สวัสดีเจ้าค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งกระทู้นานมากกกกก เพราะไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรหรือแนะนำอะไรดี จนกระทั่งเมื่อวานนี้ฉันกับเจ้าส้มฉุนและคนในเรือนได้ไปเที่ยวชม "เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔" ที่ จ.กาญจนบุรีมาเจ้าค่ะ สรุปว่าประทับใจมากกกก จนต้องมาเล่าให้ฟังเพราะอยากชวนให้ไปจริงๆ
เริ่มจากคุณหญิงแม่เจ้าค่ะ ได้ยินเพื่อนที่กาญจนบุรีบอกและถ่ายรูปส่งสารมาทางไลน์ คุณหญิงแม่เห็นแล้วกรีดร้อง รีบจิกให้ฉันไปซื้อชุดไทยให้เจ้าส้มฉุน (ลูกสาว) และออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นโดยพลัน!! (พอละ ภาษาดูจะเพี้ยนไปทางลิเกมากกว่า ๕๕๕)
ตอนแรกเราไม่รู้จักเมืองมัลลิกาเลยค่ะ จนกระทั่งค้นดูข่าวจึงทราบว่าเป็นเมืองพิเศษพื้นที่ 60 ไร่ ซึ่งจำลองบรรยากาศของชุมชนชาวลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยหลังเลิกทาสเอาไว้ โดยทุกอย่างในนั้นจะเหมือนจริงมาก ราวกับทะลุมิติเข้าไปเลย
ดังนั้น...จัดไป เตรียมชุดไทยให้ลูกน้อยแล้วออกเดินทางแต่เช้าเลย ส่วนผู้ใหญ่ทั้งหลายไปเช่าชุดไทยที่หน้าทางเข้าเมืองเลยค่ะ ผู้หญิง 200 บาท ผู้ชาย 100 ชุดใหม่สะอาดสะอ้านมีคนช่วยแต่งให้ ส่วนค่าเข้าชมตอนนี้โปรโมชั่นคนละ 150 เด็ก 75 บาท แต่เราทานอาหารเย็น+ชมการแสดงด้วย ราคา 550 ค่ะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าคุ้มหรือไม่อย่างไร
ปล.เดินทางไปไม่ยากเลย ผ่านตัวเมืองกาญจนบุรี ไปทางไทรโยค ถึงก่อนปราสาทเเมืองสิงห์ค่ะ (สังเกตปั๊มบางจาก)
แนะนำว่าควรไปเช้าค่ะ เพราะอากาศไม่ร้อน เดินสบาย และคนแต่งชุดไทยกันเยอะมาก (เพราะว่าช่วงบ่ายชุดไทยหมดแล้วค่ะ ไม่พอกับความต้องการ)
เริ่มจากหน้าประตูเลย อลังการมาก
รถลากเรียงราย รอรับผู้โดยสารที่ขี้เกียจเดินค่ะ ๕๕๕ (เที่ยวละ ๕๐ บาท)
อันที่จริงเดินไปก็ไม่ไกลมาก แต่สำหรับคุณย่าคุณยายก็สะดวกดี ได้บรรยากาศอีกแบบค่ะ
จุดแรกที่รถลากพามาส่งคือวิถีชีวิตเกี่ยวกับข้าวค่ะ เรื่องใหญ่ของคนไทยทุกสมัยเลยเนอะ
จะมีกระบวนการฝัดข้าว ตำข้าว เป็นวิถีสีข้าวแบบโบราณค่ะ คุณลุงแกตำไปก็อธิบายไป ใจดีมากๆ แต่เรามัวแต่ตื่นเต้นลองตำข้าวดู เลยจำขั้นตอนละเอียดๆไม่ได้ค่ะ แหะๆ
