หายจากอาการเอดส์ ที่เป็นมากว่า 11 ปี หลังตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวี (HIV)

ผมเกิดในช่วงปีที่โรคเอดส์เริ่มเข้ามาระบาดในประเทศไทยได้ซักพัก ตอนเป็นวัยรุ่นประมาณ 11 กว่าปีที่แล้ว (พ.ศ.2547)
ผมมีเพศสัมพันธ์แบบป้องกันแต่ก็พลาดถุงยางอนามัยแตก (ไม่ได้ใส่สารหล่อลื่น) กับคู่นอนเกย์ที่ทราบภายหลังว่าชอบมั่วเซ็กส์ และขาดการติดต่อในเวลาถัดมา หลังมีความเสี่ยงผมมีอาการ..
- ท้องร่วงรุนแรง นานเป็นสัปดาห์
- ปวดหัว
- ปวดกล้ามเนื้อ
- มีไข้ ตัวร้อน เป็นหวัด
- ต่อมน้ำเหลืองโตที่ขาหนีบ
- ระคายเคืองจมูก
- เจ็บคอ ไอเป็นเลือด
- ลิ้นเป็นฝ้า เชื้อราในปาก
- หนังศีรษะอักเสบเรื้อรัง
- เป็นเริมในร่มผ้า
- เป็นหูดที่เท้า
- ผอม น้ำหนักลด

หลังอาการต่างๆ แสดงออกมาทีละอย่าง เลยเริ่มมั่นใจว่าติดเชื้อเอชไอวี แต่ไม่กล้าไปตรวจเลือด เพราะ..
- ยอมรับอะไรยังไม่ได้เพราะเป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะ เป็นเด็กตั้งใจเรียน เอ็นท์ฯ ติดคณะและมหาวิทยาลัยดี
- สงสารพ่อแม่ เราให้ความหวังไว้เยอะ ไม่อยากทำให้ผิดหวัง
- กลัวเรื่องค่าใช้จ่ายกับยาที่แพงสมัยนั้น เพราะยังไม่มีรายได้

ปล่อยชีวิตให้แย่ไปกว่า 11 ปี สิ่งที่ฝันไว้ตั้งแต่เด็ก ที่อยากทำในชีวิตก็จบลง
- อยากทำงานดีๆ ก็กลัวเรื่องสุขภาพที่อ่อนแอ และเรื่องตรวจเลือด (เพิ่งรู้ว่าการปฏิเสธผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าทำงานขัดเรื่องสิทธิมนุษยชน)
- เสียโอกาสที่จะมีรักแท้ ชอบใครหรือใครมาจีบก็ต้องปิดกั้น เพราะกลัวเค้าจะติดโรคจากเรา
(เอชไอวีไม่ได้ติดต่อกันง่ายๆ ต้องมีปัจจัย 3 อย่าง คือ 1.เชื้อมีคุณภาพในสภาพแวดล้อมที่ดี 2.ปริมาณมากพอ 3.มีช่องทางเข้าที่ชัดเจน)
- เลิกเล่นกีฬาที่ชอบ ร่างกายอ่อนแอทรุดโทรมชัดเจน เคยเป็นคนทำงานหนักก็กลายเป็นคนอ่อนแอ เพราะจิตใจไม่เข้มแข็ง
- ไม่มีเป้าหมายชีวิต ไม่มีแรงบันดานใจ เฉื่อยชา คิดมาก นอนดึก นอนไม่เคยอิ่ม ง่วงบ่อย ตื่นมาไม่เคยสดชื่นเหมือนแต่ก่อน

ผมคิดไปว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
- เริ่มพยายามทำความดีทำงานเพื่อสังคม ในช่วงที่ยังแข็งแรงอยู่  อยากทิ้งความดีให้คนพูดถึงหลังตายด้วยโรคร้ายทดแทนการนินทา
- พยายามส่งเสียตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ให้ความรักความอบอุ่นกับครอบครัว
- หันมาดูแลสุขภาพ รักษาความสะอาด เลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกายที่ไม่หนัก
- เที่ยวต่างประเทศ ผจญภัย ใช้ชีวิตเสี่ยงๆ แบบไม่มีไรจะเสีย ไม่เก็บเงิน
- ปรับนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง ฟังคนอื่นมากขึ้น เพราะคิดว่าเราป่วยแล้ว ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบเหมือนที่ผ่านมา

