ฺ
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
ได้เวลาย้อนกลับสู่โลกเวทย์มนต์กันอีกครั้ง หลังจากปิดตำนานพ่อมดเจ้าของสมญานาม เด็กชายผู้รอดชีวิต ไปเมื่อ 5 ปีก่อน ที่คราวนี้เจ. เค. โรว์ลิง ก็หวนกลับมาเล่าเรื่องพ่อมดแม่มดอีกครั้ง ด้วยการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ใน Harry Potter โดยอ้างอิงจากหนังสือในนิยายอย่าง Fantastic Beasts and Where to Find Them ที่เขียนโดย นิวท์ สคาแมนเดอร์ ที่เป็นหนังสือเรียนวิชาสัตว์วิเศษของเหล่าพ่อมดแม่มดในโรงเรียนนั้นเอง โดยโรว์ลิงก็ได้คิดเรื่องใหม่ทั้งหมด และลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตนเองเป็นครั้งแรก โดยยึดตัวละครอย่าง นิวท์ สคาแมนเดอร์ เป็นตัวละครนำในหนังชุดใหม่
หนังเป็นเรื่องของพ่อมดชาวอังกฤษที่เป็นนักสัตว์วิเศษวิทยาแห่งโลกเวทย์มนต์ นิวท์ สคาแมนเดอร์ ที่เดินทางมาถึงนิวยอร์กในปี 1926 ในระหว่างที่สคาแมนเดอร์เดินทางไปรอบโลกเพื่อรวบรวมข้อมูลและช่วยเหลือเหล่าสัตว์วิเศษที่อาศัยอยู่ทั่วโลกเพื่อนำข้อมูลไปเขียนหนังสือ แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเหล่าสัตว์วิเศษของสคาแมนเดอร์ได้หลุดออกมาจากกระเป๋าเดินทาง สคาแมนเดอร์จึงต้องรีบตามหาสัตว์เหล่านั้นก่อนที่จะสร้างปัญหาอันใหญ่โตที่อาจส่งผลถึงความขัดแย้งระหว่างพ่อมดแม่มดและเหล่าโนเมจ (หรือมักเกิ้ล) ในเมืองนิวยอร์ก
- หนังเปิดเรื่องมาด้วยความรวดเร็ว อาจเพราะคิดว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่ดูนั้นได้รู้จักโลกเวทย์มนต์มาจาก Harry Potter กันหมดแล้ว จึงไม่เสียเวลาในการอธิบายอะไรซ้ำอีกต่อไป ในเวลาไม่นาน เราจะพบข้อมูลใหม่ที่หนังใส่เข้ามามากมายเพื่อให้เราได้จดจำ แนะนำว่าให้เตรียมตัวไปบ้างก็ดี
- สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด คือโลกเวทย์มนต์ที่โรว์ลิงสร้างขึ้นมานั้น ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังน่าสนใจและเป็นส่วยสำคัญที่สุดมาโดยตลอด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องล่าสุด ที่แม้จะไม่ใช่สถานที่ในอังกฤษแบบที่เราได้เห็นใน Harry Potter แต่เป็นนิวยอร์กแทน แม้จะคนละยุคสมัย แต่จินตนาการของโรว์ลิงก็ยังคงน่าตื่นตาตื่นใจและน่าหลงใหล แม้ว่าเราจะเคยไปเยือนโลกเวทย์มนต์มาแล้วถึง 8 ครั้งก็ตาม
- ต้องบอกตามตรงก่อนว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูสนุก และตอบโจทย์กับสิ่งที่เหล่ามักเกิ้ลที่เป็นแฟนขาประจำของบรรดาพ่อมดแม่มดอย่างเรา ๆต้องการจะเห็น ทั้งจินตนาการ โลกเวทย์มนต์ ซีจีสวย ๆ และเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่หากว่าคิดจะนำไปเปรียบเทียบกับ Harry Potter ก็คงยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะ ..
