Kimi No Na wa หนังการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังที่โกยรายได้อย่างถล่มทลายมาแล้วที่ญี่ปุ่น เราเลยตั้งตารอคอยด้วยความตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังที่สูงมาก แต่เมื่อพอดูจบ เรากลับไม่ได้รู้สึกประทับใจเท่าที่คาดหวังไว้
ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ เราไม่เคยรู้จัก Makoto Shinkai มาก่อนเลย พอรู้ถึงข่าวของหนังเรื่องนี้ เราเลยไปหาผลงานเก่าๆของเค้ามาดู เพื่อวอร์มอัพเตรียมความพร้อมก่อน ซึ่งเราได้ดูไปแค่เรื่องเดียว คือ 5 Centimeters Per Second และเราชอบมากๆ เราไม่เคยได้ดูหนังการ์ตูนที่มันกระทบความรู้สึกเราเท่านี้มาก่อน และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เราคาดหวังไว้สูงสำหรับ Kimi no Na wa
แม้ว่าเราจะรู้สึกค่อนข้างผิดหวังนิดหน่อยกับหนังเรื่องนี้ แต่โดยรวม เราว่ามันก็ยังเป็นหนังที่เราแนะนำให้ไปดู หนังมีส่วนดีอยู่เยอะมากๆเช่นกัน ที่สำคัญคือ หนังมันดูสนุกมากๆเลยแหละ
งานภาพเป็นจุดเด่นของผลงานของ Makoto Shinkai อยู่แล้ว เราชอบงานภาพของ 5 Centimeters Per Second มากๆ ราวกับว่าเราได้เห็นภาพจริงของบ้านเมืองญี่ปุ่นมาวิ่งเล่นเป็นลายเส้นของการ์ตูนเลย พอมาถึง Kimi no Na wa ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก โดยเฉพาะภาพวิวทิวทัศน์ของฉากหลัง ตึกรามบ้านช่องของโตเกียวและบรรยากาศในเมืองต่างจังหวัดของญี่ปุ่น เราชอบแสงของเรื่องนี้มาก มีหลายซีนที่เป็นภาพแสงที่ตกกระทบผิวของทะเลสาป มันสวยงดงามมาก จนเราอยากไปนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆเลย อยากแค่ไปนั่งมองอยู่ตรงนั้น ก็คงจะมีความสุขมากๆแล้ว
เราชอบครึ่งเรื่องแรกของหนังเรื่องนี้มากๆ หนังเล่าเรื่องได้สนุก น่ารักสุดๆ เราชอบไอเดียการคิดเรื่องการสลับตัวกันมาก แม้มันจะโคตรเชยเลย แต่หนังกลับเล่าได้น่าสนใจ การใส่ประเด็นความสัมพันธ์ของ Taki กับ รุ่นพี่ Okudera ทำให้เกิดน้ำหนักที่ดี ที่ส่งไปยังการเล่าประเด็นความรู้สึกระหว่าง Taki กับ Mitsuha ในภายหลัง เราชอบหนังเรื่องนี้ไปจนถึงช่วงที่ Taki ออกเดินทางไปตามหา Mitsuha และได้รู้ความจริงว่า เมือง Itomori พังทลายไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ซีนหลังจากนั้นเราไม่ค่อยชอบเลย แต่มาชอบอีกทีซีนสุดท้ายของเรื่องเลย เมื่อ Taki และ Mitsuha เดินสวนกัน
