สามก๊กฉบับลายคราม
โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่
ตอนที่ ๕ ขวากหนามตำใจ
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อโจโฉแตกทัพมาจากเมืองกังตั๋งนั้น เป็น พ.ศ.๗๕๑ โจโฉมีอายุประมาณ ๕๔ ปี ใกล้จะเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั่วทั้งอาณาจักรได้ตามความปรารถนา ยังจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามต่อไปอีก
หลังจากที่ได้ทำนุบำรุงทแกล้วทหารที่บอบช้ำจากสงครามคราวก่อน จนมีความเข้มแข็งเหมือนเดิมแล้ว โจโฉก็ตั้งใจจะไปตีเมืองกังตั๋งเป็นการแก้ตัวอีก แต่ยังห่วงหลัง เกรงม้าเท้งศัตรูเก่า ที่เคยร่วมขบวนขบถครั้งก่อน จะแอบมาตีเมืองฮูโต๋ จึงหาทางกำจัดให้สิ้นห่วงเสียก่อน ด้วยการทำ รับสั่งฮ่องเต้เกณฑ์ให้เมืองเสเหลียงจัดกำลังทหารเข้าร่วมรบกับเมืองกังตั๋งด้วย แต่ให้ม้าเท้งเข้ามาปรึกษาราชการในเมืองฮูโต๋ก่อน
ม้าเท้งก็ยกทหารมาพอประมาณ เพราะไม่ไว้ใจว่าโจโฉจะมาไม้ไหน และเอาบุตรชายมาด้วยสองคน กับหลานอีกคนหนึ่งมาด้วย โจโฉก็ให้ขุนนางชื่ออุยกุ๋ยออกไปต้อนรับ แต่ให้พักทหารไว้นอกเมืองก่อน แล้วจะเอาเสบียงไปส่งให้ และเชิญให้ม้าเท้งเข้ามาเฝ้าฮ่องเต้
แต่ในเวลากลางคืนนั้นเอง เบียวเต๊ก น้องเมียของอุยกุ๋ย ก็เข้ามาหาโจโฉเล่าความว่า อุยกุ๋ยที่ใช้ไปนั้นกลับคบคิดกับม้าเท้ง จะทำร้ายโจโฉเมื่อออกไปพบที่นอกเมือง และอุยกุ๋ยจะสนับสนุนอยู่ในเมือง
โจโฉจึงตามตัวนายทหารเอกมาสี่คน สั่งให้คุมทหารออกไปพบม้าเท้งพรุ่งนี้ แต่ให้แต่งเครื่องยศอย่างตนออกไปพร้อมด้วยธงประจำตำแหน่งมหาอุปราช แยกออกเป็นสี่กองปีกซ้ายขวา กองกลางและกองหนุน เมื่อม้าเท้งจะเข้าโจมตีก็ให้ล้อมจับม้าเท้งให้ได้
ถึงวันรุ่งขึ้นนายทหารเอกทั้งสี่นายก็ออกไปทำการตามสั่ง แล้วก็จับตัวม้าเท้งกับม้าฮิวมามอบให้ และรายงานว่าทั้งสามคนยกเข้าโจมตีทหารของตน จึงให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ถูกม้าเทียดตาย จับสองพ่อลูกมาได้ ส่วนม้าต้ายหลานม้าเท้งนั้นหนีรอดไปได้ โจโฉก็เอาตัวอุยกุ๋ยมาสอบสวนต่อหน้าม้าเท้ง อุยกุ๋ยก็ไม่รับและบอกม้าเท้งว่าไม่ต้องกลัว เราไม่มีความผิด
โจโฉจึงเอาตัวเบียวเต๊กมายืนยัน เบียวเต๊กก็บอกว่า นางลิซุนเอี๋ยง ภรรยาน้อยของอุยกุ๋ยเป็นคนเล่าให้ฟังตามที่ตนมาแจ้งแก่โจโฉนั้น ทั้งอุยกุ๋ยและม้าเท้งก็ไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร ม้าเท้งจึงด่า อุยกุ๋ยว่าไอ้คนหลงเมีย ทำให้เสียการสำคัญไปจนได้
โจโฉก็ให้เอาตัวจำเลยทั้งสามไปประหารชีวิตเสีย แล้วออกประกาศไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ว่า ม้าเท้งกับลูกหลานเป็นขบถ ถูกจับได้และประหารไปแล้ว เหลือแต่ม้าต้าย ให้นายด่านทั้งปวงติดตามจับตัวมาส่ง จะได้รับรางวัล แล้วก็บอกกับเบียวเต๊กว่า การครั้งนี้มีความชอบเป็นอันมาก อยากได้สิ่งใดจะให้ทุกอย่าง เบียวเต๊กก็ว่าไม่อยากได้ยศศักดิ์ประการใด ขอแต่นางลิซุนเอี๋ยงภรรยาน้อยของอุยกุ๋ยเท่านั้น
โจโฉก็ว่านางลิซุนเอี๋ยงเป็นคนชั่ว ไม่รู้จักคุณสามี พี่เขยของตัวก็ต้องตายเพราะมัน แล้วจะเอามาเลี้ยงเป็นภรรยานั้นไม่ควร เบียวเต๊กก็สารภาพว่าตนกับนางลิซุนเอี๋ยงได้ลักลอบเป็นชู้กัน นางจึงเอาความลับของสามีมาเล่าให้ฟัง
คราวนี้โจโฉกลับโกรธจนหนวดสั่นจึงว่าไว้ตามสำนวนของหลวงว่า
“ ตัวเป็นน้องภรรยาเขา บังอาจทำชู้กับภรรยาน้อยของพี่เขย แล้วคิดอ่านล้างชีวิตเขาเสีย ด้วยประสงค์หญิงผู้เดียว ตัวเป็นคนมิได้มีสัตย์กตัญญู ถ้าเราไม่เอาโทษบัดนี้ คนทั้งปวงจะดูเยี่ยงอย่างสืบไป “
โจโฉจึงสั่งให้เอาตัวเบียวเต๊กและพรรคพวกพี่น้อง กับภรรยาและญาติพี่น้องของอุยกุ๋ย ไปประหารเสียให้หมดทั้งสองโคตร.