เจ้าส้มฉุนก็เข้าไปช่วย(จุ้น)เลือกข้าวเปลือกออกด้วย
ชาวมัลลิกาเล่าว่า ข้าวพวกนี้สะอาด บริสุทธิ์ ปลอดสารพิษในทุกขั้นตอนค่ะ สีออกมาตุ่นๆ หุงแล้วไม่นุ่มนิ่มเท่าข้าวที่เราทานกันทุกวันนี้ ข้าวพวกนี้หุงจริงและจะเสิร์ฟให้ทานในสำรับตอนเย็นสำหรับคนที่ซื้อบัตรอาหารเย็นด้วยค่ะ
ถัดจากสีข้าว ก็จะมีซุ้มเคี่ยวน้ำตาล
แล้วก็เดินตามกลิ่นหอมถ่านเข้าไปในโรงครัวเลย
ณ จุดนี้เราตกใจเหมือนกันนะคะ ทุกอย่างใรโรงครัวหุงด้วยเตาถ่านหมดเลย ควันกลบ แต่หอมถ่านมาก ใจนี่บินไปถึงมื้อค่ำเลยค่ะ ๕๕๕ ในโรงครัวเหมือนเวลาดูละครมาก ที่แม่ครัวกับลูกมือล้อมลงหั่นผัก ตำน้ำพริก เสียงเอะอะโวยวายดูชุลมุน แต่เหมือนเดิมค่ะ ทุกคนยิ้มแย้ม ต้อนรับแขกดีมาก
รู้สึกเหมือนได้เป็นคุณหญิงลงไปตรวจงานในครัวเจ้าค่ะ
ถัดจากโรงครัวก็เป็นเรือนไทยค่ะ ตัวอาคารสวยงาม ขึ้นไปมีลมเย็นโชย อากาศสบายมาก ชาวเมืองมัลลิกากำลังร้อยมาลัย แกะสลักผักผลไม้ และจัดดอกไม้อยู่ ตอนแรกนึกว่าทำโชว์ไปงั้น แต่ปรากฏว่าทุกอย่างไปอยู่บนสำรับอาหารเย็นค่ะ เป็นปลื้มมาก ยิ่งอินกับความเป็นคุณหญิงเข้าไปในใหญ่ ๕๕๕
ถัดจากเรือนไทย เดินทะลุเข้าไปยังตัวเมืองค่ะ สวรรค์ของฉันอยู่ที่นี่!! เพราะมีของกินแบบไทยโบราณเป็นสิบๆร้าน แค่เห็นร้านขนมช่อม่วงร้านแรก พี่ก็วิ่งตับแล่บอยากจะเข้าไปเหมาแล้ว เพราะขนมสวย น่าทานมาก ยิ่งเห็นโรงครัวเมื่อกี้มาด้วยยิ่งแล้วใหญ่
แต่แล้วก็หน้าแตกเพล้งเลยเจ้าค่ะ ๕๕๕ จู่ๆจะควักแบงค์ยี่สิบจ่ายเลยไม่ได้นะ ต้องไปแลกเงินที่แบงค์สยามกัมมาจล ให้เป็นเงินสตางค์ก่อนถึงจะใช้ซื้อของที่เมืองมัลลิกาได้ ๕ บาทเป็น ๑ สตางค์เจ้าค่ะ (ของราคาไม่แพงค่ะ เท่าๆกับซื้อข้างนอก เพราะฉะนั้น!!! ลุยแหลก!!)
ตะลุยซื้ออย่างเดียวเลยเจ้าค่ะ แต่ละร้านขายดีนะคะ เป็นขนมโบราณที่หาทานยาก อย่างพวกจ่ามงกุฎ ช่อม่วง และอะไรอีกหลายอย่างค่ะ ส่วนใหญ่อร่อยทั้งนั้นเลย ขนมครกก็น่ากินแต่รอไม่ไหวค่ะ ขายดีหยอดไม่ทัน แต่ไม่เป็นไร หนทางยังอีกยาวไกล ร้านมีเยอะหลายสิบร้าน
ทานขนมแล้ว ถ้ายังอยากของหนักอยู่ เดินเลยมามีแพริมน้ำ เหมือน food court ค่ะ ขายข้าวราดแกง มีก๋วยเตี๋ยวเรือแล้วก็ขนมอีก ถึงจุดนี้เริ่มอิ่มตาปลิ้นละ ระหว่างทางไปเรือนแพ ยังมีร้านก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด ถั่วต้ม มันต้มดักไว้ด้วย แอ้กกกก...