จุดใหญ่ที่เราไม่ค่อยชอบของหนังเรื่องนี้ คือตอนที่หลังจาก Taki ดื่มสาเกเพื่อที่จะย้อนเวลากลับไปเป็น Mitsuha เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพื่อจะกลับไปปกป้องเมือง Itomori เรารู้สึกว่ามันเสียน้ำหนักในการเล่าความสัมพันธ์ในเชิงความรู้สึกของทั้งสอง ซึ่งเราว่ามันทำได้ดีมากในช่วงแรก และเราก็ไม่ชอบซีนที่ทั้งคู่มาเจอกันที่ภูเขาช่วงเวลาสนธยา แล้วเขียนชื่อบนมือของทั้งคู่ ส่วนตัวเรากลับไม่อินในช่วงนี้เลย มันอาจจะดูแกรนด์จนเกินไป เราเลยไม่อินมั้ง หรือแม้แต่ตอนที่ Mitsuha หกล้มกลิ้ง แล้วกำลังจะลืมชื่อ Taki จึงแบมือออกมาดู Taki แต่กลับมีข้อความว่า "ฉันรักเธอ" แทน มันไม่กระทบใจผมเลยช่วงนี้
เพลงประกอบยังคงเป็นจุดเด่นในงานของ Makoto Shinkai ผลงานเพลงของวงร็อคอย่าง Radwimps โดยมี 2 เพลงเด่นอย่าง Nandemonaiya กับ Sparkle ซึ่งผมชอบทั้ง 2 เพลงเลย เพลงเพราะมากๆแบบไม่ต้องมีข้อโต้แย้งใดๆเลย เนื้อหาก็คมคายมากๆ เราคงฟัง 2 เพลงนี้ไปอีกเป็นเดือนๆเลยแหละ
"สายลมแห่งความโศกเศร้าได้พัดปลิวผ่านช่องวางระหว่างเรา นำพาความเหงามากับสายลมเบาๆ"
"..ถึงแม้ไม่มีเธอ แต่โลกนี้ก็คงยังมีความหมายอะไรบางอย่าง"
...แต่ถ้าโลกนี้ไม่มีเธอ มันเปรียบเหมือนเดือนสิงหาคมที่ไม่มีวันปิดเทอมฤดูร้อนเลยแหละ
...ในโลกที่ไม่มีเธอ ก็เหมือนซานตาคลอส ที่ไม่ได้หัวเราะว่า โฮะโฮโฮ"
พร็อตเรื่องที่ดูเชยสุดๆ ตัวละครเอกชาย Taki หนุ่มนักเรียนมัธยมในกรุงโตเกียว ตัวละครเอกหญิง Mitsuho นักเรียนในเมือง Itomori ลูกสาวของนายกเทศมนตรีเมืองนี้ ที่เบื่อหน่ายเมืองนี้เต็มที อยากเข้าไปเรียนต่อที่โตเกียวแล้ว ทั้ง 2 คน เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น พวกเค้าเกิดสลับร่างกายกันหลังจากนอนหลับ ฟังดูเชยมากๆ แต่หนังเล่าได้สนุกสุดๆ ในความเชย กลับมีความน่าสนใจมากๆ หลังจากหนังเริ่มเฉลยว่า ช่วงที่ทั้ง 2 สลับร่างกันนั้น มันเป็นคนละช่วงเวลากัน มันเลยทำให้เรื่องราวเกิดความน่าติดตามมากขึ้นอีกเยอะ
เราชอบในช่วงเวลาที่ทั้ง 2 สลับตัวกัน มันเกิดการเติมเต็มบางอย่างระหว่างกัน ทั้ง 2 ได้ทำในสิ่งที่อีกคนไม่กล้าทำ หรือไม่คิดที่จะทำ ซึ่งมันกลับมีเรื่องราวดีๆอยู่ในนั้น แม้ทั้ง 2 จะไม่เคยพบเจอกันเลย แต่เรากลับรู้สึกว่าทั้ง 2 เหมือนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทั้ง 2 สื่อสารเรื่องราวของกันและกันผ่านการเขียนไดอารี่ ซึ่งมันน่ารักมากๆ เสน่ห์ของการเขียนบันทึกเรื่องราว ยังไงก็ยังน่ารักอยู่ดี แม้ว่าเทคโนโลยีในโลกเราจะพัฒนาไปไกลมากแค่ไหนก็ตาม แต่เรายังเชื่อว่า การสื่อสารในรูปแบบการเขียน จะยังคงมีเสน่ห์ในแบบที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้
