เทิดพระเกียรติ.....จอมราชัน.....จอมทัพไทย

วันนี้เมื่อ 38 ปีก่อน มีเหตุการณ์สำคัญอยู่เหตุการณ์หนึ่ง

ซึ่งทำให้ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีใครคาดถึง

ดุลอำนาจของโลกกลับมาสมดุล ภัยสงครามในแถบอินโดจีนก็ค่อยๆดับลง

จนพบสันติภาพมาจนถึงทุกวันนี้ เหตุการณ์นั้นคือ

การมาเยือนประเทศไทยของ เติ้ง เสี่ยว ผิง รองนายกรัฐมนตรีของจีน (ช่วงนั้นเรียก จีนแดง)

ในวันที่ 5 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ 2521 (ค.ศ 1978)




[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้






ขณะนั้น กองทัพเวียดนาม (โดยการหนุนของโซเวียด)กำลังฮึกเหิมเพราะยึดลาวและเขมรได้ จึงระดมกองทัพประชิดชายแดนไทย

เพื่อเตรียมการบุกยึดไทยเป็นประเทศต่อไป


ในช่วงเวลานั้น ประเทศไทย เต็มไปด้วยปัญหาภายในมากมาย เหตูการณ์ 14 ตุลาคม 2516

และเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ 2519 ทำให้ภายในประเทศไม่สงบ สังคมไทยมีความแตกแยกรุนแรง

ขวัญของประชาชนทั้งในเมืองและนอกเมืองต่างก็หวาดกลัวกับภัยคอมมูนิสต์

เหล่าคนมีฐานะโดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีนที่พึ่งหนีจากภัยคอมมูนิสต์จีนมาแค่ 20 กว่าปี

ก็เตรียมตัวที่จะอพยพหนีอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายที่เกาะปีนัง



เมื่อภาพรวมประเทศไทยเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะมองว่า ประเทศไทยยากที่จะหลุดพ้นภัยนี้

ถึงกับตั้งเป็นทฤษฎีว่า "ทฤษฎี โดมิโน่ Domino Theory"

แม้แต่กองทัพเวียดนามก็ประกาศดูแคลนประเทศไทยว่า

จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็จะยึดกรุงเทพได้


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


การมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีนัยสำคัญยิ่งเพราะ

3 เดือนให้หลัง คือในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2522 จีนได้บุกเวียดนามทันที โดยสงครามครั้งนี้มีชื่อว่า

"สงครามสั่งสอน"





ในวันแรกๆของสงคราม กองทัพจีน วางแผนผิดพลาด จึงเสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมาก

แต่ภายหลังได้ปรับยุทธศาสตร์ หันมาใช้ปืนใหญ่ระดมยิงอย่างไม่หยุด ทำให้กองทัพเวียดนามแตกพ่ายยับเยิน

ช่วงท้ายๆของสงคราม เวียดนาม เลยต้องเรียกกองพันที่ได้ชื่อว่ารบเก่งที่สุดคือ กองพันรบพิเศษ 171

ไปป้องกัน แต่สุดท้ายก็โดนจีนถล่มแตกพ่ายไป นับตั้งแต่นั้นมา ศักยภาพของกองทัพเวียดนามก็ด้อยลงไป

ชายแดนไทยทั้งหมดก็ค่อยๆปลอดภัยขึ้นมา จนในที่สุดไทยก็รอดพ้นภัยคอมมูนิสต์ที่หวาดกลัวกัน


มาถึงตรงนี้ทุกคนอาจจะคิดกันว่า ที่ไทยรอดในครั้งนั้นเพราะจีนช่วย ซึ่งความจริงก็ถูกเพียงด้านเดียว

เพราะแท้ที่จริงแล้ว ในบรรดาผู้บริหารระดับสูงของจีนในช่วงนั้น ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า

ปล่อยให้ประเทศไทยถูกยึดก่อน จึงค่อยเข้ามารบกับเวียดนาม มีแต่ เติ้ง เสี่ยว ผิง เพียงคนเดียว

ที่กล่าวว่า "จะช่วยเพื่อนต้องช่วยให้ทันการณ์" จึงบุกเวียดนามทันที

เหตุการณ์แบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยถ้า เติ้ง ไม่ได้มาพบกับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศก่อน