พ้นจากโซนการกินมาแล้ว (ซึ่งเป็นงานหนักมาก) ก็มีร้านค้าของที่ระลึกเล็กน้อย เป็นน้ำอบน้ำปรุงแล้วก็แป้งผัดหน้าค่ะ แพ็คเกจสวยงามน่าซื้อมากๆ ส่วนใหญ่เป็นกลิ่นดอกไม้ไทยๆ แป้งก็เป็นแป้งออร์แกนิกค่ะ ส่วนผสมจากสมุนไพร
จากนั้นก็เข้าสู่สะพานหันค่ะ สะพานนี้รัชกาลที่ ๕ ท่านทรงจำลองมาจากปองเตเวกคิโอ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีค่ะ สมัยก่อนก็ขายผลไม้แห้ง ผลไม้แช่อิ่ม และที่นี่ก็เช่นกัน
จากนั้นก็จะเป็นทางออกเมืองค่ะ แต่ทั้งหมดนี้กว้างใหญ่นะคะ เดินได้ทั้งวัน เรากลับที่พักไปเก็บข้าวของก่อน เย็นถึงกลับมาทานอาหารและชมการแสดงค่ะ
พอมาตอนเย็น โอ้โหหหห เมืองมัลลิกาสวยไปอีกแบบ เดินสบาย ไฟสีสวยงามตามาก แนะนำว่าควรมาทั้งเช้าและเย็นเลยค่ะ
ตอนเย็นคนลากรถหมดแรงเลย T T
จากนั้นก็ได้เวลาอาหารเย็น เราขึ้นไปบนเรือนไทยหลังใหญ่ ซึ่งมีลานการแสดงตรงกลาง เรือนหลังนี้สวยงามมากค่ะ โต๊ะจัดเตรียมชาม ช้อน และน้ำไว้เป็นอย่างดี มีชาวเมืองคอยต้อนรับและเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเติมได้ไม่อั้นเลย
ฟังดนตรี (ระยะประชิด) รอเวลาตั้งสำรับ
สำรับที่ทานวันนั้นมียำใหญ่ (ใส่สารพัด วางจานจัด หลายเหลือตรา เคยท่องกลอนตั้งแต่เด็ก เพิ่งเห็นและได้ทานของจริง) อร่อยมากกกกก น้องพลับจัดไปสอง แล้วก็มีแกงบวน (เครื่องในหมู) อร่อยมากกกก หมี่กรอบ มัสมั่น ข้าวที่สีเอง ขนมหวานเป็นมะพร้าวแก้ว อร่อยมากกก ผลไม้ แล้วก็น้ำดื่มหอมกลิ่นน้ำยาอุทัย แต่อร่อยกว่าค่ะ
ระหว่างทานก็ชมการแสดงไปด้วย การแสดงสำหรับเราไม่ได้อลังการมาก แต่ก็ได้มาตรฐานค่ะ
รู้สึกได้เลยว่า เออแฮะ ถ้าเป็นคุณหญิงสมัยก่อน กินอาหารพร้อมชมการแสดงไปด้วยนี่มันเพลินจริงๆนะ ๕๕๕
สรุปว่าโดยรวมประทับใจมากค่ะ ทำบรรยากาศออกมาได้ดี ไม่มีสะดุด ชาวเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส ช่างพูดช่างคุย (อยากให้รักษามาตรฐานนี้ไปนานๆเลยล่ะ) ส่วนใหญ่ชาวเมืองมัลลิกาก็คือคนในท้องถิ่นกาญจนบุรีค่ะ ซึ่งอาจเพราะเมืองนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ ทุกคนเลยดูยินดีมากๆจากใจเลยที่เราไปเยี่ยมชม ไม่รู้ว่าถ้าคนมาเที่ยวมากขึ้นจะเหนื่อยมั้ยน้ออออ
อ้อ ขอบอกทริกไว้นิดหนึ่งค่ะ
