เห็น นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD) บมจ.การบินไทย ออกมาแถลงผลประกอบการบินไทยล่าสุดใน ไตรมาส 3 (Q3) ขาดทุนไป 836 ล้าน เมื่อเทียบกับสายการบินอื่นๆ อย่าง แอร์เอเชีย และบางกอกแอร์เวยส์ ที่มีกำไร 396.6 ล้าน และ 680.9 ล้านบาท เติบโตขึ้นมากว่า 20% ตามลำดับแล้ว ก็ให้น่าเป็นห่วงอนาคตสายการบินแห่งชาติสายนี้เสียจริง
เมื่อเจาะลึกลงไปพิจารณาไส้ในผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของการบินไทยแล้วก็ยิ่งน่าเป็นห่วง แม้ฝ่ายบริหารบินไทยจะระบุว่า มีผลขาดทุนลดลงจากปีก่อนถึง 80.3% จากที่เคยขาดทุน 4,239 ล้านบาท แต่ไส้ในของผลประกอบการที่ดีขึ้นนั้นมาจากการลดลงของราคาน้ำมันถึง 5,500 ล้าน หรือกว่า 33%และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 120 ล้าน ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเนื้อแท้ของการ Operation ของการบินไทยนั้นยังอยู่ในภาวะที่ขาดทุนบักโกรก
ขณะที่บริษัทเอเชียเอวิเอชั่น หรือ“ไทยแอร์เอเชีย” นั้น มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 อยู่ที่ 396.6 ล้านสูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อนที่มี 91 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 333% เช่นเดียวกับสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ ที่ผลประกอบการในระยะ 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิมากกว่า 680.9 ล้านบาท เติบโตขึ้นมากกว่า 20%
มันสะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง?
ยิ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่กล่าวถึงผลประกอบการของ BA ที่ดีขึ้นของบริษัทนี้ว่า เป็นผลมาจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตของผู้โดยสารในไตรมาสที่ 3 ของปี 59 อยู่ที่ 8.9% และมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 70.3% เพิ่มขึ้น 2.7 จุด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วก็ให้ยิ่งสะท้อนใจ
ขณะที่การบินไทยยังคงสาละวนอยู่กับการแก้ไขปัญหาภายในตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทที่คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือ “ซูเปอร์บอร์ด” ขีดเส้นทางเดินเอาไว้ให้ ยังคงเน้นการผ่าตัดองค์กรภายใน ปรับลดสวัสดิการ ปรับลดค่าใช้จ่ายตัดขายและปลดระวางเครื่องบิน จนถูกสหภาพบินไทยร้องแรกแหกกระเชอว่า ด้อยค่า ทรัพย์สินเครื่องบินสูงเกินจริง ทำให้ขาดทุนมาก เพราะล้มเหลวในการหารายได้จากทรัพย์สิน แต่สายการบินคู่แข่งกลับตีปีกมีกำรี้กำไรกันครึกโครม
มันสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวและเปราะบางภายในของการบินไทยได้เป็นอย่างดี แทบจะกล่าวได้ว่าการบินไทยวันนี้อยู่ในภาวะที่กล่าวได้ว่า “เจ็บจริง ตายจริง” อย่างแท้จริงแล้ว และหากยังคงปล่อยไว้ก็อาจจะเจริญรอยตามสายการบิน TWA, Pan America โดยเฉพาะ Japan Airline (JAL) ที่ในอดีตที่เคยประสบภาวะวิกฤติถึงขั้นล้มละลายมาแล้วเมื่อปี 2553 ด้วยแบกหนี้สินท่วมตัวกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 7 แสนล้าน จนต้องนำกิจการออกจากตลาดหลักทรัพย์และเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย รัฐบาลญี่ปุ่นต้องลงทุนเชื้อเชิญอดีตผู้บริหารมืออาชีพที่เคยปลุกปั้น Kyocera Corporation ให้เข้ามาฟื้นฟูกิจการให้จนสามารถผงาดกลับขึ้นมาบินได้อีกครั้งเมื่อ 3-4 ปีก่อน