ผมมีชีวิตกับสุขภาพจิตและกายที่ทรุดโทรม อ่อนแอมาเรื่อยๆ พยายามไม่นึกถึง แต่ทุกครั้งที่ป่วย หรือ มีคนใกล้ตัวป่วย (คิดว่าเพราะเรา) ก็มีเรื่องเอชไอวีวนเวียนในหัวให้หมดกำลังใจที่จะทำอะไรทุกครั้ง

จนปีที่แล้ว (พ.ศ.2558) เข้าสู่ปีที่ 10 เริ่มประชดชีวิต สูบบุหรี่กินเหล้ามั่วเซ็กส์ (แต่ยังมีสติป้องกันเพราะไม่อยากให้คนอื่นติดเชื้อจากเรา) พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง เพราะเข้าใจว่ารอมา 7 - 10 ปี* คงถึงระยะสุดท้ายของผู้ติดเชื้อเอชไอวี และกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) ..  
(*ระยะเฉลี่ยของอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องของผู้ติดเชื้อหรือเลือดบวก+ Positive ที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส เชื้อเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวหมดจนมีอาการสัมพันธ์กับโรคเอดส์หรือเป็นโรคฉวยโอกาส)
- มีตุ่มผื่นคันตามขา แขน และลำตัว เข้าใจว่าคือตุ่มเอดส์ PPE
- มีอาการตัวร้อนช่วงหัวค่ำ เหงื่อออก
- เป็นเริมที่หว่างขาและในปาก (โรคเริมถ้าได้เป็นแล้วรักษาไม่หาย)
- ลิ้นเป็นแผล
- เจ็บท้องบ่อย ถ่ายเป็นเลือด
- เป็นเชื้อราที่เล็บเท้า
- วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด
- ฝันร้ายบ่อย

อาการต่างๆ ที่กล่าว แสดงออกมาเรื่อยๆ จนทนไม่ไหวกับอาการ คิดว่าถึงเวลาแล้วหลังจากรอมากว่า 10 ปี เลยตัดสินใจไปคลินิกนิรนาม เพราะ..
- ต้องการรักษา เพราะทุกวันนี้รัฐบาลให้ ตรวจฟรี รักษาฟรี รับยาฟรี ทุกคน ไม่จำกัดจำนวนเม็ดเลือดขาว (CD4) ผ่านสิทธิ์บัตรทอง
- ที่คลินิกนิรนามจะได้รับการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody) ด้วยน้ำยา Gen 4 หลังมีความเสี่ยง (Window Period) มา 2 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งรอฟังผลเพียง 1 ชั่วโมง และถ้าวิธีนี้ผลปกติ ภายใน 3 วันทำการถ้ามีเจ้าหน้าที่โทรกลับแสดงว่าอาจติดเชื้อเฉียบพลัน ซึ่งเป็นการเก็บเลือดไปตรวจด้วยวิธี NAT (ตรวจได้ตั้งแต่เริ่มมีความเสี่ยงมา 5 วันขึ้นไป)
- ปีนี้เริ่มมีเรื่องรณรงค์ ใครมีผลเลือดลบ- (Negative, Non Reactive) ไม่ติดเชื้อก็สามารถขอยาทานป้องกัน PrEP ก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 7 วัน  หรือกินยาฉุกเฉิน PEP ภายใน 3 วันหลังเสี่ยง ยาทั้ง 2 ตัวนี้ อาจช่วยยับยั้งการแตกตัวของเชื้อและทำให้ไม่ติดเชื้อได้
(ถ้าไม่ทราบข้อมูลพวกนี้ ที่ฟังดูยังมีโอกาส ก็คงปลง ปล่อยให้ป่วยตาย ไม่คิดไปตรวจเลือด)

ก่อนตรวจผมขอเข้ารับการปรึกษาจากเจ้าหน้าที่นักจิตวิทยาที่คลินิกก่อน ผมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ปกติ เพราะมั่นใจว่าติดเชื้อมานานแล้ว
ผมเจาะเลือดตรวจทุกอย่างที่เกี่ยวกับโรคทางเพศสัมพันธ์ (ซิฟิลิส,หนองในแท้และหนองในเทียม,มะเร็งปากทวารหนัก,ไวรัสตับอักเสบ)..