เมื่อโจโฉฆ่าม้าเท้งสำเร็จแล้วก็โล่งใจ เตรียมจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ก็ได้รับ รายงานว่า ม้าเฉียวบุตรชายคนโตของม้าเท้ง กับหันซุยเพื่อนของม้าเท้ง ยกทัพมาตีเมืองเตียงฮันได้แล้ว เจ้าเมืองเตียงฮันหนีมาอยู่ที่ด่านตงก๋วน ม้าเฉียวก็ยกตามมาที่ด่านนี้แล้ว โจโฉจึงให้โจหองคุมทหารหมื่นหนึ่งไปช่วยด่านตงก๋วน ให้รักษาไว้ให้ได้ถึงสิบวัน แล้วตนเองจะยกทหารตามไปช่วย
พอโจโฉยกกองทัพออกจากเมืองฮูโต๋ในวันที่เก้าไปได้ไม่นาน ก็เจอกับโจหองและนายทหารเอกอีกสามนายพาทหารแตกทัพสวนทางมา โจโฉก็ว่าสั่งแล้วให้รักษาค่ายไว้ให้ได้สิบวัน ทำไมจึงแตกพ่ายมา โจหองก็ว่าม้าเฉียวมันให้ทหารออกมาด่าพ่อล่อแม่ ลำเลิกโคตรตระกูลโจทุกวันทนไม่ไหว วันที่สิบก็เลยยกทหารออกไปสู้กับมัน แต่ม้าเฉียวมันเก่งกว่าก็เลยต้องถอยหนีมา โจโฉก็โกรธมากให้เอาตัวโจหองไปประหารเสีย แต่บรรดานายทหารช่วยกันขอร้องไว้ โจโฉจึงยกโทษให้
เมื่อโจโฉมาตั้งค่ายอยู่ใกล้ด่านตงก๋วนแล้ว ก็ออกไปเผชิญหน้ากับม้าเฉียว โจโฉเห็นม้าเฉียวเป็นหนุ่มรูปงามคมสัน ไหล่ผาย เอวกลม หน้าขาว ปากแดง ห่มเกราะเงิน ใส่หมวกขาว ขี่ม้าถือทวนเคียงข้างด้วยนายทหารเอกสองคนซ้ายขวา ก็มีความเอ็นดูจึงเปิดฉากเจรจาด้วย แต่ม้าเฉียวไม่ยอมฟังเสียง ความอาฆาตแค้นที่โจโฉฆ่าบิดาและน้องของตนมันอัดอั้นตันใจ จึงลุยเข้ารบอย่างบ้าคลั่ง ฆ่านายทหารเอกของโจโฉตายไปคนหนึ่งแล้วก็นำทหารตลุยเข้าไปจะเล่นงานแม่ทัพ
โจโฉก็เผ่นกลับหลัง ได้ยินเสียงม้าเฉียวร้องสั่งทหารว่า อ้ายใส่เกราะแดงนั้นแหละเอาตัวให้ได้ โจโฉก็ถอดเกราะทิ้งเสีย พอหนีต่อไปก็ได้ยินเสียงม้าเฉียวอีกว่า อ้ายหนวดยาวนั่นแหละจับให้ได้ โจโฉก็เอากระบี่ตัดหนวดทิ้งเสีย ยังไม่พ้นก็ได้ยินอีกว่า อ้ายหนวดสั้นนั่นแหละตัวร้าย โจโฉก็เอาผ้าแพรห่อคางไว้ พอดีเหลียวมาเห็น ม้าเฉียวถึงตัวก็ตกใจพลัดลงจากม้า วิ่งเข้าไปแอบหลังต้นไม้ ม้าเฉียวก็ควบม้าเข้ามาแทง เผอิญโจโฉวิ่งหนีไปพ้นทวนจึงปักต้นไม้อยู่ พอม้าเฉียวชักทวนออกมาได้โจหองเข้ามาสกัดหน้าไว้ แล้วรบปะทะอยู่ได้ห้าสิบเพลง แฮหัวเอี๋ยนก็เข้ามาช่วย ม้าเฉียวล้ำหน้าทหารมามากเหลือตัวคนเดียวจึงหันม้ากลับไป โจโฉจึงรอดตัววิ่งเข้าค่ายไป คราวนี้โจหองจึงมีความชอบมาก
วันหลังพอโจโฉหายเหนื่อยแล้ว ก็ให้ทหารเอกคอยตั้งรับม้าเฉียวไว้ ตนเองพาทหารยกอ้อมไปต่อเรือที่แม่น้ำอุยโห ทางทิศตะวันออกของด่านตงก๋วน แต่พอต่อเรือเสร็จบรรทุกทหารไปขึ้นบกหลังด่าน ก็ถูกม้าเฉียวมาดักโจมตีอีก ทหารกำลังจะขึ้นจากเรือก็ล้มตายระส่ำระสาย ม้าเฉียวก็ไล่ฆ่าฟันทหารเลวบุกเข้ามาจะถึงตัวโจโฉ เคาทูนายทหารองครักษ์ก็ตกใจ โดดเข้าอุ้มโจโฉลงเรือค้ำออกจากฝั่งได้สามสี่วาม้าเฉียวก็มาถึงริมฝั่ง ให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ดังห่าฝน โจโฉก็กลัวตัวสั่นวิ่งเข้าแอบหลังองครักษ์ เคาทู ก็เอาเบาะม้าคลุมตัวโจโฉไว้ ตนเองเอากระบี่คอยปัดป้องลูกเกาทัณฑ์ จนข้ามฝั่งแม่น้ำไปได้ ขึ้นบกที่เมืองอุยหลำ ม้าเฉียวก็ยังพาทหารลงเรือตามมาอีก พอขึ้นบกเจ้าเมืองอุยหลำก็ต้อนโคกระบือออกมาปะทะทหารม้าเฉียว โจโฉจึงรอดตัวไปอีกครั้ง
เมื่อกลับมาถึงค่ายแล้วจึงเห็นว่ามีปลายเหล็กลูกเกาทัณฑ์ ติดเกราะของเคาทูอยู่เป็นอันมาก ก็สรรเสริญว่า ครั้งนี้แม้นมิได้เคาทู ที่ไหนตนจะมีชีวิตรอดกลับมาถึงค่ายได้ แล้วก็เตรียมวางแผนสู้รบกับม้าเฉียวต่อไป โดยไม่ย่อท้อ.
