ก่อนหน้าที่จะพาลูกชายวัยสามขวบเศษไป Thomas Land มีโอกาสได้ค้นหาข้อมูลจากหลายๆ เว็บรวมถึงเว็บพันทิปด้วย เลยสัญญากับตัวเองว่ากลับมาจะมาทำรีวิววิธีการเดินทางเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับครอบครัวอื่นๆ ที่มีโคงการจะเดียวกัน
โดยรีวิวนี้จะเน้นเฉพาะการเดินทางจากสนามบิน Narita ไปที่ Kawaguchiko และ Thomas Land รวมถึงที่พักอย่างเดียวนะครับ (จริงๆ ทริปนี้ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน) หากเพื่อนๆ พี่ๆ น้อง ต้องการีวิวเพิ่มเติมจะทำเพิ่มให้ทีหลังนะครับ (ถ้ามีคนอยากได้ข้อมูล Sightseeing รอบๆ Kawaguchiko)
หมายเหตุ ขออภัยล่วงหน้าถ้ารูปภาพประกอบอาจจะไม่ครบทุกรูป (ช่วงของการต่อรถไฟ) ด้วยความที่เวลาการต่อรถค่อนข้างกระชั้นบวกกับเดินทางกับเด็ก คุณแม่เลยมีหน้าที่ดูลูก คุณพ่อต้องหิ้วสัมภาระทั้งหมดเลยไม่สามารถเก็บภาพมาครบได้
    ก่อนการเดินทางสิ่งที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนเตรียมข้อมูลไว้ล่วงหน้าคือตารางการเดินรถไฟของเว็บ http://www.hyperdia.com/en/ โดยใส่รายละเอียดดังนี้
สถานีต้นทาง, สถานีปลายทาง, วันที่และเวลาที่เราจะใช้บริการ แล้วก็เลือกว่าเป็น Departure (ออกจากสถานีนั้นๆ) หรือ Arrival (จะไปถึงสถานีนั้นๆ)
หลังจากนั้นก็กด Search เราก็จะได้เวลา รายละเอียดต่างเช่นชานชาลา จำนวนการต่อรถและเวลารวม รวมถึงราคาค่าโดยสารที่เกือบเป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์
    เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ คือถ้าไปกันเป็นหมู่คณะหรือเป็นครอบครัวแนะนำให้มีซักคนนึงเปิด Internet Roaming (ขึ้นอยู่กับเครือข่ายแล้วก็แพ็คเกจที่เหมาะสมกับการเดินทางของคุณ) แล้วก็ทำการเปิด Hot Spot ให้คนข้างเคียงเพื่อเป็นการประหยัดเงิน (ใช้ระหว่างที่ยังไม่ถึงโรงแรมเพื่อช่วยกันหาข้อมูล)

นี่คือหน้าตาของเว็บดังกล่าวนะครับหลังจากใส่ข้อมูลลงไปแล้วเราก็จะได้ผลลัพธ์ดังนี้

จากรูปก็จะเป็นรายละเอียดการเดินทางที่ผมจะต้อง 3 ต่อ จาก Narita Airport ไปต่อรถที่ Shinjuku แล้วก็ต่อไป Otsuki จนถึงสถานีปลายทางที่ Kawaguchiko
    หลังจากเครื่องลง ผ่านกองตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว พอออกมาก็จะเจอกับเคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟตรงด้านหน้า ให้มองป้ายสัญลักษณ์รูปรถไฟ (ทางซ้ายมือใกล้ๆ เคาน์เตอร์) จะมีบันไดลงไปชั้นล่างก็จะเจอกับเคาน์เตอร์ขายตั๋วของ Narita Express


เพื่อความสะดวกเราก็แค่โชว์รูปในโทรศัพท์ที่เราเซฟไว้กับพนักงาน (พนักงานสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีกับสามารถชำระเป็นบัตรเครดิตได้) แล้วเราก็จะได้ตั๋วทั้งหมด

ซึ่งจะมีตั๋วออกมาหลายใบหน่อย ตั๋วที่มีเลขที่นั่งกับชานชาลาจะเป็นตั๋วที่เป็นข้อมูลส่วนตั๋วที่ใช้ผ่านจะมีแค่ชื่อสถานี (ลูกชายประมาณ 3 ขวบ คิดเงินบ้างไม่คิดบ้าง เลยงงกับตั๋วในมืออยู่พักใหญ่ ต้องเดินกลับไปถามอีกรอบ)
พอได้ตั๋วก็เดินผ่านช่องเข้าสถานีเดินลงไปบันไดไปชั้นล่างก็จะเจอชานชาลาที่มีป้ายไฟที่มีรายละเอียดเลขชานชาลา



