชินไคเหมือนเดินทางไปกับการสื่อสารที่ล้มเหลว การมีอยู่ของเครื่องมือช่วยการสื่อสาร อย่างโซเซียลมีเดีย , จดหมาย , โทรศัพท์ รวมถึงการคมนาคมแสนสะดวกทั้งรถไฟ จักรยาน เพื่อต่อระยะให้ใกล้กัน แต่แท้จริงก็ไม่ได้ใกล้กัน เพราะเราต่างก็ไม่เห็นจริงๆว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง เป็นแบบที่เขาบอกหรือเปล่า การสื่อสารในงานของชินไคจึงรู้หน้าไม่รู้ใจ เพราะคนเราต่างสร้างระยะห่างขึ้นมาเอง

ชินไคใช้เรื่องความห่างไกลจากสิ่งที่ผูกพัน ไม่ว่าจะครอบครัว สถานที่ คนรัก มาขยี้ให้คนดูรู้สึกเข้าถึงได้ง่าย เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ การที่คนเข้าใจความรู้สึกเดียวกันกลับต้องห่างไกลกัน เกิดเป็นสิ่งที่ผูกพันมาก ดึงดูดให้คนดูมีความรู้สึกร่วมกัน เหงาไปด้วยกัน เรียนรู้ไปด้วยกัน และเข้าหาหนังได้โดยง่าย

5.เขียนโครงสร้างหนังเหมือนอ่านหนังสือ เคล็ดลับการเล่าเรื่องของชินไค
{พบได้ในหนังเรื่อง : The Place Promised in Our Early Days ถึง Your Name}



สำหรับชินไค การเริ่มต้นหนังของเขามักเริ่มต้นด้วยเสียงคำนึงของตัวละคร ก่อนค่อยๆเผยข้อมูลสิ่งที่เขาพูดไม่ว่าจะเป็น ผู้คนที่เขาพูดถึง , สถานที่ๆเขารู้จัก และเหตุการณ์สำคัญออกมาเป็นภาพ มองเผินๆ เหมือนเป็นการนำเสนอความรู้สึกลอยๆ แต่นั้นล่ะคือเสน่ห์ในหนังของชินไค เสียงที่ว่าไม่ต่างจากการให้คนดูสวมบทเป็นตัวเอกตอนอ่านนิยายเสียเลย

ด้วยชินไคเองจบวรรณกรรมญี่ปุ่นและเขียนนิยายเป็นทุนเดิม จึงถ่ายทอดน้ำเสียงออกมาเป็นกวี ส่วนหนึ่งเพราะชินไคเคยบอกว่าได้อิทธิพลจากงานของฮารูกิ มูราคามิ

จะเห็นว่าทั้งสองต่างพูดเรื่องความเหงาและการสำรวจจิตใจตัวเอกที่คำนึงถึงอดีตที่ผ่านมา ผ่านถ้อยคำในแต่ละบทด้วยชุดสถานที่และเหตุการณ์ต่างๆที่ตนประสบมาและจบปลายเปิดให้คนดูคิดต่อ เหมือนคนย้อนกลับไปหาอดีตและหยุดคิดได้เพื่อกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง ด้วยความที่ชินไคเป็นคนรักสันโดษ , ชอบฟังเพลง และ เลี้ยงแมว (ซึ่งคล้ายกับมูราคามิ เพียงแต่ทางดนตรี ชินไคเป็นป็อปมากกว่าแจ๊สแบบมูราคามิ) จุดเอกของชินไค จึงเป็นการใช้เสียง ไม่ว่าคำพูด หรือดนตรี ต่างส่งผลต่อตัวหนังเองด้วย

