นายชวน หลีกภัย นั้น ได้รับฉายาจากสื่อว่า "ชวนเชื่องช้า"
เหตุเพราะในช่วงที่นายชวนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น
การทำงานของรัฐบาลชวน โดยเฉพาะตัวนายชวนเอง กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ ก็ช้าซะเหลือเกิน
นายชวนจะมีคำพูดตอบสื่อเวลาโดนสัมภาษณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวว่า
"ยังไม่ได้รับรายงาน"
เกิดเหตุการณ์ สถานการณ์อะไรขึ้นในบ้านเมือง พอผู้สื่อข่าวถาม
นายชวนก็จะตอบว่า "ยังไม่ได้รับรายงาน"
เรียกว่า นายชวนถนัดบริหารการเมืองมากกว่าบริหารบ้านเมือง (คุณสมบัติเฉพาะตัวของ ปชป.)
ต้องดูผลได้ผลเสียทางการเมืองก่อน ค่อยตัดสินใจ
หากดูแล้วได้ประโยชน์ทางการเมืองจึงทำ จึงพูด หากดูแล้วไม่ได้ประโยชน์ก็จะไม่ทำ
การบริหารบ้านเมืองจึงล่าช้า ไม่ทันการณ์ ไม่เกิดมรรคผลหรือรูปธรรมใด ๆ ในการทำงาน
จึงได้ฉายา "ชวนเชื่องช้า"
นอกจากฉายานี้แล้ว นายชวนยังได้ฉายาที่น่าประทับใจอีกฉายาครับ
นั่นคือฉายา "ช่างทาสี"
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น คือศิษย์กุฏิของนายชวน
อภิสิทธิ์ได้เป็นหัวหน้าพรรคก็เพราะบารมีนายชวน
ที่ทั้งผลักทั้งดันทั้งอุ้ม
(แต่นายชวนก็ทิ้งสุเทพไม่ได้ ถึงขนาดยอมร่วม กปปส. แม้จะทำให้ ปชป. เสียหาย)
ชวนเป็นอย่างไร อภิสิทธิ์ก็เป็นอย่างนั้น
ทั้งเรื่องการทำงาน ทั้งเรื่องการพูด และดูเหมือนจะพูดเก่งกว่า "ช่างทาสี" ซะด้วย
จนได้ฉายา "ดีแต่พูด"
ชวน กับ อภิสิทธิ์ จะมีลักษณะการทำงานเหมือนกันเด๊ะ ๆ
ใครจะทำอะไรข้าไม่รู้ ไม่สน แต่ข้าต้องได้ชื่อว่าเป็น "มิสเตอร์คลีน"
กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ในแต่ละเรื่อง กว่าจะลงมือทำในแต่ละเรื่อง
ก็แบบ งาไหม้ไปแล้ว ถั่วยังไม่สุก
จึงยากครับ หรือแทบไม่มีเลย ที่จะเห็นนายชวน หรืออภิสิทธิ์ ตัดสินใจสั่งการอะไรแบบฉึบฉับ
แต่จะเห็น "คำพูด" ปลิวว่อน อ้างนั่นอ้างนี่สารพัดด้วยวาทกรรมสวยหรู
หากตัดสินใจฉับ จะเห็นความผิดพลาดในการทำงานของอาจารย์-ลูกศิษย์คู่นี้ทันที
นายชวนนี่ ที่ยังฝังใจประชาชนก็คือ หมากัดชาวบ้าน
ส่วนอภิสิทธิ์ ก็ 99 ศพ บาดเจ็บสองพัน
ปี 53 กว่าอภิสิทธิ์จะลงพื้นที่ดูน้ำท่วมได้ ก็ท่วมผ่านไปเป็นเดือน
พอลงพื้นที่ช้า ก็หันมาแขวะสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่าแย่งซีน
เพราะสรยุทธลงพื้นที่รายงานข่าวน้ำท่วมครึกโครมเป็นเดือน ๆ ไปแล้ว
ปี 59 กว่าอภิสิทธิ์ และ ปชป. จะขยับเรื่องข้าว ยิ่งลักษณ์ก็นำหน้าไปไกลแล้ว
หรือแม้กระทั่งเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ
ที่ใครต่อใครเขาก็ออกมาแสดงจุดยืนกันครบถ้วนไปนานนม แต่อภิสิทธิ์ยังไม่ยอมแสดงจุดยืนอะไร
จนกระทั่งเห็นว่ากระแสไม่รับร่างรัฐธรรมนูญมาแรง ไม่น่าผ่านประชามติ
นั่นแหละอภิสิทธิ์ถึงออกมาพูด แถลงจุดยืน(อันไม่มี หรือมีหลายจุด) ว่าไม่เห็นด้วย ไม่รับร่าง
คงหวังผลทางการเมืองเต็ม ๆ