พระอัจฉริยะภาพในการเป็นกษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่ง "จอมทัพไทย" โดยเด่นเป็นอย่างมากในช่วงขณะนั้น

พระองค์เป็นมิ่งขวัญปวงชนชาวไทย  ในยามที่ประชาชนหวาดผวาต่อภัยคุกคาม

ภาพที่พระองค์เสด็จไปปลอบขวัญทหาร ตำรวจ และประชาชน ในแนวหน้า

เป็นที่ซาบซึ้งและประทับใจต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า ขวัญและกำลังใจของคนไทยทั้งชาติกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียว

เพื่อปกป้องแผ่นดินไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของประชาชนชาวไทย








ยุทธศาสตร์ของจีนและไทย ในการแก้ปัญหาภัยการรุกรานของเวียดนามครั้งนี้

ตรงกับสุดยอดกลยุทธ์ที่ 2 ใน 36 กลยุทธ์ของจีน "ล้อมเมืองเว่ย ช่วยเมืองจ้าว 围魏救赵"

ซึ่งกลยุทธ์นี้จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าประเทศไทยอ่อนแอจนเกินไป

แต่ด้วยพระบารมีและพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ท่าน ทำให้ประเทศไทย

นอกจากจะรอดพ้นจากภัยคอมมูนิสต์แล้ว ยังทำให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองที่สุดในประเทศแถบนี้


ทุกวันนี้ผู้อยู่ในขั้นฐานะดีเป็นเศรษฐี หรือ อภิมหาเศรษฐี ส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นร่ำรวยมีฐานะหลังที่ไทย

รอดพ้นภัยสงครามครั้งนั้น ถ้าเหตุการณ์ครั้งนั้นประเทศไทยไม่มีพระมหากษัตริย์ที่มีน้ำพระทัยกล้าหาญ

ไม่หวั่นเกรงภัยต่างๆ อีกทั้งทรงพระปรีชาสามารถในการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องและเหมาะสม

สมกับตำแหน่งจอมราชัน และ จอมทัพไทย อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุยเดช แล้ว

ประเทศไทยก็คงต้องเป็นคอมมูนิสต์อย่างแน่นอน เมื่อนั้น อย่าว่าแต่จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย

อำนาจบารมีไว้คอยรังแกคนด้อยโอกาส หรือดูถูกเหยียดหยามคนจนที่เป็นเพื่อนร่วมชาติ

แม้แต่แผ่นดินที่จะซุกหัวนอนยังไม่รู้จะไปอยู่ที่ใด


ป.ล เวลาที่เห็นพระองค์ในฉลองพระองค์จอมทัพไทย รู้สึกปลาบปลื้ม นึกเสมอว่า

เป็นบุญของประเทศไทยเหลือเกินที่มีจอมทัพอย่างพระองค์ท่าน ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดของประเทศไทย



ป.ล 2 ช่วงนั้น สหรัฐ พึ่งถอนทหารกลับเพราะแพ้สงครามเวียดนาม การที่จะมาช่วยไทยจึงเป็นไปได้ยาก

ป.ล 3 ถ้าใช้วิธีให้ทหารจีนเข้ามาช่วยไทย ไทยก็จะเกิดสงครามแบบสงครามเกาหลี และ สงครามเวียดนาม

ความเสียหายจะมากมายมหาศาล

ป.ล 4 ถ้าบังเอิญจีนมาช่วยไทยแล้วชนะ จีนอาจถือโอกาสไม่เอากองทัพกลับ เมื่อนั้นอิสระภาพของไทย

ก็อาจอยู่ภายใต้ความควบคุมของจีน

ป.ล 5  วิธีแก้ปัญหาโดยที่ จีนบุกเวียดนามจึงเป็นวิธีเหมาะสมที่สุด และไทยได้ประโยชน์สูงสุด

ป.ล 6 จากเหตุผลดังกล่าว ในความเห็นส่วนตัวของ จขกท พระองค์ทรงเป็น

จอมราชัน และ จอมทัพ ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
สงครามครั้งนั้น ทหารจีนเสียชีวิตไปมากมายหลายแสนคน เพราะตามพรมแดนจีนเวียดนามมีกับระเบิดเต็มไปหมด