เมื่อโจโฉหนีรอดมาจากฝีมือม้าเฉียวแล้ว ก็ให้ทหารขุดดินเป็นสนามเพลาะรอบค่าย ให้ลึกสองวา เอาไม้ขวากปักในคู แล้วเอาไม้ขัดแตะปิดปากคูเอาดินเกลี่ยกลบมิให้เห็นขัดแตะที่รองอยู่ข้างล่าง แล้วให้ทหารในค่ายเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้ให้พร้อม
วันรุ่งขึ้นหันซุยมิตรสนิทของม้าเท้ง ซึ่งม้าเฉียวนับถือเหมือนบิดา ก็ยกทหารมาตีค่ายของโจโฉ โดยมีบังเต๊กทหารเอกของม้าเฉียวคุมกองหน้า โจโฉก็ส่งทหารออกไปรับข้าศึกนอกค่าย แล้วก็แกล้งถอยร่นกลับมา ทหารของบังเต๊กไล่ตามมาก็ตกลงไปในคู โดนขวากบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉก็คุมทหารไล่ฆ่าฟันทหารที่เหลืออยู่ แต่บังเต๊กซึ่งตกลงไปในคูนั้นไม่เป็นอันตราย เพราะใส่เกราะเหล็ก กลับโจนขึ้นจากคูเอาดาบฟันนายทหารของโจโฉแล้วชิงม้าไปได้ จึงพาหันซุยฟันฝ่าออกจากที่ล้อมจะ กลับไปด่านตงก๋วน โจโฉก็คุมทหารไล่ตามมา พอดีม้าเฉียวยกทหารหนุนเข้ามาช่วยแก้เอาหันซุยและบังเต๊กกลับไปได้
จากนั้นม้าเฉียวก็คุมทหารเข้าปล้นค่ายของโจโฉทุกวัน แต่โจโฉก็เตรียมการรับมือไว้เต็มที่ จึงไม่มีใครเสียทีใคร ม้าเฉียวก็ไม่ย่อท้อที่จะรบกับโจโฉ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ตีค่ายโจโฉแตกต้องถอยไปประมาณห้าสิบเส้น ม้าเฉียวก็ตามไปติด ๆ โจโฉไม่มีเวลาตั้งค่ายก็จัดขบวนตั้งรับอยู่กลางแจ้ง เมื่อม้าเฉียวไปถึงเคาทูก็ออกมายืนม้าหน้าทหารพร้อมที่จะสู้กับม้าเฉียว ส่วน ม้าเฉียวนั้นรู้กิตติศัพท์ถึงความทรหดอดทนของเคาทู แต่เพิ่งเห็นตัวถนัด จึงยังไม่ยอมรบด้วย และพาทหารกลับเข้าค่าย
ในคืนนั้นเคาทูก็ให้ทหารถือหนังสือไปหาม้าเฉียวว่า พรุ่งนี้เช้าให้ออกมารบกันให้เห็นฝีมือเสียที ม้าเฉียวก็รับคำท้าและยกทหารออกมาแต่เช้า ทั้งสองสู้กันได้ประมาณร้อยเพลง ก็ยังมิได้เพลี่ยงพล้ำแก่กัน จนม้าทั้งสองอ่อนกำลังลง ต่างก็หันกลับไปเปลี่ยนม้าใหม่ ส่วนเคาทูนั้นถึงกับถอดเกราะออกไปแต่ตัวเปล่า คราวนี้สู้กันอีกสามสิบเพลง ถึงขั้นประชิดตัว ทั้งสองฝ่ายก็กลัวพวกของตนจะเสียที จึงส่งนายทหารเอกออกมาช่วย จึงกลายเป็นการตะลุมบอนหมู่ ไม่รู้ใครเป็นใคร แล้วต่างก็แยกกันกลับเข้าค่าย โดยมีลูกเกาทัณฑ์ติดหลังเคาทูไปสองดอก แต่ก็ไม่เป็นอันตราย
เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ไม่เพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่กัน หันซุยก็คิดจะหย่าศึกกันเสียก่อน จึงมีหนังสือไปถึงโจโฉว่าบัดนี้ถึงฤดูหนาวแล้ว ขอให้ต่างเลิกทัพกลับไปก่อน โจโฉก็ตอบตกลงและขอเชิญหันซุยออกไปสนทนากันก่อนจากกัน เมื่อทั้งสองพาทหารออกมาเจรจากันกลางสนามรบนั้น โจโฉก็ท้าวความไปถึงความหลังเมื่อครั้งหันซุยยังรับราชการอยู่ในเมืองหลวง หันซุยก็คุยเพลินจนถึงบ่ายจึง ร่ำลากันไป
โจโฉกลับเข้ามาในค่ายแล้วก็ปรึกษากับกุนซือ วางแผนให้หันซุยกับม้าเฉียวแตกคอกัน โดยเอากระดาษเปล่าใส่ซอง แล้วให้ทหารถือไปให้หันซุยกำชับว่าเป็นหนังสือลับ ม้าเฉียวชักจะสงสัยจึงขอดูก็เห็นแต่กระดาษเปล่า หันซุยก็งงว่าโจโฉวางกลอุบายอะไร รุ่งเช้าจึงขี่ม้าออกไปถึงหน้าค่ายโจโฉเพื่อถามให้รู้ความ ม้าเฉียวก็ตามไปด้วย โจโฉก็ให้ทหารออกมาบอกหันซุยว่า มหาอุปราชให้มากำชับท่านว่าหนังสือซึ่งให้ไปนั้น อย่าแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ แล้วก็กลับเข้าค่ายไป