เราว่าช่วงนี้คือจุดสำคัญเลยนะ ว่าเราดูแล้วเชื่อในความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ไหม ถ้าหนังทำให้เราเชื่อไม่ได้ เราว่าจบเลยนะ ซึ่งส่วนตัวเราเองก็ตอบไม่ได้ว่าทั้ง 2 รักกันหรือไม่ และถ้ารักจริง ไปเริ่มรักกันตอนไหน แต่เรารู้สึกได้จากช่วงที่ทั้ง 2 สลับตัวกันนั่นแหละ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าตอนไหน แต่เรารู้สึกว่ามันค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเลยดูจริงมาก เรารับรู้ถึง "ความรู้สึกพิเศษ" ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญ เรารู้สึกว่ามันเกิดขึ้นกับทั้ง 2 คนพร้อมๆกันเลย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกไปเองข้างเดียว
เราชอบตอนที่ Mitsuha ในร่างของ Taki ที่พยายามช่วยเหลือ Taki ในการจีบรุ่นพี่ Okudera ที่ Taki เองแอบชอบอยู่ เราชอบที่หนังมันสมจริงตรงนี้ ช่วงที่ Taki จีบรุ่นพี่ มันไม่ใช่ตัวของเค้าเอง สุดท้ายตอนไปเดท มันเลยไปไม่รอด เราต้องเป็นตัวของตัวเอง ถ้าความสัมพันธ์มันจะเกิดขึ้นได้ มันก็ควรเป็นความสัมพันธ์ที่ทั้ง 2 เป็นตัวของตัวเอง ไม่ฝืน เราชอบที่รุ่นพี่บอกว่า Taki มีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม จังหวะนี้แหละ ที่เราว่า Taki เริ่มเอะใจในความรู้สึกของเค้าที่มีต่อ Mitsuha หลังจากแยกกับรุ่นพี่ในเย็นนั้น เค้าจึงกดโทรศัพท์หา Mitsuha แต่แล้วก็...
ผมชอบที่ตัวละครทั้ง 2 คน มักจะร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล เราเชื่อว่าความรู้สึกมันเชื่อมต่อ มันส่งผ่านถึงกันได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราก็เคยเป็นเหมือนกันนะ ในบางโมเม้นท์ อยู่ๆน้ำตาก็จะไหล เหมือนเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา แต่ก็บอกไม่ได้นะว่าคือความรู้สึกอะไร ทั้งที่ช่วงนั้นตัวเราเองก็ไม่ได้เศร้า ไม่ได้เหงานะ
ซีนที่เราชอบที่สุดของหนัง คือ ฉากที่ Mitsuha เดินทางมาโตเกียวเพื่อมาหา Taki (ซึ่งตอนนั้นเค้ายังไม่รู้ว่า การเดินทางข้ามความฝันของพวกเค้า มันเหลื่อมช่วงเวลากันอยู่ถึง 3 ปี) เค้ารู้สึกประหม่าเมื่อตอนนั่งอยู่ในรถไฟที่กำลังวิ่งเข้าโตเกียว เค้าพูดในใจกับตัวเอง "ถ้าเราไปปรากฎตัวต่อหน้าเค้า จะเป็นการรบกวนเค้ารึเปล่า แล้วเค้าจะเซอไพรส์ไหมนะ แต่มันคงยากแหละที่จะได้เจอเค้าจริงๆ แต่ว่า...ถ้าได้พบกันจริงๆล่ะ เราจะทำให้เค้ารำคาญไหม มันจะดูเงอะๆงะๆไหมนะ หรือว่า...เค้าอาจจะดีใจที่ได้เจอเรากันแน่"
พอมาถึงโตเกียว Mitsuha เกือบจะหา Taki ไม่เจอแล้ว แต่สุดท้ายอะไรบางอย่างก็ช่วยให้เธอมองไปเห็น Taki ซึ่งยืนอยู่ในรถไฟ เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปในรถไฟขบวนนั้น แล้วเดินเข้าไปหา Taki ซีนที่ยืนเผชิญหน้ากันบนรถไฟ เราแอบน้ำตาซึมเลย Mitsuha เอ่ยปากเรียกชื่อ Taki และแน่นอนว่า Taki ไม่รู้จัก Mitsuha หรอกในตอนนั้น แต่สิ่งที่เราชอบมาก คือ ความรู้สึกบางอย่างในชีวิตเรา มันอธิบายไม่ได้ เหตุผลที่ Taki เรียก Mitsuha ตอนที่เธอจะวิ่งหนีออกจากขบวนรถไฟไป มันก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน แต่ทั้งหมด เราเชื่อว่า มันเกิดขึ้นเพราะ Taki รู้สึกอะไรบางอย่าง ซึ่งเราเชื่อว่า ความรู้สึกในวินาทีนั้น ตัว Taki เองก็คงจะอธิบายไม่ได้ เพียงแค่มัน "รู้สึก" เท่านั้น