การบินไทยนั้นได้ชื่อว่าเป็นรัฐวิสาหกิจที่ “ศึกหนักที่สุด” เพราะต้องเผชิญกับภาวะแข่งขันที่สูงมากนับแต่เกือบทุกประเทศเปิดเสรีทางการบิน Open Sky ไม่เหมือนรัฐวิสาหกิจอื่นที่ผูกขาดหรือได้เปรียบ หรืออย่าง บมจ. ปตท และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่หากินบนพื้นฐาน Cost Plus Model ปรับราคาตามการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันและพลังงานได้ทุกเมื่อ ความยิ่งใหญ่ขององค์กร พนักงาน และฝูงบินที่มีอยู่นับร้อยลำนั้นหาใช่เครื่องวัดประสิทธิภาพในการแข่งขัน แต่กลับกลายเป็นความอุ้ยอ้าย เทอะทะ เป็นต้นทุนสูง ที่ทำให้องค์กรปรับตัวไม่ทัน กลายเป็นความเสียเปรียบในการแข่งขัน
ก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2558 การบินไทยอยู่ในภาวะที่กล่าวได้ว่าเกือบล้มละลายมาแล้ว เพราะขาดทุนสะสมมหาศาล จนถึงขนาดที่ต้องบากหน้าไปขอให้รัฐและกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ฉุกเฉินนับหมื่นล้านจากสถาบันการเงินของรัฐมาประคับประคององค์กร หากเป็นคนป่วยก็ต้องบอกว่าถึงขั้นต้องปั๊มหัวใจในห้อง ICU มาแล้ว ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ซึ่งนั่นหมายถึงว่าการบินไทยจำเป็นต้องได้ผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาขับเคลื่อนองค์กรอย่างแท้จริง และควรเป็นผู้บริหารมืออาชีพประเภทนักการตลาดที่พิสูจน์แล้ว เพื่อให้สามารถจะนำพาองค์กรออกไปแข่งขันในสภาวะที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ผู้บริหารมืออาชีพที่ว่าต้องสามารถสร้างขวัญและกำลังใจปลุกขวัญพนักงานให้มีความฮึกเหิมที่จะช่วยกันลุกขึ้นมากอบกู้องค์กร สามารถสร้างจิตสำนึกร่วมในการฟื้นฟูกิจการ เฉกเช่นที่ JAL ประสบผลสำเร็จมาแล้ว
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นชี้ให้เห็นว่า วันนี้การคัดเลือกผู้บริหารการบินไทยครั้งนี้ ต้องเน้นมืออาชีพอย่างแท้จริง ไม่ใช่เน้นเอาพรรคพวก หรือเอาคนที่จะมารับใช้การเมือง แล้วทำตัวเป็นเจ้านายของพนักงาน ทำอะไรไม่เห็นหัวพนักงานได้อีกแล้ว!!!
แต่อย่างไรก็ตาม แค่เริ่มต้นกระบวนการสรรหาว่าที่ดีดีใหม่ ก็นัยว่ายังมีการสาดโคลนกันถึงพริกถึงขิงได้ซะขนาดนี้ เห็นทีงานนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว!! ควรที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง หรือคนการบินไทยและสหภาพการบินไทยจะแสวงหาและพูดความจริงว่า มีใครกำลังเล่นอะไรกันอย่างน่าเกลียด ขาดธรรมาภิบา เพียงเพื่อให้พวกพ้องตนหรือไม่และใครกันได้ประโยชน์จากเกมนี้ โดยเอาอนาคตของบริษัทเป็นเหยื่อ?
ขนาดบริหารแบบมีฝีมือจริงๆ ยังรอดยากยิ่งถ้าเล่นพรรคเล่นพวก การเมืองแทรกแซง ก็ยิ่งโอกาสเจ๊งหนักขึ้นแน่นอน!!!
ที่มา :
http://www.logisticstime.net/บินไทย-เจ็บจริง-ตายจริง/
บินไทย เจ็บจริง…ตายจริง!
เมื่อเจาะลึกลงไปพิจารณาไส้ในผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของการบินไทยแล้วก็ยิ่งน่าเป็นห่วง แม้ฝ่ายบริหารบินไทยจะระบุว่า มีผลขาดทุนลดลงจากปีก่อนถึง 80.3% จากที่เคยขาดทุน 4,239 ล้านบาท แต่ไส้ในของผลประกอบการที่ดีขึ้นนั้นมาจากการลดลงของราคาน้ำมันถึง 5,500 ล้าน หรือกว่า 33%และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 120 ล้าน ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเนื้อแท้ของการ Operation ของการบินไทยนั้นยังอยู่ในภาวะที่ขาดทุนบักโกรก
ขณะที่บริษัทเอเชียเอวิเอชั่น หรือ“ไทยแอร์เอเชีย” นั้น มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 อยู่ที่ 396.6 ล้านสูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อนที่มี 91 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 333% เช่นเดียวกับสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ ที่ผลประกอบการในระยะ 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิมากกว่า 680.9 ล้านบาท เติบโตขึ้นมากกว่า 20%
มันสะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง?