- ไปแต่เช้าจะดีมาก เพราะแดดไม่ร้อน เดินสบาย
- เด็กเล็กมากๆอย่างเจ้าส้มฉุน (หนึ่งขวบ) เตรียมชุดไปเองก็ดีนะคะ เพราะชุดเด็กที่เมืองมีให้เช่าน่าจะใส่ได้สักสอบขวบขึ้นไป และเป็นคอกระเช้าธรรมดา ต่างจากคุณหญิงแม่ที่ชุดไฮโซมาก ๕๕๕ เดี๋ยวคนนึกว่าลูกทาสนะ
- ถ้าไปไม่เช้าจริง ระวังชุดหมดนะคะ ตอนเรามาคืนชุดคนในห้องแต่งตัวเยอะมากกก เจ้าหน้าที่ช่วยแต่งตัวไม่พอค่ะ ชุดก็ไม่เหลือแล้ว เพราะเขาใส่แล้วเก็บไปซักเลย และกลายเป็นว่าตอนบ่าย คนไม่มีชุดไทยเยอะ บรรยากาศก็เลยดร็อปไป
- อยากจัดเต็มหาชุดใส่ไปเองเลยนะคะ จะได้พร้อมเสื้อผ้าหน้าผม อย่าลืมรองเท้าที่เหมาะกับชุดไทยนะคะ จขกท.นี่ใส่ fred perry ไปเลย ลืมมมคิด
- ทานอาหารเย็นด้วยนะคะ ผ่อนคลายยย อิ่มสบายมาก ต่อให้โปรราคา ๕๕๐ หมดก็ยังคุ้ม
ภาพไม่สวยขออภัยนะคะ ไม่เคยตั้งกระทู้รีวิวเลย
[CR] --ส้มฉุน(เฉียว)พาเที่ยวเมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔ ตั้งแต่เพลาเช้าจรดค่ำเลยเจ้าค่ะ--
เริ่มจากคุณหญิงแม่เจ้าค่ะ ได้ยินเพื่อนที่กาญจนบุรีบอกและถ่ายรูปส่งสารมาทางไลน์ คุณหญิงแม่เห็นแล้วกรีดร้อง รีบจิกให้ฉันไปซื้อชุดไทยให้เจ้าส้มฉุน (ลูกสาว) และออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นโดยพลัน!! (พอละ ภาษาดูจะเพี้ยนไปทางลิเกมากกว่า ๕๕๕)
ตอนแรกเราไม่รู้จักเมืองมัลลิกาเลยค่ะ จนกระทั่งค้นดูข่าวจึงทราบว่าเป็นเมืองพิเศษพื้นที่ 60 ไร่ ซึ่งจำลองบรรยากาศของชุมชนชาวลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยหลังเลิกทาสเอาไว้ โดยทุกอย่างในนั้นจะเหมือนจริงมาก ราวกับทะลุมิติเข้าไปเลย
ดังนั้น...จัดไป เตรียมชุดไทยให้ลูกน้อยแล้วออกเดินทางแต่เช้าเลย ส่วนผู้ใหญ่ทั้งหลายไปเช่าชุดไทยที่หน้าทางเข้าเมืองเลยค่ะ ผู้หญิง 200 บาท ผู้ชาย 100 ชุดใหม่สะอาดสะอ้านมีคนช่วยแต่งให้ ส่วนค่าเข้าชมตอนนี้โปรโมชั่นคนละ 150 เด็ก 75 บาท แต่เราทานอาหารเย็น+ชมการแสดงด้วย ราคา 550 ค่ะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าคุ้มหรือไม่อย่างไร
ปล.เดินทางไปไม่ยากเลย ผ่านตัวเมืองกาญจนบุรี ไปทางไทรโยค ถึงก่อนปราสาทเเมืองสิงห์ค่ะ (สังเกตปั๊มบางจาก)
แนะนำว่าควรไปเช้าค่ะ เพราะอากาศไม่ร้อน เดินสบาย และคนแต่งชุดไทยกันเยอะมาก (เพราะว่าช่วงบ่ายชุดไทยหมดแล้วค่ะ ไม่พอกับความต้องการ)