แต่รัฐบาลจีนก็ระดมทหารเข้ามาแบบไม่สนใจว่าจะต้องพลีชีพมากขนาดไหน ทำให้ทางเวียดนามต้องถอนกำลังพลที่อยู่ในลาวและกัมพูชามายันศึกครั้งนี้

จีนเองก็บอกว่าฝ่ายตัวเองชนะ เพราะบุกเวียดนามจนเกือบจะถึงฮานอย

แต่ทางเวียดนามก็อ้างว่า จีนบุกเข้ามาไม่ได้ ถูกทหารเวียดนามยันเอาไว้ที่เขตหลั่งเซิน (谅山) ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างจีนและเวียดนาม

การสูญเสียทหารจีนครั้งนี้ เป็นการช่วยไทยรอดพ้นจากภัยคุกคามของทัพเวียดนามได้อย่างเด็ดขาด เพราะทหารเวียดนามนั้นต้องเฝ้าระวังด้านพรมแดนจีนนานนับปี และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเวียดนามขาดสะบั้นไปเลย

สงครามครั้งนี้ถือว่าจีนเสียสละชีวิตทหารเยอะมาก และพิการมากมาย จนมีการแต่งเพลง血染的風采ในภายหลัง  เพลงนี้โด่งดังมาก ซึ่งเนื้อเพลงกล่าวถึงสมรภูมิแห่งนี้นี่แหละฮ้า
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
แต่อย่าคิดว่า ไทยได้ประโยชน์จากจีนเพียงฝ่ายเดียว

ช่วงปีค.ศ 1966 - 1976 จีนอยู่ในยุค "ปฏิวัติวัฒนธรรม 文化大革命"

เศรษฐกิจของจีนถดถอย หรือ พูดง่ายๆว่า "ไม่มีจะกิน" ประชาชนล้มตายเพราะอดอยาก

เป็นจำนวนหลายล้านคน

เมื่อแก้งค์ 4 คนถูกปราบในวันที่ 6 ตุลาคม 1976 (วันเดียวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาบ้านเรา)

เติ้ง เสี่ยว ผิง กลับมามีอำนาจ ได้มีนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยใช้นโยบาย " 4 ทันสมัย "

แต่ถึงแม้นโยบายจะดีอย่างไร แต่ประเทศไม่มีทุนในการขับเคลื่อน

ทางรัฐบาลจีนเลยใช้วิธีให้คนของตัวเอง เขียนจดหมายมาติดต่อญาติที่อยู่โพ้นทะเล

ให้ส่งเงินไปช่วย โดยมักจะให้เหตุผลว่า "จะทำหลุมฝังศพบรรพบุรุษ"

รูปจดหมายโต้ตอบของคนยุคนั้น






คนจีนโดยมากมีคุณธรรมในข้อ "กตัญญู" เมื่อได้อ่านจดหมายก็หลั่งน้ำตาคิดถึงบ้านเกิด

จึงยินดีส่งเงินกลับไปเป็นจำนวนมาก และคนที่ส่งเงินกลับไปเมืองจีนมากที่สุดก็น่าจะเป็น

คนไทยเชื้อสายจีนที่อยู่ในประเทศไทยนี่แหละ การส่งเงินกลับไปลักษณะนี้มีศัพท์เรียกเฉพาะว่า

"โพยก้วน"

ความคิดเห็นที่ 6
คนที่มีเชื้อสายจีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย

ยิ่งสมควรต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณมากกว่าพวกอื่น เหตุผลเพราะ


คนรุ่นพ่อ แม่ ปู่ย่า ตายาย ของพวกเราที่มีอายุ  70 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่อพยพเข้ามาในไทย

ระหว่างปี พ.ศ 2489 - 2491 (ค.ศ 1946 - 1948 ) มากที่สุด

จีนคอมมูนิสต์ชนะเด็ดขาดในปี ค.ศ 1949

ซึ่งถือว่า เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ ๙ และโดยมากเข้ามาแบบ เสื่อผืนหมอนใบ