เราเชื่อว่า คนเราเกิดมาเพื่อค้นหาใครบางคน ใครบางคนที่เราไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งใบหน้าของเค้า แต่ใครคนนั้นถูกเชื่อมโยงกับเราด้วยความรู้สึก ที่มีแค่เรากับเค้าเท่านั้นที่รับรู้ได้ มันไม่ใช่เรื่องของห้วงเวลา ไม่ใช่เรื่องของสถานที่ มันคือเรื่องของ "ความรู้สึก" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เราชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้มาก เราเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยเกิดโมเม้นท์แบบตอนจบของหนังเรื่องนี้ เราเคยเดินสวนกับใครบางคน แล้วเราเกิดความรู้สึกบางอย่าง เราเชื่อว่ามันอธิบายเป็นคำพูดลำบากเหลือเกิน เราไม่รู้ว่าที่เราเกิดความรู้สึกแบบนั้นกับใครบางคนในบางช่วงเวลา มันเพราะเหตุใดกันแน่ หรือว่าเราต่างก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบในหนังเรื่องนี้กันทั้งนั้น
เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เราเดินสวนกับใครบางคน แล้วเราเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา มันมีแค่สองทางเลือกเท่านั้นสำหรับเรา คือ เดินผ่านกันไปเฉยๆแล้วจบไป ไม่ได้เจอกันอีก หรือ เราจะเลือกหยุด หันหลังไปเรียกเค้า แล้วถามเค้าว่า "เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Your Name (Kimi no Na wa) - เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า (Spoil)
ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ เราไม่เคยรู้จัก Makoto Shinkai มาก่อนเลย พอรู้ถึงข่าวของหนังเรื่องนี้ เราเลยไปหาผลงานเก่าๆของเค้ามาดู เพื่อวอร์มอัพเตรียมความพร้อมก่อน ซึ่งเราได้ดูไปแค่เรื่องเดียว คือ 5 Centimeters Per Second และเราชอบมากๆ เราไม่เคยได้ดูหนังการ์ตูนที่มันกระทบความรู้สึกเราเท่านี้มาก่อน และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เราคาดหวังไว้สูงสำหรับ Kimi no Na wa
แม้ว่าเราจะรู้สึกค่อนข้างผิดหวังนิดหน่อยกับหนังเรื่องนี้ แต่โดยรวม เราว่ามันก็ยังเป็นหนังที่เราแนะนำให้ไปดู หนังมีส่วนดีอยู่เยอะมากๆเช่นกัน ที่สำคัญคือ หนังมันดูสนุกมากๆเลยแหละ