เริ่มจากหน้าประตูเลย อลังการมาก
รถลากเรียงราย รอรับผู้โดยสารที่ขี้เกียจเดินค่ะ ๕๕๕ (เที่ยวละ ๕๐ บาท)
อันที่จริงเดินไปก็ไม่ไกลมาก แต่สำหรับคุณย่าคุณยายก็สะดวกดี ได้บรรยากาศอีกแบบค่ะ
จุดแรกที่รถลากพามาส่งคือวิถีชีวิตเกี่ยวกับข้าวค่ะ เรื่องใหญ่ของคนไทยทุกสมัยเลยเนอะ
จะมีกระบวนการฝัดข้าว ตำข้าว เป็นวิถีสีข้าวแบบโบราณค่ะ คุณลุงแกตำไปก็อธิบายไป ใจดีมากๆ แต่เรามัวแต่ตื่นเต้นลองตำข้าวดู เลยจำขั้นตอนละเอียดๆไม่ได้ค่ะ แหะๆ
เจ้าส้มฉุนก็เข้าไปช่วย(จุ้น)เลือกข้าวเปลือกออกด้วย
ชาวมัลลิกาเล่าว่า ข้าวพวกนี้สะอาด บริสุทธิ์ ปลอดสารพิษในทุกขั้นตอนค่ะ สีออกมาตุ่นๆ หุงแล้วไม่นุ่มนิ่มเท่าข้าวที่เราทานกันทุกวันนี้ ข้าวพวกนี้หุงจริงและจะเสิร์ฟให้ทานในสำรับตอนเย็นสำหรับคนที่ซื้อบัตรอาหารเย็นด้วยค่ะ
ถัดจากสีข้าว ก็จะมีซุ้มเคี่ยวน้ำตาล
แล้วก็เดินตามกลิ่นหอมถ่านเข้าไปในโรงครัวเลย
ณ จุดนี้เราตกใจเหมือนกันนะคะ ทุกอย่างใรโรงครัวหุงด้วยเตาถ่านหมดเลย ควันกลบ แต่หอมถ่านมาก ใจนี่บินไปถึงมื้อค่ำเลยค่ะ ๕๕๕ ในโรงครัวเหมือนเวลาดูละครมาก ที่แม่ครัวกับลูกมือล้อมลงหั่นผัก ตำน้ำพริก เสียงเอะอะโวยวายดูชุลมุน แต่เหมือนเดิมค่ะ ทุกคนยิ้มแย้ม ต้อนรับแขกดีมาก
รู้สึกเหมือนได้เป็นคุณหญิงลงไปตรวจงานในครัวเจ้าค่ะ
ถัดจากโรงครัวก็เป็นเรือนไทยค่ะ ตัวอาคารสวยงาม ขึ้นไปมีลมเย็นโชย อากาศสบายมาก ชาวเมืองมัลลิกากำลังร้อยมาลัย แกะสลักผักผลไม้ และจัดดอกไม้อยู่ ตอนแรกนึกว่าทำโชว์ไปงั้น แต่ปรากฏว่าทุกอย่างไปอยู่บนสำรับอาหารเย็นค่ะ เป็นปลื้มมาก ยิ่งอินกับความเป็นคุณหญิงเข้าไปในใหญ่ ๕๕๕
ถัดจากเรือนไทย เดินทะลุเข้าไปยังตัวเมืองค่ะ สวรรค์ของฉันอยู่ที่นี่!! เพราะมีของกินแบบไทยโบราณเป็นสิบๆร้าน แค่เห็นร้านขนมช่อม่วงร้านแรก พี่ก็วิ่งตับแล่บอยากจะเข้าไปเหมาแล้ว เพราะขนมสวย น่าทานมาก ยิ่งเห็นโรงครัวเมื่อกี้มาด้วยยิ่งแล้วใหญ่
แต่แล้วก็หน้าแตกเพล้งเลยเจ้าค่ะ ๕๕๕ จู่ๆจะควักแบงค์ยี่สิบจ่ายเลยไม่ได้นะ ต้องไปแลกเงินที่แบงค์สยามกัมมาจล ให้เป็นเงินสตางค์ก่อนถึงจะใช้ซื้อของที่เมืองมัลลิกาได้ ๕ บาทเป็น ๑ สตางค์เจ้าค่ะ (ของราคาไม่แพงค่ะ เท่าๆกับซื้อข้างนอก เพราะฉะนั้น!!! ลุยแหลก!!)