ม้าเฉียวก็เชื่อว่าหันซุยแปรพักตร์แน่แล้ว เลยเกิดวิวาทกันขึ้น ทหารก็แบ่งออกเป็นสองฝ่ายรบพุ่งกันเอง หันซุยถูกม้าเฉียวฟันแขนขาด ต้องหนีเข้ามาพึ่งโจโฉตามกลอุบายที่ทำไว้ โจโฉจึงยกทหารเข้าตีค่ายม้าเฉียวจนแตกกระเจิง ตัวม้าเฉียวต้องหนีเตลิดไปกับบังเต๊กทหารเอก และม้าต้ายผู้น้องกับทหารเพียงสามสิบคนเท่านั้น โจโฉจึงแต่งตั้งให้หันซุยผู้พิการเป็นเจ้าเมืองเสเหลียง สืบแทนม้าเฉียวต่อไป.
เวลาล่วงไปอีกประมาณสี่ปี ก็มีขุนนางผู้ใหญ่ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า โจโฉมหาอุปราชนั้นมีความชอบมาก สมควรเลื่อนขึ้นเป็นที่วุยก๋ง ซึ่งมีเครื่องยศเก้าประการคือ ให้แต่งตัวอย่างลูกหลวง นั่งรถเทียมม้าแปดม้า ให้มีดนตรีแตรสังข์ประโคมเช้าเย็น บ้านเรือนที่อยู่ให้ทาชาดแดงอย่างเรือนหลวง และมีท้องพระโรงสำหรับออกว่าราชการขุนนางทั้งปวง ให้มีหมู่ทหารองครักษ์สามร้อยนาย เวลาเดินทางให้มีแห่แหน และมีทหารถือเกาทัณฑ์แซงซ้ายขวา กับมีพนักงานชูกระถางธูปแห่นำหน้าอย่างขบวนเสด็จ เมื่อ ซุนฮก ที่ปรึกษาคนหนึ่งไม่เห็นด้วย โจโฉก็เอากระบะเหมือนใส่ของกินส่งไปให้ และเขียนแปะไว้ว่าอย่าให้ผู้อื่นเปิด แต่เมื่อเปิดออกก็เป็นกระบะเปล่า เหมือนว่าจะให้ใส่ศรีษะของตน ซุนฮกก็เสียใจจึงกินยาตายไป
ต่อมาโจโฉก็ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองยี่สู จะเข้าตีเมืองกังตั๋งอีก ซุนกวนก็ยกทัพเรือมาต้านทาน แต่รบกันอยู่เดือนเศษก็ไม่เพลี่ยงพล้ำแก่กัน ซุนกวนจึงขอหย่าทัพโจโฉก็ไม่ขัดข้อง จึงต่างก็ยกกลับไปบ้านเมืองของตน ขณะนั้นก็ได้ข่าวว่า ม้าเฉียวได้กลับมาเข้าเป็นทหารของเล่าปี่ และร่วมกันยึดครองเมืองเสฉวนได้แล้ว เล่าปี่ก็เป็นเจ้าเมืองและเนรเทศเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเก่าไปอยู่ที่เมืองกองอั๋น
อีกไม่นานก็มีขุนนางอีกสี่คน ให้ความเห็นว่าโจโฉมีความชอบมาก สามารถทำนุบำรุงบ้านเมือง และปราบปรามข้าศึกได้เก้าในสิบส่วนแล้ว สมควรเลื่อนขึ้นเป็นที่วุยอ๋อง เทียบเท่าเจ้า ต่างกรม แต่ยังไม่ทันกราบทูลฮ่องเต้ ซุนฮิว ที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วย โจโฉจึงว่าถ้าจะเหมือนซุนฮกเสียกระมัง ซุนฮิวก็น้อยใจ และป่วยด้วยความตรอมใจจนถึงแก่ความตายไปอีกคนหนึ่ง โจโฉจึงระงับการกราบทูลขอเลื่อนตำแหน่งไว้ก่อน
สามก๊กฉบับลายคราม (๕) ๑๕ พ.ย.๕๙
โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่
ตอนที่ ๕ ขวากหนามตำใจ
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อโจโฉแตกทัพมาจากเมืองกังตั๋งนั้น เป็น พ.ศ.๗๕๑ โจโฉมีอายุประมาณ ๕๔ ปี ใกล้จะเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั่วทั้งอาณาจักรได้ตามความปรารถนา ยังจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามต่อไปอีก