ยิ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่กล่าวถึงผลประกอบการของ BA ที่ดีขึ้นของบริษัทนี้ว่า เป็นผลมาจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตของผู้โดยสารในไตรมาสที่ 3 ของปี 59 อยู่ที่ 8.9% และมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 70.3% เพิ่มขึ้น 2.7 จุด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วก็ให้ยิ่งสะท้อนใจ
ขณะที่การบินไทยยังคงสาละวนอยู่กับการแก้ไขปัญหาภายในตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทที่คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือ “ซูเปอร์บอร์ด” ขีดเส้นทางเดินเอาไว้ให้ ยังคงเน้นการผ่าตัดองค์กรภายใน ปรับลดสวัสดิการ ปรับลดค่าใช้จ่ายตัดขายและปลดระวางเครื่องบิน จนถูกสหภาพบินไทยร้องแรกแหกกระเชอว่า ด้อยค่า ทรัพย์สินเครื่องบินสูงเกินจริง ทำให้ขาดทุนมาก เพราะล้มเหลวในการหารายได้จากทรัพย์สิน แต่สายการบินคู่แข่งกลับตีปีกมีกำรี้กำไรกันครึกโครม
มันสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวและเปราะบางภายในของการบินไทยได้เป็นอย่างดี แทบจะกล่าวได้ว่าการบินไทยวันนี้อยู่ในภาวะที่กล่าวได้ว่า “เจ็บจริง ตายจริง” อย่างแท้จริงแล้ว และหากยังคงปล่อยไว้ก็อาจจะเจริญรอยตามสายการบิน TWA, Pan America โดยเฉพาะ Japan Airline (JAL) ที่ในอดีตที่เคยประสบภาวะวิกฤติถึงขั้นล้มละลายมาแล้วเมื่อปี 2553 ด้วยแบกหนี้สินท่วมตัวกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 7 แสนล้าน จนต้องนำกิจการออกจากตลาดหลักทรัพย์และเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย รัฐบาลญี่ปุ่นต้องลงทุนเชื้อเชิญอดีตผู้บริหารมืออาชีพที่เคยปลุกปั้น Kyocera Corporation ให้เข้ามาฟื้นฟูกิจการให้จนสามารถผงาดกลับขึ้นมาบินได้อีกครั้งเมื่อ 3-4 ปีก่อน
การบินไทยนั้นได้ชื่อว่าเป็นรัฐวิสาหกิจที่ “ศึกหนักที่สุด” เพราะต้องเผชิญกับภาวะแข่งขันที่สูงมากนับแต่เกือบทุกประเทศเปิดเสรีทางการบิน Open Sky ไม่เหมือนรัฐวิสาหกิจอื่นที่ผูกขาดหรือได้เปรียบ หรืออย่าง บมจ. ปตท และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่หากินบนพื้นฐาน Cost Plus Model ปรับราคาตามการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันและพลังงานได้ทุกเมื่อ ความยิ่งใหญ่ขององค์กร พนักงาน และฝูงบินที่มีอยู่นับร้อยลำนั้นหาใช่เครื่องวัดประสิทธิภาพในการแข่งขัน แต่กลับกลายเป็นความอุ้ยอ้าย เทอะทะ เป็นต้นทุนสูง ที่ทำให้องค์กรปรับตัวไม่ทัน กลายเป็นความเสียเปรียบในการแข่งขัน
ก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2558 การบินไทยอยู่ในภาวะที่กล่าวได้ว่าเกือบล้มละลายมาแล้ว เพราะขาดทุนสะสมมหาศาล จนถึงขนาดที่ต้องบากหน้าไปขอให้รัฐและกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ฉุกเฉินนับหมื่นล้านจากสถาบันการเงินของรัฐมาประคับประคององค์กร หากเป็นคนป่วยก็ต้องบอกว่าถึงขั้นต้องปั๊มหัวใจในห้อง ICU มาแล้ว ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ซึ่งนั่นหมายถึงว่าการบินไทยจำเป็นต้องได้ผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาขับเคลื่อนองค์กรอย่างแท้จริง และควรเป็นผู้บริหารมืออาชีพประเภทนักการตลาดที่พิสูจน์แล้ว เพื่อให้สามารถจะนำพาองค์กรออกไปแข่งขันในสภาวะที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ผู้บริหารมืออาชีพที่ว่าต้องสามารถสร้างขวัญและกำลังใจปลุกขวัญพนักงานให้มีความฮึกเหิมที่จะช่วยกันลุกขึ้นมากอบกู้องค์กร สามารถสร้างจิตสำนึกร่วมในการฟื้นฟูกิจการ เฉกเช่นที่ JAL ประสบผลสำเร็จมาแล้ว
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นชี้ให้เห็นว่า วันนี้การคัดเลือกผู้บริหารการบินไทยครั้งนี้ ต้องเน้นมืออาชีพอย่างแท้จริง ไม่ใช่เน้นเอาพรรคพวก หรือเอาคนที่จะมารับใช้การเมือง แล้วทำตัวเป็นเจ้านายของพนักงาน ทำอะไรไม่เห็นหัวพนักงานได้อีกแล้ว!!!
แต่อย่างไรก็ตาม แค่เริ่มต้นกระบวนการสรรหาว่าที่ดีดีใหม่ ก็นัยว่ายังมีการสาดโคลนกันถึงพริกถึงขิงได้ซะขนาดนี้ เห็นทีงานนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว!! ควรที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง หรือคนการบินไทยและสหภาพการบินไทยจะแสวงหาและพูดความจริงว่า มีใครกำลังเล่นอะไรกันอย่างน่าเกลียด ขาดธรรมาภิบา เพียงเพื่อให้พวกพ้องตนหรือไม่และใครกันได้ประโยชน์จากเกมนี้ โดยเอาอนาคตของบริษัทเป็นเหยื่อ?
ขนาดบริหารแบบมีฝีมือจริงๆ ยังรอดยากยิ่งถ้าเล่นพรรคเล่นพวก การเมืองแทรกแซง ก็ยิ่งโอกาสเจ๊งหนักขึ้นแน่นอน!!!
ที่มา : http://www.logisticstime.net/บินไทย-เจ็บจริง-ตายจริง/