- เรื่องราวที่โรว์ลิงสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องราวใหญ่โตที่รอวันขยายเป็นหนังหลายภาคอย่างเห็นได้ชัด (ที่ไม่แน่ใจว่าทางผู้สร้างแพลนไว้ทั้งหมด 3 หรือ 5 ภาค) ในภาคแรกอย่างเรื่องนี้ จึงเป็นเพียงการเปิดประเด็นใหญ่ของเรื่อง แนะนำตัวละครใหม่ ๆ และพาไปเห็นโลกเวทย์มนต์ในยุคสมัยช่วงปี 1920
- เราจะสังเกตได้หลายต่อหลายครั้งว่าหนังค่อนข้างจะ “กั๊ก” ในการเล่าเรื่องอยู่พอสมควร เช่นในประเด็นของพ่อมดฝ่ายมืดที่ยิ่งใหญ่ในตอนนั้นอย่าง เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (โปรดลืมโวลเดอร์มอร์ไปก่อน) ที่หนังเปิดให้เห็นในฉากเปิด และทิ้งคาไว้แบบนั้น ก่อนมาตบท้าย .. และอีกหลายประเด็นที่ดูแล้วพอจะรู้ว่าหนังจงใจเล่าออกมาให้เรารู้แบบผิวเผินก่อน ยังไม่ให้รู้เยอะ ซึ่งชัดเจนว่าหลาย ๆประเด็นนั้นจงใจสานต่อในภาคต่อ ๆไปแทน
- ดังนั้นในหนังเรื่องนี้เราจึงได้เห็นภารกิจจับสัตว์วิเศษที่ออกมาสร้างความวุ่นวายของสคาแมนเดอร์เป็นส่วนใหญ่ ในเวลาสองชั่วโมงกว่า บวกกับพล็อตอื่น ๆแบบเป็นน้ำจิ้มตามที่ได้เขียนในหัวข้อก่อนหน้า (เพื่อสานต่อในภาคต่อไป)
- แม้ว่าจะดูกั๊ก ๆไปบ้าง แต่ยังยืนยันว่าหนังก็ยังคงดูสนุกอยู่ดี เพราะด้วยโลกเวทย์มนต์จากจินตนาการของโรว์ลิงนั้นทำงานดีมากกับความรู้สึกของคนดู บวกกับฝีมือของผู้กำกับเจ้าของสมญานามอย่าง ผู้กำกับที่ชื่อและค่าตัวปานกลาง แต่มีฝีมือคุมงานสเกลใหญ่ได้ อย่าง เดวิด เยตส์ ที่ก็พิสูจน์ให้เห็น และป่าวประกาศกับชาวมักเกิ้ลได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า ในตอนนี้ไม่มีใครคุ้นเคยและช่ำชองกับโลกเวทย์มนต์เท่ากูอีกแล้ว (เพราะกูกำกับหนังโลกเวทย์มนต์มาทั้งหมด 4 เรื่องแล้ว ไม่ช่ำชองก็ให้มันรู้ไปสิ …) ก็สร้างโลกเวทย์มนต์จากปลายปากกาออกมาเป็นภาพได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิม
- เป็นความรู้สึกเหมือนกับเราดูหนังไตรภาค The Hobbit (ที่สร้างจากนิยายเพียงเล่มเดียว แต่ขยายเป็นหนัง 3 ชั่วโมง 3 ภาค)ที่ก็ยังดูสนุกเหมือนเดิม ด้วยรายละเอียดต่าง ๆในมัชฌิมโลก และฝีมือการกำกับของปีเตอร์ แจ๊คสัน หากแต่ลองไปดูในตัวเรื่องราวหรือบทหนัง ก็จะพบว่ามันเป็นเหมือนเรือลอยอยู่ในมหาสมุทรที่เดินช้าเหมือนน้ำมันหมด.. แต่ก็เพียบพร้อมด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามในระหว่างทาง นี่เป็นสิ่งที่ Fantastic Beasts and Where to Find Them ก็ประสบปัญหาเดียวกัน
- ต่างกับ Harry Potter ที่สร้างจากหนังสือเล่มหนาภาคละเล่ม ที่ทางผู้สร้างต้องตัดแล้วตัดอีก เหลือเพียงแก่นเรื่องที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า มีจุดหมายปลายทางคือหนังสือนิยายที่เปรียบเสมือนไบเบิ้ลคอยชี้นำทางอยู่ หนังจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แข็งแรงในตัวเองในแต่ละภาค