หลังจากที่ได้ทำนุบำรุงทแกล้วทหารที่บอบช้ำจากสงครามคราวก่อน จนมีความเข้มแข็งเหมือนเดิมแล้ว โจโฉก็ตั้งใจจะไปตีเมืองกังตั๋งเป็นการแก้ตัวอีก แต่ยังห่วงหลัง เกรงม้าเท้งศัตรูเก่า ที่เคยร่วมขบวนขบถครั้งก่อน จะแอบมาตีเมืองฮูโต๋ จึงหาทางกำจัดให้สิ้นห่วงเสียก่อน ด้วยการทำ รับสั่งฮ่องเต้เกณฑ์ให้เมืองเสเหลียงจัดกำลังทหารเข้าร่วมรบกับเมืองกังตั๋งด้วย แต่ให้ม้าเท้งเข้ามาปรึกษาราชการในเมืองฮูโต๋ก่อน
ม้าเท้งก็ยกทหารมาพอประมาณ เพราะไม่ไว้ใจว่าโจโฉจะมาไม้ไหน และเอาบุตรชายมาด้วยสองคน กับหลานอีกคนหนึ่งมาด้วย โจโฉก็ให้ขุนนางชื่ออุยกุ๋ยออกไปต้อนรับ แต่ให้พักทหารไว้นอกเมืองก่อน แล้วจะเอาเสบียงไปส่งให้ และเชิญให้ม้าเท้งเข้ามาเฝ้าฮ่องเต้
แต่ในเวลากลางคืนนั้นเอง เบียวเต๊ก น้องเมียของอุยกุ๋ย ก็เข้ามาหาโจโฉเล่าความว่า อุยกุ๋ยที่ใช้ไปนั้นกลับคบคิดกับม้าเท้ง จะทำร้ายโจโฉเมื่อออกไปพบที่นอกเมือง และอุยกุ๋ยจะสนับสนุนอยู่ในเมือง
โจโฉจึงตามตัวนายทหารเอกมาสี่คน สั่งให้คุมทหารออกไปพบม้าเท้งพรุ่งนี้ แต่ให้แต่งเครื่องยศอย่างตนออกไปพร้อมด้วยธงประจำตำแหน่งมหาอุปราช แยกออกเป็นสี่กองปีกซ้ายขวา กองกลางและกองหนุน เมื่อม้าเท้งจะเข้าโจมตีก็ให้ล้อมจับม้าเท้งให้ได้
ถึงวันรุ่งขึ้นนายทหารเอกทั้งสี่นายก็ออกไปทำการตามสั่ง แล้วก็จับตัวม้าเท้งกับม้าฮิวมามอบให้ และรายงานว่าทั้งสามคนยกเข้าโจมตีทหารของตน จึงให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ถูกม้าเทียดตาย จับสองพ่อลูกมาได้ ส่วนม้าต้ายหลานม้าเท้งนั้นหนีรอดไปได้ โจโฉก็เอาตัวอุยกุ๋ยมาสอบสวนต่อหน้าม้าเท้ง อุยกุ๋ยก็ไม่รับและบอกม้าเท้งว่าไม่ต้องกลัว เราไม่มีความผิด
โจโฉจึงเอาตัวเบียวเต๊กมายืนยัน เบียวเต๊กก็บอกว่า นางลิซุนเอี๋ยง ภรรยาน้อยของอุยกุ๋ยเป็นคนเล่าให้ฟังตามที่ตนมาแจ้งแก่โจโฉนั้น ทั้งอุยกุ๋ยและม้าเท้งก็ไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร ม้าเท้งจึงด่า อุยกุ๋ยว่าไอ้คนหลงเมีย ทำให้เสียการสำคัญไปจนได้
โจโฉก็ให้เอาตัวจำเลยทั้งสามไปประหารชีวิตเสีย แล้วออกประกาศไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ว่า ม้าเท้งกับลูกหลานเป็นขบถ ถูกจับได้และประหารไปแล้ว เหลือแต่ม้าต้าย ให้นายด่านทั้งปวงติดตามจับตัวมาส่ง จะได้รับรางวัล แล้วก็บอกกับเบียวเต๊กว่า การครั้งนี้มีความชอบเป็นอันมาก อยากได้สิ่งใดจะให้ทุกอย่าง เบียวเต๊กก็ว่าไม่อยากได้ยศศักดิ์ประการใด ขอแต่นางลิซุนเอี๋ยงภรรยาน้อยของอุยกุ๋ยเท่านั้น
โจโฉก็ว่านางลิซุนเอี๋ยงเป็นคนชั่ว ไม่รู้จักคุณสามี พี่เขยของตัวก็ต้องตายเพราะมัน แล้วจะเอามาเลี้ยงเป็นภรรยานั้นไม่ควร เบียวเต๊กก็สารภาพว่าตนกับนางลิซุนเอี๋ยงได้ลักลอบเป็นชู้กัน นางจึงเอาความลับของสามีมาเล่าให้ฟัง
คราวนี้โจโฉกลับโกรธจนหนวดสั่นจึงว่าไว้ตามสำนวนของหลวงว่า
“ ตัวเป็นน้องภรรยาเขา บังอาจทำชู้กับภรรยาน้อยของพี่เขย แล้วคิดอ่านล้างชีวิตเขาเสีย ด้วยประสงค์หญิงผู้เดียว ตัวเป็นคนมิได้มีสัตย์กตัญญู ถ้าเราไม่เอาโทษบัดนี้ คนทั้งปวงจะดูเยี่ยงอย่างสืบไป “
โจโฉจึงสั่งให้เอาตัวเบียวเต๊กและพรรคพวกพี่น้อง กับภรรยาและญาติพี่น้องของอุยกุ๋ย ไปประหารเสียให้หมดทั้งสองโคตร.