ตะลุยซื้ออย่างเดียวเลยเจ้าค่ะ แต่ละร้านขายดีนะคะ เป็นขนมโบราณที่หาทานยาก อย่างพวกจ่ามงกุฎ ช่อม่วง และอะไรอีกหลายอย่างค่ะ ส่วนใหญ่อร่อยทั้งนั้นเลย ขนมครกก็น่ากินแต่รอไม่ไหวค่ะ ขายดีหยอดไม่ทัน แต่ไม่เป็นไร หนทางยังอีกยาวไกล ร้านมีเยอะหลายสิบร้าน
ทานขนมแล้ว ถ้ายังอยากของหนักอยู่ เดินเลยมามีแพริมน้ำ เหมือน food court ค่ะ ขายข้าวราดแกง มีก๋วยเตี๋ยวเรือแล้วก็ขนมอีก ถึงจุดนี้เริ่มอิ่มตาปลิ้นละ ระหว่างทางไปเรือนแพ ยังมีร้านก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด ถั่วต้ม มันต้มดักไว้ด้วย แอ้กกกก...
พ้นจากโซนการกินมาแล้ว (ซึ่งเป็นงานหนักมาก) ก็มีร้านค้าของที่ระลึกเล็กน้อย เป็นน้ำอบน้ำปรุงแล้วก็แป้งผัดหน้าค่ะ แพ็คเกจสวยงามน่าซื้อมากๆ ส่วนใหญ่เป็นกลิ่นดอกไม้ไทยๆ แป้งก็เป็นแป้งออร์แกนิกค่ะ ส่วนผสมจากสมุนไพร
จากนั้นก็เข้าสู่สะพานหันค่ะ สะพานนี้รัชกาลที่ ๕ ท่านทรงจำลองมาจากปองเตเวกคิโอ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีค่ะ สมัยก่อนก็ขายผลไม้แห้ง ผลไม้แช่อิ่ม และที่นี่ก็เช่นกัน
จากนั้นก็จะเป็นทางออกเมืองค่ะ แต่ทั้งหมดนี้กว้างใหญ่นะคะ เดินได้ทั้งวัน เรากลับที่พักไปเก็บข้าวของก่อน เย็นถึงกลับมาทานอาหารและชมการแสดงค่ะ
พอมาตอนเย็น โอ้โหหหห เมืองมัลลิกาสวยไปอีกแบบ เดินสบาย ไฟสีสวยงามตามาก แนะนำว่าควรมาทั้งเช้าและเย็นเลยค่ะ
ตอนเย็นคนลากรถหมดแรงเลย T T
จากนั้นก็ได้เวลาอาหารเย็น เราขึ้นไปบนเรือนไทยหลังใหญ่ ซึ่งมีลานการแสดงตรงกลาง เรือนหลังนี้สวยงามมากค่ะ โต๊ะจัดเตรียมชาม ช้อน และน้ำไว้เป็นอย่างดี มีชาวเมืองคอยต้อนรับและเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเติมได้ไม่อั้นเลย
ฟังดนตรี (ระยะประชิด) รอเวลาตั้งสำรับ