- จุดที่ชอบเป็นพิเศษของหนังเรื่องนี้ คือหนังมีประเด็นที่พูดถึงความแตกต่างของเหล่าพ่อมดแม่มดและเหล่าโนเมจ (มักเกิ้ล) ที่แท้จริงแล้วจะพบว่าสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือความเป็นมนุษย์ มีความรู้สึกเหมือนที่ทุกคนมี ต่างก็แค่มีพลังพิเศษหรือไม่มี เราได้เห็นความสัมพันธ์ที่งดงามและน่าประทับใจระหว่างคนสองประเภทได้ชัดเจนขึ้นในหนังเรื่องนี้ ที่ไม่ค่อยได้รู้สึกและได้เห็นจากหนังตระกูล Harry Potter
- สุดท้าย ขอย้ำรอบที่สามว่า แต่นี่คือหนังที่ดูสนุก และไม่ใช่งานที่แย่หรือน่าติติงแต่อย่างใด และเหล่าแฟนคลับของเด็กชายผู้รอดชีวิตสามารถเข้าไปดูได้อย่างสบายใจ เพียงแต่เราได้เห็นข้อบกพร่องในเรื่องบทภาพยนตร์ ซึ่งดูเหมือนเป็นปัญหาปกติไปแล้วสำหรับหนังฮอลลิวูด ที่ใช้สูตร recycle จนเป็นสูตรสำเร็จ ที่ก็มักจะเจอปัญหานี้กันทุกเรื่องสิน่า
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB : Warner Bros. Pictures
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
รีวิว Fantastic Beasts and Where to Find Them: โลกที่สร้างโดย เจ. เค. โรว์ลิง
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
ได้เวลาย้อนกลับสู่โลกเวทย์มนต์กันอีกครั้ง หลังจากปิดตำนานพ่อมดเจ้าของสมญานาม เด็กชายผู้รอดชีวิต ไปเมื่อ 5 ปีก่อน ที่คราวนี้เจ. เค. โรว์ลิง ก็หวนกลับมาเล่าเรื่องพ่อมดแม่มดอีกครั้ง ด้วยการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ใน Harry Potter โดยอ้างอิงจากหนังสือในนิยายอย่าง Fantastic Beasts and Where to Find Them ที่เขียนโดย นิวท์ สคาแมนเดอร์ ที่เป็นหนังสือเรียนวิชาสัตว์วิเศษของเหล่าพ่อมดแม่มดในโรงเรียนนั้นเอง โดยโรว์ลิงก็ได้คิดเรื่องใหม่ทั้งหมด และลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตนเองเป็นครั้งแรก โดยยึดตัวละครอย่าง นิวท์ สคาแมนเดอร์ เป็นตัวละครนำในหนังชุดใหม่
หนังเป็นเรื่องของพ่อมดชาวอังกฤษที่เป็นนักสัตว์วิเศษวิทยาแห่งโลกเวทย์มนต์ นิวท์ สคาแมนเดอร์ ที่เดินทางมาถึงนิวยอร์กในปี 1926 ในระหว่างที่สคาแมนเดอร์เดินทางไปรอบโลกเพื่อรวบรวมข้อมูลและช่วยเหลือเหล่าสัตว์วิเศษที่อาศัยอยู่ทั่วโลกเพื่อนำข้อมูลไปเขียนหนังสือ แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเหล่าสัตว์วิเศษของสคาแมนเดอร์ได้หลุดออกมาจากกระเป๋าเดินทาง สคาแมนเดอร์จึงต้องรีบตามหาสัตว์เหล่านั้นก่อนที่จะสร้างปัญหาอันใหญ่โตที่อาจส่งผลถึงความขัดแย้งระหว่างพ่อมดแม่มดและเหล่าโนเมจ (หรือมักเกิ้ล) ในเมืองนิวยอร์ก