และบางส่วนมาตั้งหลักพอมีฐานะในช่วงปี พ.ศ 2516 - 2518 เพราะช่วงนั้นสินค้าขึ้นราคา

ทุกอย่าง คนที่เป็นพ่อค้าต่างร่ำรวยตามๆกัน


เมื่อมาเจอภัยคอมมูนิสต์ทุกคนจึงหวาดผวา เตรียมหนีไปตั้งรกรากใหม่ แต่ในที่สุดไทยก็ผ่านพ้นวิกฤตนั้นมาได้

ทุกคนมีโอกาสค้าขายโดยไม่ต้องพะวงกับภัยคุกคาม เศรษฐกิจประเทศไทย

โตวันโตคืน จนชาวไทยเชื้อสายจีนได้ชื่อว่า กุมเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศนี้


ป.ล  ทุกวันนี้ ลูกหลานไทย ได้ชื่อว่ากลมกลืนเป็นสายเลือดเดียวกันหมดแล้ว

แต่ขอให้สำนึกไว้ว่า "บรรพบุรุษของเราเลือกสิ่งที่ถูกต้องที่สุดให้กับพวกเราแล้ว นั่นคือ

การที่ได้มาอยู่ใต้ร่มโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙"


หาไม่แล้ว ถ้าเลือกไปอยู่ประเทศอื่น สถานะคนที่มีเชื้อสายจีนอย่างพวกเรา

เป็นได้แค่พลเมืองชั้น 2 ไม่มีทางที่จะมีสิทธิ และ โอกาส อย่างที่อยู่ในประเทศไทย
ความคิดเห็นที่ 10
สงครามสั่งสอนเวียดนามคราวนั้น  เกิดขึ้นหลังจากเติ้งเสี่ยวผิงไปเยือนอเมริกาด้วย คงจะไปคุยเปิดทางเรื่องลุยเวียดนามเหมือนกัน เพราะจีนรู้ว่าที่เวียดนามเหิมเกริมจนอยากจะเป็นใหญ่ทางด้านใต้ของจีนเพราะมีรัสเซียให้ท้าย  นี่จึงเป็นสาเหตุที่จีนและรัสเซียที่เป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกันแต่ไม่ถูกกัน เพราะรัสเซียไม่จริงใจ หลอกประเทศจีนมาตลอด โดยเฉพาะเรื่อง"ประเทศจีนไม่มีแหล่งน้ำมัน"

หลังสงคราม16วันที่สูญเสียมหาศาล นอกจากจะช่วยไทยให้รอดพ้นจากภัยคุกคามของเวียดนาม ทำให้เติ้งเสี่ยวผิงมีบารมีโดดเด่น และอเมริกาก็เริ่มให้ความช่วยเหลือจีนในหลายๆด้าน จนทำให้จีนเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมาเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นมหาอำนาจที่ใช้เวลาน้อยที่สุดอย่างที่เราเห็นในตอนนี้นี่แหละฮ้า
ความคิดเห็นที่ 5
ขอบคุณพี่ซีที่เล่าเรื่องนี้ค่ะ เพราะน่าจะเป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะได้รู้
ทราบแค่เพียงว่าช่วงนั้น ราชวงศ์ไทยได้ฟื้นฟูสัมพันธ์ไมตรี ไทย-จีน หลังจากที่ชะงักไปช่วงสงครามเย็น

ด้วยพระอัจฉริยภาพ พระปรีชาสามารถของพระองค์ ทำให้เรารอดพ้นวิกฤตมาได้อย่างไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ

ชอบประโยคตรงนี้ที่ว่า
...กลยุทธ์ "ล้อมเมืองเว่ย ช่วยเมืองจ้าว 围魏救赵" จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าประเทศไทยอ่อนแอจนเกินไป...

ในทางการทูต การค้า การเจรจาใดก็ตาม ผู้ที่มีดี มีคุณค่า มีศักดิ์ศรีพอ ย่อมมีศักยภาพ และผู้คนให้ความเกรงใจ
ตอนนั้นหากไทยอ่อนแอมาก ยังไม่รู้จะเป็นอย่างไร และไม่ว่าที่ทุรกันดารหรืออันตรายแค่ไหน พระองค์ก็ไม่เคยทิ้งประชาชน




โชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดในยุคสมัยของในหลวงพระองค์นี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่