สิ่งที่ชินไคมักนำเสนอในหนัง คือการใช้เทคนิกเสียงมาเชื่อมแต่ละเหตุการณ์เข้าด้วยกัน ทั้งเสียง Voiceover (ตัวละครบรรยาย) , ดนตรีประกอบ (คลอกับภาพจอดำ หรือ Cut to Black ) เพื่อสรุปเหตุการณ์นั้นๆ และเปิดประเด็นอื่นในเหตุการณ์ถัดไป เสมือนกระดาษขาวคั่นหน้าหนังสือในแต่ละบทและโยนเข้าสู่บทถัดไปให้คนดูคิดตาม และกว่าจะรู้ตัวหนังก็ทิ้งปลายเปิดสำหรับคนดูแล้ว เพื่อให้คนดูตระหนักถึงปัจจุบัน ถีบตัวเองจากความอินในอดีต(ที่สวมบทเป็นตัวละครในหนัง) กลับมาเดินต่อไปในอนาคต

6.กำแพงที่แบ่งกั้น
{พบได้ใน Voice of a Distant Star จนถึง Your Name}



ชินไคมักให้ตัวละครแต่ละตัวมีพื้นที่ของตัวเอง จากการสร้าง "กำแพง" ที่แบ่งแยกตัวละครออกเป็น “สองฝั่ง” ตั้งแต่ She and her cat (ฝั่งคนกับฝั่งแมว), Voice of a Distant Star (ฝั่งมนุษย์กับอวกาศ), The Place Promised in Our Early Days (ฝั่งความจริงกับความฝัน), 5 Centimeters Per Second (อยู่คนละเมือง), Children Who Chase Lost Voices (ฝั่งคนเป็นกับคนตาย), The Gardens of Words (ฝั่งครูกับนักเรียน) หรือล่าสุดใน Your Name ที่เล่นประเด็นสองฝั่งทุกรูปแบบมานำเสนอในเรื่องเดียว แถมด้วยประเด็นฝั่งเพศสภาพ ที่หยิบมาต่อยอดอย่างสนุกสนาน

ตัวละครของชินไคมักปิดกั้นตัวเองไว้ เพราะห่วงความรู้สึกของตนจนไม่กล้าเผยให้อีกฝ่ายรู้ กระทั่งรู้ตัวว่าจะไม่มีโอกาสให้พูดอีกแล้ว ถึงจะเริ่มไขว่คว้ามัน
และพยายามฝ่าพรมแดนไปอีกฝั่งหนึ่ง หรืออย่างน้อยที่สุดคือหาจุดร่วมของทั้งสองฝั่งที่สามารถส่งความรู้สึกถึงกันได้ อาจเป็นได้ทั้งสิ่งของอย่างโทรศัพท์ใน Voice of a Distant Star และสถานที่อย่างศาลาพักใจใน The Garden of Words นั่นเอง

ทั้งหมดคือจุดเด่นที่ทำให้หนังของชินไคโดนใจผู้ชมแทบทุกกลุ่ม จากการเล่าเรื่องหลายมุมมองจนสะกิดใจผู้ชมหลายกลุ่มที่มีความแตกต่างกัน กับแนวคิดการทลายกำแพงของตัวเอง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีสุดท้าย หลังจากที่ตัวละครทำให้ผู้ชมตระหนักได้ว่า การเอาแต่หลบอยู่หลังกำแพงที่เราสร้างขึ้นนั้น ทำให้พลาดสิ่งสำคัญอะไรไปบ้าง



และนั่นคือเอกลักษณ์ในงานของชินไค มาโกโตะที่เพจเรารวบรวมมา ท่านใดสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า "หนังเรื่องนี้สื่อถึงอะไร" ก็สามารถกด Like และติดตามได้ในเพจ "Movies Can Talk หนังพูดได้" กับการรีวิวหนังใหม่ทุกสัปดาห์ และสรรหาหนังเก่ามาเล่าให้ฟัง สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ

https://www.facebook.com/Moviescantalk/
Movies Can Talk หนังพูดได้ เพราะว่าหนังมีเรื่องที่เล่าหนังจึงพูดให้เราฟังได้ หรือถ้าทำไม่ได้ เราจะทำให้คุณเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่