- หนังเปิดเรื่องมาด้วยความรวดเร็ว อาจเพราะคิดว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่ดูนั้นได้รู้จักโลกเวทย์มนต์มาจาก Harry Potter กันหมดแล้ว จึงไม่เสียเวลาในการอธิบายอะไรซ้ำอีกต่อไป ในเวลาไม่นาน เราจะพบข้อมูลใหม่ที่หนังใส่เข้ามามากมายเพื่อให้เราได้จดจำ แนะนำว่าให้เตรียมตัวไปบ้างก็ดี
- สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด คือโลกเวทย์มนต์ที่โรว์ลิงสร้างขึ้นมานั้น ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังน่าสนใจและเป็นส่วยสำคัญที่สุดมาโดยตลอด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องล่าสุด ที่แม้จะไม่ใช่สถานที่ในอังกฤษแบบที่เราได้เห็นใน Harry Potter แต่เป็นนิวยอร์กแทน แม้จะคนละยุคสมัย แต่จินตนาการของโรว์ลิงก็ยังคงน่าตื่นตาตื่นใจและน่าหลงใหล แม้ว่าเราจะเคยไปเยือนโลกเวทย์มนต์มาแล้วถึง 8 ครั้งก็ตาม
- ต้องบอกตามตรงก่อนว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูสนุก และตอบโจทย์กับสิ่งที่เหล่ามักเกิ้ลที่เป็นแฟนขาประจำของบรรดาพ่อมดแม่มดอย่างเรา ๆต้องการจะเห็น ทั้งจินตนาการ โลกเวทย์มนต์ ซีจีสวย ๆ และเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่หากว่าคิดจะนำไปเปรียบเทียบกับ Harry Potter ก็คงยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะ ..
- เรื่องราวที่โรว์ลิงสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องราวใหญ่โตที่รอวันขยายเป็นหนังหลายภาคอย่างเห็นได้ชัด (ที่ไม่แน่ใจว่าทางผู้สร้างแพลนไว้ทั้งหมด 3 หรือ 5 ภาค) ในภาคแรกอย่างเรื่องนี้ จึงเป็นเพียงการเปิดประเด็นใหญ่ของเรื่อง แนะนำตัวละครใหม่ ๆ และพาไปเห็นโลกเวทย์มนต์ในยุคสมัยช่วงปี 1920
- เราจะสังเกตได้หลายต่อหลายครั้งว่าหนังค่อนข้างจะ “กั๊ก” ในการเล่าเรื่องอยู่พอสมควร เช่นในประเด็นของพ่อมดฝ่ายมืดที่ยิ่งใหญ่ในตอนนั้นอย่าง เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ (โปรดลืมโวลเดอร์มอร์ไปก่อน) ที่หนังเปิดให้เห็นในฉากเปิด และทิ้งคาไว้แบบนั้น ก่อนมาตบท้าย .. และอีกหลายประเด็นที่ดูแล้วพอจะรู้ว่าหนังจงใจเล่าออกมาให้เรารู้แบบผิวเผินก่อน ยังไม่ให้รู้เยอะ ซึ่งชัดเจนว่าหลาย ๆประเด็นนั้นจงใจสานต่อในภาคต่อ ๆไปแทน
- ดังนั้นในหนังเรื่องนี้เราจึงได้เห็นภารกิจจับสัตว์วิเศษที่ออกมาสร้างความวุ่นวายของสคาแมนเดอร์เป็นส่วนใหญ่ ในเวลาสองชั่วโมงกว่า บวกกับพล็อตอื่น ๆแบบเป็นน้ำจิ้มตามที่ได้เขียนในหัวข้อก่อนหน้า (เพื่อสานต่อในภาคต่อไป)