ก็รอกันพักนึงจนรถไฟมา หลังจากรถไฟจอดก็รอให้พนักงานทำความสะอาดตรวจความปลอดภัยถึงจะขึ้นรถได้ จะขอแนะนำว่าให้นั่งตรงกับเลขที่นั่งในตั๋วนะครับเพราะจะมีพนักงานมาคอยเดินตรวจอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องสัมภาระสามารถนำไปเก็บไว้ในช่องเก็บกระเป๋าได้

โดยจะมีสายคล้องกระเป๋าเพื่อความปลอดภัย สามารถตั้งรหัสล็อคได้ด้วยตัวเราเอง บนรถจะมีการประกาศภาษาอังกฤษและมีจอมอนิเตอร์ภาษาอังกฤษให้เราดู


พอถึง Shinjuku ก็ทำการต่อรถไฟขบวนถัดไปตามข้อมูลในลิงค์  อย่างที่เห็นว่ามีเวลาแค่ 11 นาทีจึงต้องรีบวิ่งตูดชี้ ปุเลงๆ กระเป๋าจูงลูกกันไปเพราะกลัวจะตกรถไฟ
รถไฟระหว่าง Shinjuku ไป Otsuki จะมีพนักงานเข็นรถเข็นขายอาหารมาบริการ

พอมาถึงสถานี Otsuki อยากจะแนะนำคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านให้รอรถไฟธีมโธมัสที่มีบริการวันละ 2 เที่ยวเลยดีกว่า วันนั้นผมไปถึงประมาณ 12.45 น. เจ้าหน้าที่ที่สถานีบอกว่ารถไฟโธมัสรออีกประมาณชั่วโมงกว่า วันนั้นตัดสินใจไม่รอเพราะใจอยากจะรีบไปให้ถึงสถานีปลายทางแล้วหาโรงแรมให้เจอมากกว่า (เลยอดพาลูกขึ้นรถไฟโธมัสเลยเพราะวันที่เหลือเวลาไม่พอดี พอจะพาลูกไปขึ้นเลยเพิ่งรู้ว่ามีแค่วันละสองเที่ยว)
ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีปลายทางคือสถานี Kawaguchiko


โดยสถานีนี้เป็นสถานีที่รวมทั้งรถไฟและรถบัสรวมถึงมีร้านอาหาร (เล็กๆ) Tourist information ครบเลยทีเดียว พอออกมาจากสถานี้ก็เปิด Google Map เพื่อหาตำแหน่งโรงแรม แค่ข้ามถนนแล้วเลี้ยวขวาเดินไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงแล้วครับ (ค่าห้อง 4 วัน 3 คืน ตกอยู่ที่ประมาณเกือบ 15,000 บาท) จองผ่าน Agoda โรงแรมชื่อ Plaza Inn พอไปถึงโรงแรมแค่ยื่นใบจองห้องพักที่ปริ๊นท์มาจากเน็ตแล้วก็ได้กุญแจเลย พาสปอร์ตยังไม่ดูเลยครับ เวลาเช็คอินที่โรงแรมจะอยู่ที่ 15.00 น. แต่ผมไปถึงประมาณบ่ายกว่าๆ เจ้าของโรงแรมที่เป็นลุงญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษได้ก็บอกว่ายังไม่ถึงเวลาแต่ห้องเสร็จแล้วเลยยอมให้เช็คอิน
โดยรวมห้องพักถือว่าโอเคสำหรับผมที่เคยเป็นลูกเรือและเดินทางมาญี่ปุ่นหลายครั้ง สาเหตุที่เลือกโรงแรมนี้คือตำแหน่งที่ตั้งที่ใกล้กับสถานีเพราะไม่ต้องการจะลากกระเป๋าต่อรถเมล์กระเตงลูกกับกระเป๋าไปอีก โรงแรมเป็นตึก 4 ชั้น ในห้องมี Free Wifi







พอได้ห้องพักเก็บกระเป๋าก็ออกไปเที่ยวตามที่แพลนไว้ (ขอข้ามไปก่อนนะครับ) กลับมานอนเก็บแรงเตรียมลุยพรุ่งนี้ต่อ (ต่อ Part 2)