งานภาพเป็นจุดเด่นของผลงานของ Makoto Shinkai อยู่แล้ว เราชอบงานภาพของ 5 Centimeters Per Second มากๆ ราวกับว่าเราได้เห็นภาพจริงของบ้านเมืองญี่ปุ่นมาวิ่งเล่นเป็นลายเส้นของการ์ตูนเลย พอมาถึง Kimi no Na wa ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก โดยเฉพาะภาพวิวทิวทัศน์ของฉากหลัง ตึกรามบ้านช่องของโตเกียวและบรรยากาศในเมืองต่างจังหวัดของญี่ปุ่น เราชอบแสงของเรื่องนี้มาก มีหลายซีนที่เป็นภาพแสงที่ตกกระทบผิวของทะเลสาป มันสวยงดงามมาก จนเราอยากไปนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆเลย อยากแค่ไปนั่งมองอยู่ตรงนั้น ก็คงจะมีความสุขมากๆแล้ว
เราชอบครึ่งเรื่องแรกของหนังเรื่องนี้มากๆ หนังเล่าเรื่องได้สนุก น่ารักสุดๆ เราชอบไอเดียการคิดเรื่องการสลับตัวกันมาก แม้มันจะโคตรเชยเลย แต่หนังกลับเล่าได้น่าสนใจ การใส่ประเด็นความสัมพันธ์ของ Taki กับ รุ่นพี่ Okudera ทำให้เกิดน้ำหนักที่ดี ที่ส่งไปยังการเล่าประเด็นความรู้สึกระหว่าง Taki กับ Mitsuha ในภายหลัง เราชอบหนังเรื่องนี้ไปจนถึงช่วงที่ Taki ออกเดินทางไปตามหา Mitsuha และได้รู้ความจริงว่า เมือง Itomori พังทลายไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ซีนหลังจากนั้นเราไม่ค่อยชอบเลย แต่มาชอบอีกทีซีนสุดท้ายของเรื่องเลย เมื่อ Taki และ Mitsuha เดินสวนกัน
จุดใหญ่ที่เราไม่ค่อยชอบของหนังเรื่องนี้ คือตอนที่หลังจาก Taki ดื่มสาเกเพื่อที่จะย้อนเวลากลับไปเป็น Mitsuha เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพื่อจะกลับไปปกป้องเมือง Itomori เรารู้สึกว่ามันเสียน้ำหนักในการเล่าความสัมพันธ์ในเชิงความรู้สึกของทั้งสอง ซึ่งเราว่ามันทำได้ดีมากในช่วงแรก และเราก็ไม่ชอบซีนที่ทั้งคู่มาเจอกันที่ภูเขาช่วงเวลาสนธยา แล้วเขียนชื่อบนมือของทั้งคู่ ส่วนตัวเรากลับไม่อินในช่วงนี้เลย มันอาจจะดูแกรนด์จนเกินไป เราเลยไม่อินมั้ง หรือแม้แต่ตอนที่ Mitsuha หกล้มกลิ้ง แล้วกำลังจะลืมชื่อ Taki จึงแบมือออกมาดู Taki แต่กลับมีข้อความว่า "ฉันรักเธอ" แทน มันไม่กระทบใจผมเลยช่วงนี้
เพลงประกอบยังคงเป็นจุดเด่นในงานของ Makoto Shinkai ผลงานเพลงของวงร็อคอย่าง Radwimps โดยมี 2 เพลงเด่นอย่าง Nandemonaiya กับ Sparkle ซึ่งผมชอบทั้ง 2 เพลงเลย เพลงเพราะมากๆแบบไม่ต้องมีข้อโต้แย้งใดๆเลย เนื้อหาก็คมคายมากๆ เราคงฟัง 2 เพลงนี้ไปอีกเป็นเดือนๆเลยแหละ
"สายลมแห่งความโศกเศร้าได้พัดปลิวผ่านช่องวางระหว่างเรา นำพาความเหงามากับสายลมเบาๆ"
"..ถึงแม้ไม่มีเธอ แต่โลกนี้ก็คงยังมีความหมายอะไรบางอย่าง"
...แต่ถ้าโลกนี้ไม่มีเธอ มันเปรียบเหมือนเดือนสิงหาคมที่ไม่มีวันปิดเทอมฤดูร้อนเลยแหละ
...ในโลกที่ไม่มีเธอ ก็เหมือนซานตาคลอส ที่ไม่ได้หัวเราะว่า โฮะโฮโฮ"