แต่ผิดคาด
เรื่องข้าว ตั้งแต่ บก.ลายจุดทำข้าวถุง ก็โดน ปชป. แขวะ โจมตี
มาถึงยิ่งลักษณ์ ปชป. ก็โจมตี
แต่เพราะกระแสราคาข้าวตกต่ำเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ การขัดขวางการช่วยเหลือจึงทำไม่ได้
(ไม่เหมือน บก.ลายจุดที่โดนเข้าไปหลายดอก เพราะตอนนั้น แม้ราคาต่ำ แต่ไม่ต่ำรุนแรงเหมือนช่วงนี้
การขัดขวาง โจมตี จึงได้ผล จึงสามารถทำได้ไม่ดูน่าเกลียด)
และเมื่อกระแสช่วยเหลือชาวนามาแรง
อภิสิทธิ์และ ปชป. จึงออกแอคชั่นทันที ไม่ยอมพลาดผลประโยชน์ทางการเมือง
เพราะเอาแต่เล่นการเมือง ดีแต่พูด เชี่ยวชาญในการใช้วาทกรรมเอาดีใส่ตัว ยัดชั่วคนอื่น
อะไรที่เป็นมรรคเป็นผล เป็นรูปธรรม เป็นนโยบายชัด ๆ เป็นผลงานเนื้อ ๆ ของ ปชป. จึงไม่มี
รอแต่ว่า จะส่งผลทางการเมืองอย่างไรค่อยตัดสินใจ
เมื่อมาเจอ "แม้ว" ที่ฉึบฉับ รวดเร็ว กล้าตัดสินใจ กล้าลงมือทำ
ปชป. จึงกลายเป็นพรรคการเมืองตกยุค ต้องเล่นนอกเกม อาศัยอำนาจนอกระบบ
เพื่อหาทางเอาชนะทางการเมือง โดยไม่สนใจว่า จะส่งผลอย่างไรต่อบ้านเมือง
คิดไม่เป็น ทำไม่ได้ ดีแต่พูด
เป็นบุคลิก เป็นเอกลักษณ์ ที่เจ้าสำนักอย่างนายชวนถ่ายทอดให้ศิษย์ก้นกุฏิอย่างอภิสิทธิ์
จารย์อย่างไร ศิษย์อย่างนั้น
"ถอดแบบ" กันออกมาเด๊ะ
ปอลิง. ส่วนใครจะถามหาลุงกำนันว่าหายไปไหน ไม่เห็นออกมาช่วยชาวนา นั้น
ขอบอกว่าช่วงนี้ลุงกำนันไม่ว่างครับ ไม่มีเวลา
ขืนออกมา โดนทวงเงินช่วยชาวนาสิว่าตอนนี้อยู่กับใคร
ทำให้นึกถึงคำว่า "ถอดแบบ"
เหตุเพราะในช่วงที่นายชวนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น
การทำงานของรัฐบาลชวน โดยเฉพาะตัวนายชวนเอง กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ ก็ช้าซะเหลือเกิน
นายชวนจะมีคำพูดตอบสื่อเวลาโดนสัมภาษณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวว่า
"ยังไม่ได้รับรายงาน"
เกิดเหตุการณ์ สถานการณ์อะไรขึ้นในบ้านเมือง พอผู้สื่อข่าวถาม
นายชวนก็จะตอบว่า "ยังไม่ได้รับรายงาน"
เรียกว่า นายชวนถนัดบริหารการเมืองมากกว่าบริหารบ้านเมือง (คุณสมบัติเฉพาะตัวของ ปชป.)
ต้องดูผลได้ผลเสียทางการเมืองก่อน ค่อยตัดสินใจ
หากดูแล้วได้ประโยชน์ทางการเมืองจึงทำ จึงพูด หากดูแล้วไม่ได้ประโยชน์ก็จะไม่ทำ
การบริหารบ้านเมืองจึงล่าช้า ไม่ทันการณ์ ไม่เกิดมรรคผลหรือรูปธรรมใด ๆ ในการทำงาน
จึงได้ฉายา "ชวนเชื่องช้า"
นอกจากฉายานี้แล้ว นายชวนยังได้ฉายาที่น่าประทับใจอีกฉายาครับ
นั่นคือฉายา "ช่างทาสี"
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น คือศิษย์กุฏิของนายชวน
อภิสิทธิ์ได้เป็นหัวหน้าพรรคก็เพราะบารมีนายชวน
ที่ทั้งผลักทั้งดันทั้งอุ้ม
(แต่นายชวนก็ทิ้งสุเทพไม่ได้ ถึงขนาดยอมร่วม กปปส. แม้จะทำให้ ปชป. เสียหาย)
ชวนเป็นอย่างไร อภิสิทธิ์ก็เป็นอย่างนั้น
ทั้งเรื่องการทำงาน ทั้งเรื่องการพูด และดูเหมือนจะพูดเก่งกว่า "ช่างทาสี" ซะด้วย
จนได้ฉายา "ดีแต่พูด"