สำรับที่ทานวันนั้นมียำใหญ่ (ใส่สารพัด วางจานจัด หลายเหลือตรา เคยท่องกลอนตั้งแต่เด็ก เพิ่งเห็นและได้ทานของจริง) อร่อยมากกกกก น้องพลับจัดไปสอง แล้วก็มีแกงบวน (เครื่องในหมู) อร่อยมากกกก หมี่กรอบ มัสมั่น ข้าวที่สีเอง ขนมหวานเป็นมะพร้าวแก้ว อร่อยมากกก ผลไม้ แล้วก็น้ำดื่มหอมกลิ่นน้ำยาอุทัย แต่อร่อยกว่าค่ะ
ระหว่างทานก็ชมการแสดงไปด้วย การแสดงสำหรับเราไม่ได้อลังการมาก แต่ก็ได้มาตรฐานค่ะ
รู้สึกได้เลยว่า เออแฮะ ถ้าเป็นคุณหญิงสมัยก่อน กินอาหารพร้อมชมการแสดงไปด้วยนี่มันเพลินจริงๆนะ ๕๕๕
สรุปว่าโดยรวมประทับใจมากค่ะ ทำบรรยากาศออกมาได้ดี ไม่มีสะดุด ชาวเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส ช่างพูดช่างคุย (อยากให้รักษามาตรฐานนี้ไปนานๆเลยล่ะ) ส่วนใหญ่ชาวเมืองมัลลิกาก็คือคนในท้องถิ่นกาญจนบุรีค่ะ ซึ่งอาจเพราะเมืองนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ ทุกคนเลยดูยินดีมากๆจากใจเลยที่เราไปเยี่ยมชม ไม่รู้ว่าถ้าคนมาเที่ยวมากขึ้นจะเหนื่อยมั้ยน้ออออ
อ้อ ขอบอกทริกไว้นิดหนึ่งค่ะ
- ไปแต่เช้าจะดีมาก เพราะแดดไม่ร้อน เดินสบาย
- เด็กเล็กมากๆอย่างเจ้าส้มฉุน (หนึ่งขวบ) เตรียมชุดไปเองก็ดีนะคะ เพราะชุดเด็กที่เมืองมีให้เช่าน่าจะใส่ได้สักสอบขวบขึ้นไป และเป็นคอกระเช้าธรรมดา ต่างจากคุณหญิงแม่ที่ชุดไฮโซมาก ๕๕๕ เดี๋ยวคนนึกว่าลูกทาสนะ
- ถ้าไปไม่เช้าจริง ระวังชุดหมดนะคะ ตอนเรามาคืนชุดคนในห้องแต่งตัวเยอะมากกก เจ้าหน้าที่ช่วยแต่งตัวไม่พอค่ะ ชุดก็ไม่เหลือแล้ว เพราะเขาใส่แล้วเก็บไปซักเลย และกลายเป็นว่าตอนบ่าย คนไม่มีชุดไทยเยอะ บรรยากาศก็เลยดร็อปไป
- อยากจัดเต็มหาชุดใส่ไปเองเลยนะคะ จะได้พร้อมเสื้อผ้าหน้าผม อย่าลืมรองเท้าที่เหมาะกับชุดไทยนะคะ จขกท.นี่ใส่ fred perry ไปเลย ลืมมมคิด
- ทานอาหารเย็นด้วยนะคะ ผ่อนคลายยย อิ่มสบายมาก ต่อให้โปรราคา ๕๕๐ หมดก็ยังคุ้ม
ภาพไม่สวยขออภัยนะคะ ไม่เคยตั้งกระทู้รีวิวเลย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น