เมื่อโจโฉฆ่าม้าเท้งสำเร็จแล้วก็โล่งใจ เตรียมจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ก็ได้รับ รายงานว่า ม้าเฉียวบุตรชายคนโตของม้าเท้ง กับหันซุยเพื่อนของม้าเท้ง ยกทัพมาตีเมืองเตียงฮันได้แล้ว เจ้าเมืองเตียงฮันหนีมาอยู่ที่ด่านตงก๋วน ม้าเฉียวก็ยกตามมาที่ด่านนี้แล้ว โจโฉจึงให้โจหองคุมทหารหมื่นหนึ่งไปช่วยด่านตงก๋วน ให้รักษาไว้ให้ได้ถึงสิบวัน แล้วตนเองจะยกทหารตามไปช่วย
พอโจโฉยกกองทัพออกจากเมืองฮูโต๋ในวันที่เก้าไปได้ไม่นาน ก็เจอกับโจหองและนายทหารเอกอีกสามนายพาทหารแตกทัพสวนทางมา โจโฉก็ว่าสั่งแล้วให้รักษาค่ายไว้ให้ได้สิบวัน ทำไมจึงแตกพ่ายมา โจหองก็ว่าม้าเฉียวมันให้ทหารออกมาด่าพ่อล่อแม่ ลำเลิกโคตรตระกูลโจทุกวันทนไม่ไหว วันที่สิบก็เลยยกทหารออกไปสู้กับมัน แต่ม้าเฉียวมันเก่งกว่าก็เลยต้องถอยหนีมา โจโฉก็โกรธมากให้เอาตัวโจหองไปประหารเสีย แต่บรรดานายทหารช่วยกันขอร้องไว้ โจโฉจึงยกโทษให้
เมื่อโจโฉมาตั้งค่ายอยู่ใกล้ด่านตงก๋วนแล้ว ก็ออกไปเผชิญหน้ากับม้าเฉียว โจโฉเห็นม้าเฉียวเป็นหนุ่มรูปงามคมสัน ไหล่ผาย เอวกลม หน้าขาว ปากแดง ห่มเกราะเงิน ใส่หมวกขาว ขี่ม้าถือทวนเคียงข้างด้วยนายทหารเอกสองคนซ้ายขวา ก็มีความเอ็นดูจึงเปิดฉากเจรจาด้วย แต่ม้าเฉียวไม่ยอมฟังเสียง ความอาฆาตแค้นที่โจโฉฆ่าบิดาและน้องของตนมันอัดอั้นตันใจ จึงลุยเข้ารบอย่างบ้าคลั่ง ฆ่านายทหารเอกของโจโฉตายไปคนหนึ่งแล้วก็นำทหารตลุยเข้าไปจะเล่นงานแม่ทัพ
โจโฉก็เผ่นกลับหลัง ได้ยินเสียงม้าเฉียวร้องสั่งทหารว่า อ้ายใส่เกราะแดงนั้นแหละเอาตัวให้ได้ โจโฉก็ถอดเกราะทิ้งเสีย พอหนีต่อไปก็ได้ยินเสียงม้าเฉียวอีกว่า อ้ายหนวดยาวนั่นแหละจับให้ได้ โจโฉก็เอากระบี่ตัดหนวดทิ้งเสีย ยังไม่พ้นก็ได้ยินอีกว่า อ้ายหนวดสั้นนั่นแหละตัวร้าย โจโฉก็เอาผ้าแพรห่อคางไว้ พอดีเหลียวมาเห็น ม้าเฉียวถึงตัวก็ตกใจพลัดลงจากม้า วิ่งเข้าไปแอบหลังต้นไม้ ม้าเฉียวก็ควบม้าเข้ามาแทง เผอิญโจโฉวิ่งหนีไปพ้นทวนจึงปักต้นไม้อยู่ พอม้าเฉียวชักทวนออกมาได้โจหองเข้ามาสกัดหน้าไว้ แล้วรบปะทะอยู่ได้ห้าสิบเพลง แฮหัวเอี๋ยนก็เข้ามาช่วย ม้าเฉียวล้ำหน้าทหารมามากเหลือตัวคนเดียวจึงหันม้ากลับไป โจโฉจึงรอดตัววิ่งเข้าค่ายไป คราวนี้โจหองจึงมีความชอบมาก
วันหลังพอโจโฉหายเหนื่อยแล้ว ก็ให้ทหารเอกคอยตั้งรับม้าเฉียวไว้ ตนเองพาทหารยกอ้อมไปต่อเรือที่แม่น้ำอุยโห ทางทิศตะวันออกของด่านตงก๋วน แต่พอต่อเรือเสร็จบรรทุกทหารไปขึ้นบกหลังด่าน ก็ถูกม้าเฉียวมาดักโจมตีอีก ทหารกำลังจะขึ้นจากเรือก็ล้มตายระส่ำระสาย ม้าเฉียวก็ไล่ฆ่าฟันทหารเลวบุกเข้ามาจะถึงตัวโจโฉ เคาทูนายทหารองครักษ์ก็ตกใจ โดดเข้าอุ้มโจโฉลงเรือค้ำออกจากฝั่งได้สามสี่วาม้าเฉียวก็มาถึงริมฝั่ง ให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ดังห่าฝน โจโฉก็กลัวตัวสั่นวิ่งเข้าแอบหลังองครักษ์ เคาทู ก็เอาเบาะม้าคลุมตัวโจโฉไว้ ตนเองเอากระบี่คอยปัดป้องลูกเกาทัณฑ์ จนข้ามฝั่งแม่น้ำไปได้ ขึ้นบกที่เมืองอุยหลำ ม้าเฉียวก็ยังพาทหารลงเรือตามมาอีก พอขึ้นบกเจ้าเมืองอุยหลำก็ต้อนโคกระบือออกมาปะทะทหารม้าเฉียว โจโฉจึงรอดตัวไปอีกครั้ง
เมื่อกลับมาถึงค่ายแล้วจึงเห็นว่ามีปลายเหล็กลูกเกาทัณฑ์ ติดเกราะของเคาทูอยู่เป็นอันมาก ก็สรรเสริญว่า ครั้งนี้แม้นมิได้เคาทู ที่ไหนตนจะมีชีวิตรอดกลับมาถึงค่ายได้ แล้วก็เตรียมวางแผนสู้รบกับม้าเฉียวต่อไป โดยไม่ย่อท้อ.