ชวน กับ อภิสิทธิ์ จะมีลักษณะการทำงานเหมือนกันเด๊ะ ๆ
ใครจะทำอะไรข้าไม่รู้ ไม่สน แต่ข้าต้องได้ชื่อว่าเป็น "มิสเตอร์คลีน"
กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ในแต่ละเรื่อง กว่าจะลงมือทำในแต่ละเรื่อง
ก็แบบ งาไหม้ไปแล้ว ถั่วยังไม่สุก
จึงยากครับ หรือแทบไม่มีเลย ที่จะเห็นนายชวน หรืออภิสิทธิ์ ตัดสินใจสั่งการอะไรแบบฉึบฉับ
แต่จะเห็น "คำพูด" ปลิวว่อน อ้างนั่นอ้างนี่สารพัดด้วยวาทกรรมสวยหรู
หากตัดสินใจฉับ จะเห็นความผิดพลาดในการทำงานของอาจารย์-ลูกศิษย์คู่นี้ทันที
นายชวนนี่ ที่ยังฝังใจประชาชนก็คือ หมากัดชาวบ้าน
ส่วนอภิสิทธิ์ ก็ 99 ศพ บาดเจ็บสองพัน
ปี 53 กว่าอภิสิทธิ์จะลงพื้นที่ดูน้ำท่วมได้ ก็ท่วมผ่านไปเป็นเดือน
พอลงพื้นที่ช้า ก็หันมาแขวะสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่าแย่งซีน
เพราะสรยุทธลงพื้นที่รายงานข่าวน้ำท่วมครึกโครมเป็นเดือน ๆ ไปแล้ว
ปี 59 กว่าอภิสิทธิ์ และ ปชป. จะขยับเรื่องข้าว ยิ่งลักษณ์ก็นำหน้าไปไกลแล้ว
หรือแม้กระทั่งเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ
ที่ใครต่อใครเขาก็ออกมาแสดงจุดยืนกันครบถ้วนไปนานนม แต่อภิสิทธิ์ยังไม่ยอมแสดงจุดยืนอะไร
จนกระทั่งเห็นว่ากระแสไม่รับร่างรัฐธรรมนูญมาแรง ไม่น่าผ่านประชามติ
นั่นแหละอภิสิทธิ์ถึงออกมาพูด แถลงจุดยืน(อันไม่มี หรือมีหลายจุด) ว่าไม่เห็นด้วย ไม่รับร่าง
คงหวังผลทางการเมืองเต็ม ๆ
แต่ผิดคาด
เรื่องข้าว ตั้งแต่ บก.ลายจุดทำข้าวถุง ก็โดน ปชป. แขวะ โจมตี
มาถึงยิ่งลักษณ์ ปชป. ก็โจมตี
แต่เพราะกระแสราคาข้าวตกต่ำเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ การขัดขวางการช่วยเหลือจึงทำไม่ได้
(ไม่เหมือน บก.ลายจุดที่โดนเข้าไปหลายดอก เพราะตอนนั้น แม้ราคาต่ำ แต่ไม่ต่ำรุนแรงเหมือนช่วงนี้
การขัดขวาง โจมตี จึงได้ผล จึงสามารถทำได้ไม่ดูน่าเกลียด)
และเมื่อกระแสช่วยเหลือชาวนามาแรง
อภิสิทธิ์และ ปชป. จึงออกแอคชั่นทันที ไม่ยอมพลาดผลประโยชน์ทางการเมือง
เพราะเอาแต่เล่นการเมือง ดีแต่พูด เชี่ยวชาญในการใช้วาทกรรมเอาดีใส่ตัว ยัดชั่วคนอื่น
อะไรที่เป็นมรรคเป็นผล เป็นรูปธรรม เป็นนโยบายชัด ๆ เป็นผลงานเนื้อ ๆ ของ ปชป. จึงไม่มี
รอแต่ว่า จะส่งผลทางการเมืองอย่างไรค่อยตัดสินใจ
เมื่อมาเจอ "แม้ว" ที่ฉึบฉับ รวดเร็ว กล้าตัดสินใจ กล้าลงมือทำ
ปชป. จึงกลายเป็นพรรคการเมืองตกยุค ต้องเล่นนอกเกม อาศัยอำนาจนอกระบบ
เพื่อหาทางเอาชนะทางการเมือง โดยไม่สนใจว่า จะส่งผลอย่างไรต่อบ้านเมือง
คิดไม่เป็น ทำไม่ได้ ดีแต่พูด
เป็นบุคลิก เป็นเอกลักษณ์ ที่เจ้าสำนักอย่างนายชวนถ่ายทอดให้ศิษย์ก้นกุฏิอย่างอภิสิทธิ์
จารย์อย่างไร ศิษย์อย่างนั้น
"ถอดแบบ" กันออกมาเด๊ะ
ปอลิง. ส่วนใครจะถามหาลุงกำนันว่าหายไปไหน ไม่เห็นออกมาช่วยชาวนา นั้น
ขอบอกว่าช่วงนี้ลุงกำนันไม่ว่างครับ ไม่มีเวลา
ขืนออกมา โดนทวงเงินช่วยชาวนาสิว่าตอนนี้อยู่กับใคร