พร็อตเรื่องที่ดูเชยสุดๆ ตัวละครเอกชาย Taki หนุ่มนักเรียนมัธยมในกรุงโตเกียว ตัวละครเอกหญิง Mitsuho นักเรียนในเมือง Itomori ลูกสาวของนายกเทศมนตรีเมืองนี้ ที่เบื่อหน่ายเมืองนี้เต็มที อยากเข้าไปเรียนต่อที่โตเกียวแล้ว ทั้ง 2 คน เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น พวกเค้าเกิดสลับร่างกายกันหลังจากนอนหลับ ฟังดูเชยมากๆ แต่หนังเล่าได้สนุกสุดๆ ในความเชย กลับมีความน่าสนใจมากๆ หลังจากหนังเริ่มเฉลยว่า ช่วงที่ทั้ง 2 สลับร่างกันนั้น มันเป็นคนละช่วงเวลากัน มันเลยทำให้เรื่องราวเกิดความน่าติดตามมากขึ้นอีกเยอะ
เราชอบในช่วงเวลาที่ทั้ง 2 สลับตัวกัน มันเกิดการเติมเต็มบางอย่างระหว่างกัน ทั้ง 2 ได้ทำในสิ่งที่อีกคนไม่กล้าทำ หรือไม่คิดที่จะทำ ซึ่งมันกลับมีเรื่องราวดีๆอยู่ในนั้น แม้ทั้ง 2 จะไม่เคยพบเจอกันเลย แต่เรากลับรู้สึกว่าทั้ง 2 เหมือนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทั้ง 2 สื่อสารเรื่องราวของกันและกันผ่านการเขียนไดอารี่ ซึ่งมันน่ารักมากๆ เสน่ห์ของการเขียนบันทึกเรื่องราว ยังไงก็ยังน่ารักอยู่ดี แม้ว่าเทคโนโลยีในโลกเราจะพัฒนาไปไกลมากแค่ไหนก็ตาม แต่เรายังเชื่อว่า การสื่อสารในรูปแบบการเขียน จะยังคงมีเสน่ห์ในแบบที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้
เราว่าช่วงนี้คือจุดสำคัญเลยนะ ว่าเราดูแล้วเชื่อในความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ไหม ถ้าหนังทำให้เราเชื่อไม่ได้ เราว่าจบเลยนะ ซึ่งส่วนตัวเราเองก็ตอบไม่ได้ว่าทั้ง 2 รักกันหรือไม่ และถ้ารักจริง ไปเริ่มรักกันตอนไหน แต่เรารู้สึกได้จากช่วงที่ทั้ง 2 สลับตัวกันนั่นแหละ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าตอนไหน แต่เรารู้สึกว่ามันค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเลยดูจริงมาก เรารับรู้ถึง "ความรู้สึกพิเศษ" ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญ เรารู้สึกว่ามันเกิดขึ้นกับทั้ง 2 คนพร้อมๆกันเลย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกไปเองข้างเดียว
เราชอบตอนที่ Mitsuha ในร่างของ Taki ที่พยายามช่วยเหลือ Taki ในการจีบรุ่นพี่ Okudera ที่ Taki เองแอบชอบอยู่ เราชอบที่หนังมันสมจริงตรงนี้ ช่วงที่ Taki จีบรุ่นพี่ มันไม่ใช่ตัวของเค้าเอง สุดท้ายตอนไปเดท มันเลยไปไม่รอด เราต้องเป็นตัวของตัวเอง ถ้าความสัมพันธ์มันจะเกิดขึ้นได้ มันก็ควรเป็นความสัมพันธ์ที่ทั้ง 2 เป็นตัวของตัวเอง ไม่ฝืน เราชอบที่รุ่นพี่บอกว่า Taki มีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม จังหวะนี้แหละ ที่เราว่า Taki เริ่มเอะใจในความรู้สึกของเค้าที่มีต่อ Mitsuha หลังจากแยกกับรุ่นพี่ในเย็นนั้น เค้าจึงกดโทรศัพท์หา Mitsuha แต่แล้วก็...