- แม้ว่าจะดูกั๊ก ๆไปบ้าง แต่ยังยืนยันว่าหนังก็ยังคงดูสนุกอยู่ดี เพราะด้วยโลกเวทย์มนต์จากจินตนาการของโรว์ลิงนั้นทำงานดีมากกับความรู้สึกของคนดู บวกกับฝีมือของผู้กำกับเจ้าของสมญานามอย่าง ผู้กำกับที่ชื่อและค่าตัวปานกลาง แต่มีฝีมือคุมงานสเกลใหญ่ได้ อย่าง เดวิด เยตส์ ที่ก็พิสูจน์ให้เห็น และป่าวประกาศกับชาวมักเกิ้ลได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า ในตอนนี้ไม่มีใครคุ้นเคยและช่ำชองกับโลกเวทย์มนต์เท่ากูอีกแล้ว (เพราะกูกำกับหนังโลกเวทย์มนต์มาทั้งหมด 4 เรื่องแล้ว ไม่ช่ำชองก็ให้มันรู้ไปสิ …) ก็สร้างโลกเวทย์มนต์จากปลายปากกาออกมาเป็นภาพได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิม
- เป็นความรู้สึกเหมือนกับเราดูหนังไตรภาค The Hobbit (ที่สร้างจากนิยายเพียงเล่มเดียว แต่ขยายเป็นหนัง 3 ชั่วโมง 3 ภาค)ที่ก็ยังดูสนุกเหมือนเดิม ด้วยรายละเอียดต่าง ๆในมัชฌิมโลก และฝีมือการกำกับของปีเตอร์ แจ๊คสัน หากแต่ลองไปดูในตัวเรื่องราวหรือบทหนัง ก็จะพบว่ามันเป็นเหมือนเรือลอยอยู่ในมหาสมุทรที่เดินช้าเหมือนน้ำมันหมด.. แต่ก็เพียบพร้อมด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามในระหว่างทาง นี่เป็นสิ่งที่ Fantastic Beasts and Where to Find Them ก็ประสบปัญหาเดียวกัน
- ต่างกับ Harry Potter ที่สร้างจากหนังสือเล่มหนาภาคละเล่ม ที่ทางผู้สร้างต้องตัดแล้วตัดอีก เหลือเพียงแก่นเรื่องที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า มีจุดหมายปลายทางคือหนังสือนิยายที่เปรียบเสมือนไบเบิ้ลคอยชี้นำทางอยู่ หนังจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แข็งแรงในตัวเองในแต่ละภาค
- จุดที่ชอบเป็นพิเศษของหนังเรื่องนี้ คือหนังมีประเด็นที่พูดถึงความแตกต่างของเหล่าพ่อมดแม่มดและเหล่าโนเมจ (มักเกิ้ล) ที่แท้จริงแล้วจะพบว่าสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือความเป็นมนุษย์ มีความรู้สึกเหมือนที่ทุกคนมี ต่างก็แค่มีพลังพิเศษหรือไม่มี เราได้เห็นความสัมพันธ์ที่งดงามและน่าประทับใจระหว่างคนสองประเภทได้ชัดเจนขึ้นในหนังเรื่องนี้ ที่ไม่ค่อยได้รู้สึกและได้เห็นจากหนังตระกูล Harry Potter
- สุดท้าย ขอย้ำรอบที่สามว่า แต่นี่คือหนังที่ดูสนุก และไม่ใช่งานที่แย่หรือน่าติติงแต่อย่างใด และเหล่าแฟนคลับของเด็กชายผู้รอดชีวิตสามารถเข้าไปดูได้อย่างสบายใจ เพียงแต่เราได้เห็นข้อบกพร่องในเรื่องบทภาพยนตร์ ซึ่งดูเหมือนเป็นปัญหาปกติไปแล้วสำหรับหนังฮอลลิวูด ที่ใช้สูตร recycle จนเป็นสูตรสำเร็จ ที่ก็มักจะเจอปัญหานี้กันทุกเรื่องสิน่า
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB : Warner Bros. Pictures
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