เมื่อโจโฉหนีรอดมาจากฝีมือม้าเฉียวแล้ว ก็ให้ทหารขุดดินเป็นสนามเพลาะรอบค่าย ให้ลึกสองวา เอาไม้ขวากปักในคู แล้วเอาไม้ขัดแตะปิดปากคูเอาดินเกลี่ยกลบมิให้เห็นขัดแตะที่รองอยู่ข้างล่าง แล้วให้ทหารในค่ายเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้ให้พร้อม
วันรุ่งขึ้นหันซุยมิตรสนิทของม้าเท้ง ซึ่งม้าเฉียวนับถือเหมือนบิดา ก็ยกทหารมาตีค่ายของโจโฉ โดยมีบังเต๊กทหารเอกของม้าเฉียวคุมกองหน้า โจโฉก็ส่งทหารออกไปรับข้าศึกนอกค่าย แล้วก็แกล้งถอยร่นกลับมา ทหารของบังเต๊กไล่ตามมาก็ตกลงไปในคู โดนขวากบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉก็คุมทหารไล่ฆ่าฟันทหารที่เหลืออยู่ แต่บังเต๊กซึ่งตกลงไปในคูนั้นไม่เป็นอันตราย เพราะใส่เกราะเหล็ก กลับโจนขึ้นจากคูเอาดาบฟันนายทหารของโจโฉแล้วชิงม้าไปได้ จึงพาหันซุยฟันฝ่าออกจากที่ล้อมจะ กลับไปด่านตงก๋วน โจโฉก็คุมทหารไล่ตามมา พอดีม้าเฉียวยกทหารหนุนเข้ามาช่วยแก้เอาหันซุยและบังเต๊กกลับไปได้
จากนั้นม้าเฉียวก็คุมทหารเข้าปล้นค่ายของโจโฉทุกวัน แต่โจโฉก็เตรียมการรับมือไว้เต็มที่ จึงไม่มีใครเสียทีใคร ม้าเฉียวก็ไม่ย่อท้อที่จะรบกับโจโฉ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ตีค่ายโจโฉแตกต้องถอยไปประมาณห้าสิบเส้น ม้าเฉียวก็ตามไปติด ๆ โจโฉไม่มีเวลาตั้งค่ายก็จัดขบวนตั้งรับอยู่กลางแจ้ง เมื่อม้าเฉียวไปถึงเคาทูก็ออกมายืนม้าหน้าทหารพร้อมที่จะสู้กับม้าเฉียว ส่วน ม้าเฉียวนั้นรู้กิตติศัพท์ถึงความทรหดอดทนของเคาทู แต่เพิ่งเห็นตัวถนัด จึงยังไม่ยอมรบด้วย และพาทหารกลับเข้าค่าย
ในคืนนั้นเคาทูก็ให้ทหารถือหนังสือไปหาม้าเฉียวว่า พรุ่งนี้เช้าให้ออกมารบกันให้เห็นฝีมือเสียที ม้าเฉียวก็รับคำท้าและยกทหารออกมาแต่เช้า ทั้งสองสู้กันได้ประมาณร้อยเพลง ก็ยังมิได้เพลี่ยงพล้ำแก่กัน จนม้าทั้งสองอ่อนกำลังลง ต่างก็หันกลับไปเปลี่ยนม้าใหม่ ส่วนเคาทูนั้นถึงกับถอดเกราะออกไปแต่ตัวเปล่า คราวนี้สู้กันอีกสามสิบเพลง ถึงขั้นประชิดตัว ทั้งสองฝ่ายก็กลัวพวกของตนจะเสียที จึงส่งนายทหารเอกออกมาช่วย จึงกลายเป็นการตะลุมบอนหมู่ ไม่รู้ใครเป็นใคร แล้วต่างก็แยกกันกลับเข้าค่าย โดยมีลูกเกาทัณฑ์ติดหลังเคาทูไปสองดอก แต่ก็ไม่เป็นอันตราย
เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ไม่เพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่กัน หันซุยก็คิดจะหย่าศึกกันเสียก่อน จึงมีหนังสือไปถึงโจโฉว่าบัดนี้ถึงฤดูหนาวแล้ว ขอให้ต่างเลิกทัพกลับไปก่อน โจโฉก็ตอบตกลงและขอเชิญหันซุยออกไปสนทนากันก่อนจากกัน เมื่อทั้งสองพาทหารออกมาเจรจากันกลางสนามรบนั้น โจโฉก็ท้าวความไปถึงความหลังเมื่อครั้งหันซุยยังรับราชการอยู่ในเมืองหลวง หันซุยก็คุยเพลินจนถึงบ่ายจึง ร่ำลากันไป