ผมชอบที่ตัวละครทั้ง 2 คน มักจะร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล เราเชื่อว่าความรู้สึกมันเชื่อมต่อ มันส่งผ่านถึงกันได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราก็เคยเป็นเหมือนกันนะ ในบางโมเม้นท์ อยู่ๆน้ำตาก็จะไหล เหมือนเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา แต่ก็บอกไม่ได้นะว่าคือความรู้สึกอะไร ทั้งที่ช่วงนั้นตัวเราเองก็ไม่ได้เศร้า ไม่ได้เหงานะ
ซีนที่เราชอบที่สุดของหนัง คือ ฉากที่ Mitsuha เดินทางมาโตเกียวเพื่อมาหา Taki (ซึ่งตอนนั้นเค้ายังไม่รู้ว่า การเดินทางข้ามความฝันของพวกเค้า มันเหลื่อมช่วงเวลากันอยู่ถึง 3 ปี) เค้ารู้สึกประหม่าเมื่อตอนนั่งอยู่ในรถไฟที่กำลังวิ่งเข้าโตเกียว เค้าพูดในใจกับตัวเอง "ถ้าเราไปปรากฎตัวต่อหน้าเค้า จะเป็นการรบกวนเค้ารึเปล่า แล้วเค้าจะเซอไพรส์ไหมนะ แต่มันคงยากแหละที่จะได้เจอเค้าจริงๆ แต่ว่า...ถ้าได้พบกันจริงๆล่ะ เราจะทำให้เค้ารำคาญไหม มันจะดูเงอะๆงะๆไหมนะ หรือว่า...เค้าอาจจะดีใจที่ได้เจอเรากันแน่"
พอมาถึงโตเกียว Mitsuha เกือบจะหา Taki ไม่เจอแล้ว แต่สุดท้ายอะไรบางอย่างก็ช่วยให้เธอมองไปเห็น Taki ซึ่งยืนอยู่ในรถไฟ เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปในรถไฟขบวนนั้น แล้วเดินเข้าไปหา Taki ซีนที่ยืนเผชิญหน้ากันบนรถไฟ เราแอบน้ำตาซึมเลย Mitsuha เอ่ยปากเรียกชื่อ Taki และแน่นอนว่า Taki ไม่รู้จัก Mitsuha หรอกในตอนนั้น แต่สิ่งที่เราชอบมาก คือ ความรู้สึกบางอย่างในชีวิตเรา มันอธิบายไม่ได้ เหตุผลที่ Taki เรียก Mitsuha ตอนที่เธอจะวิ่งหนีออกจากขบวนรถไฟไป มันก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน แต่ทั้งหมด เราเชื่อว่า มันเกิดขึ้นเพราะ Taki รู้สึกอะไรบางอย่าง ซึ่งเราเชื่อว่า ความรู้สึกในวินาทีนั้น ตัว Taki เองก็คงจะอธิบายไม่ได้ เพียงแค่มัน "รู้สึก" เท่านั้น
เราเชื่อว่า คนเราเกิดมาเพื่อค้นหาใครบางคน ใครบางคนที่เราไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งใบหน้าของเค้า แต่ใครคนนั้นถูกเชื่อมโยงกับเราด้วยความรู้สึก ที่มีแค่เรากับเค้าเท่านั้นที่รับรู้ได้ มันไม่ใช่เรื่องของห้วงเวลา ไม่ใช่เรื่องของสถานที่ มันคือเรื่องของ "ความรู้สึก" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เราชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้มาก เราเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยเกิดโมเม้นท์แบบตอนจบของหนังเรื่องนี้ เราเคยเดินสวนกับใครบางคน แล้วเราเกิดความรู้สึกบางอย่าง เราเชื่อว่ามันอธิบายเป็นคำพูดลำบากเหลือเกิน เราไม่รู้ว่าที่เราเกิดความรู้สึกแบบนั้นกับใครบางคนในบางช่วงเวลา มันเพราะเหตุใดกันแน่ หรือว่าเราต่างก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบในหนังเรื่องนี้กันทั้งนั้น
เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เราเดินสวนกับใครบางคน แล้วเราเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา มันมีแค่สองทางเลือกเท่านั้นสำหรับเรา คือ เดินผ่านกันไปเฉยๆแล้วจบไป ไม่ได้เจอกันอีก หรือ เราจะเลือกหยุด หันหลังไปเรียกเค้า แล้วถามเค้าว่า "เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/