โจโฉกลับเข้ามาในค่ายแล้วก็ปรึกษากับกุนซือ วางแผนให้หันซุยกับม้าเฉียวแตกคอกัน โดยเอากระดาษเปล่าใส่ซอง แล้วให้ทหารถือไปให้หันซุยกำชับว่าเป็นหนังสือลับ ม้าเฉียวชักจะสงสัยจึงขอดูก็เห็นแต่กระดาษเปล่า หันซุยก็งงว่าโจโฉวางกลอุบายอะไร รุ่งเช้าจึงขี่ม้าออกไปถึงหน้าค่ายโจโฉเพื่อถามให้รู้ความ ม้าเฉียวก็ตามไปด้วย โจโฉก็ให้ทหารออกมาบอกหันซุยว่า มหาอุปราชให้มากำชับท่านว่าหนังสือซึ่งให้ไปนั้น อย่าแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ แล้วก็กลับเข้าค่ายไป
ม้าเฉียวก็เชื่อว่าหันซุยแปรพักตร์แน่แล้ว เลยเกิดวิวาทกันขึ้น ทหารก็แบ่งออกเป็นสองฝ่ายรบพุ่งกันเอง หันซุยถูกม้าเฉียวฟันแขนขาด ต้องหนีเข้ามาพึ่งโจโฉตามกลอุบายที่ทำไว้ โจโฉจึงยกทหารเข้าตีค่ายม้าเฉียวจนแตกกระเจิง ตัวม้าเฉียวต้องหนีเตลิดไปกับบังเต๊กทหารเอก และม้าต้ายผู้น้องกับทหารเพียงสามสิบคนเท่านั้น โจโฉจึงแต่งตั้งให้หันซุยผู้พิการเป็นเจ้าเมืองเสเหลียง สืบแทนม้าเฉียวต่อไป.
เวลาล่วงไปอีกประมาณสี่ปี ก็มีขุนนางผู้ใหญ่ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า โจโฉมหาอุปราชนั้นมีความชอบมาก สมควรเลื่อนขึ้นเป็นที่วุยก๋ง ซึ่งมีเครื่องยศเก้าประการคือ ให้แต่งตัวอย่างลูกหลวง นั่งรถเทียมม้าแปดม้า ให้มีดนตรีแตรสังข์ประโคมเช้าเย็น บ้านเรือนที่อยู่ให้ทาชาดแดงอย่างเรือนหลวง และมีท้องพระโรงสำหรับออกว่าราชการขุนนางทั้งปวง ให้มีหมู่ทหารองครักษ์สามร้อยนาย เวลาเดินทางให้มีแห่แหน และมีทหารถือเกาทัณฑ์แซงซ้ายขวา กับมีพนักงานชูกระถางธูปแห่นำหน้าอย่างขบวนเสด็จ เมื่อ ซุนฮก ที่ปรึกษาคนหนึ่งไม่เห็นด้วย โจโฉก็เอากระบะเหมือนใส่ของกินส่งไปให้ และเขียนแปะไว้ว่าอย่าให้ผู้อื่นเปิด แต่เมื่อเปิดออกก็เป็นกระบะเปล่า เหมือนว่าจะให้ใส่ศรีษะของตน ซุนฮกก็เสียใจจึงกินยาตายไป
ต่อมาโจโฉก็ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองยี่สู จะเข้าตีเมืองกังตั๋งอีก ซุนกวนก็ยกทัพเรือมาต้านทาน แต่รบกันอยู่เดือนเศษก็ไม่เพลี่ยงพล้ำแก่กัน ซุนกวนจึงขอหย่าทัพโจโฉก็ไม่ขัดข้อง จึงต่างก็ยกกลับไปบ้านเมืองของตน ขณะนั้นก็ได้ข่าวว่า ม้าเฉียวได้กลับมาเข้าเป็นทหารของเล่าปี่ และร่วมกันยึดครองเมืองเสฉวนได้แล้ว เล่าปี่ก็เป็นเจ้าเมืองและเนรเทศเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเก่าไปอยู่ที่เมืองกองอั๋น
อีกไม่นานก็มีขุนนางอีกสี่คน ให้ความเห็นว่าโจโฉมีความชอบมาก สามารถทำนุบำรุงบ้านเมือง และปราบปรามข้าศึกได้เก้าในสิบส่วนแล้ว สมควรเลื่อนขึ้นเป็นที่วุยอ๋อง เทียบเท่าเจ้า ต่างกรม แต่ยังไม่ทันกราบทูลฮ่องเต้ ซุนฮิว ที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วย โจโฉจึงว่าถ้าจะเหมือนซุนฮกเสียกระมัง ซุนฮิวก็น้อยใจ และป่วยด้วยความตรอมใจจนถึงแก่ความตายไปอีกคนหนึ่ง โจโฉจึงระงับการกราบทูลขอเลื่อนตำแหน่งไว้ก่อน