สุดท้ายผมไม่กล้านั่งรอฟังผล ขับรถกลับบ้าน ผมรู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีอาการดีขึ้นทันที คิดไปเองว่าอาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่คงเจาะเลือดไม่ดีออกไปเยอะ.. ซักพักเริ่มรู้สึกตาและสมองไม่เกร็ง อาการตุ่มและคันเริ่มหาย ไม่มีเหงื่อออกตัวร้อน หลับง่ายขึ้น จนอีกวันผมเลยเปลี่ยนใจทำตัวเบลอๆ ชาๆ ไปฟังผล เพื่อให้ตัวเองรับได้ทุกอย่าง...

ผมนิ่งไปหลายวินาที หลังเจ้าหน้าที่บอกผลปกติ! พร้อมโชว์ผลผ่านหน้าจอคอมให้ถ่ายรูปเก็บไว้ได้
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต 10 กว่าปีที่ผ่านมาวิ่งในหัวผมไปหมด มันช่างทรมานนานเหลือเกินเมื่อนึกย้อนไป
เราเกิดมาทั้งทีทำไมต้องมาพลาดโอกาสชีวิตที่ควรจะมี ควรจะได้ เพราะแค่เรื่องไม่กล้าไปตรวจเอดส์
มันคือความรู้สึก เหมือนตายเกิดใหม่ แต่อายุเยอะแล้ว อะไรที่อยากจะทำตอนอายุน้อยก็ทำไม่ได้แล้ว เสียดาย เศร้า

หลังตรวจครั้งแรก จิตตก ผมไม่มีความเสี่ยงเพิ่ม และตรวจซ้ำอีกครั้งเดือนที่ 3 และเดือนที่ 6 ผลปกติหมด
ผมได้เรียนรู้ว่า จิตใจส่งผลต่อร่างกายมาก อาการต่างๆ ไม่สามารถบอกเราได้เลยว่าติดเชื้อเอชไอวีนอกจากตรวจเลือด มันคือโรคทั่วไปที่คนปกติก็เป็นกัน และยิ่งเรารู้ผลเลือดปกติ มันทำให้เราระมัดระวังมากขึ้น ไม่กล้าที่จะมีความเสี่ยงอีก เพราะเราจะเข็ดกับการทนทุกข์ทรมานจากความกังวลและอาการต่างๆ

ต่อไปนี้ก่อนมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้ตรวจเลือด ผมจะทานยา PrEP ช่วยป้องกันก่อนทุกครั้งแม้ใส่ถุง เพราะถ้าถุงแตกอีก จะได้ไม่เสียเวลาชีวิตอีก (ปกติการกินยา PrEP ป้องกันจะมีการแนะนำให้ใส่ถุงยางอนามัยควบคู่ไปด้วยกันอยู่แล้ว และต้องกินก่อน 7 วันก่อนมีความเสี่ยง จะได้รับครั้งละ 1 เดือน.. ใครมีประสบการณ์ก็เล่าให้ฟังได้)
ที่ผ่านๆ มา ผมโชคดีที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี เพราะเข้าใจว่าตัวเองมีเชื้อไม่อยากแพร่เชื้อหรือรับเชื้อเพิ่ม จึงป้องกันทุกครั้ง

ผลเลือดเปลี่ยนชีวิตผมอีกครั้ง เลิกกินเหล้าสูบบุหรี่ เพราะเห็นมาเยอะว่า ความมึนเมาทำให้ขาดสติ มีเซ็กส์ไม่ปลอดภัยกัน ผมนอนเต็มอิ่มและตื่นอย่างสดชื่นกว่าเดิมมาก อารมณ์ดีกว่าเดิมเยอะ กล้าทำกิจกรรมหนักๆ เพราะร่างกายแข็งแรงปกติ ความสุขในชีวิตกลับมาอีกครั้ง จะรักษาผลเลือดให้ปกติไปตลอดชีวิต!

ผมขอขอบคุณทุกคนที่ทำงานด้านนี้ จนมีสื่อข้อมูลต่างๆ ให้ผมกล้าตัดสินใจไปตรวจเลือด ผมพยายามรวบรวมข้อมูลให้ครบ เพื่อเป็นประโยชน์กับคนที่ไม่กล้าตรวจเอดส์ อย่าอายที่จะบอกต่อ เพราะไม่ว่าใครถ้ามีอาการหรือไม่มีอาการเลย ไม่ได้หมายความว่าติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ นอกจากตรวจเลือดเท่านั้น ใครอ่านแล้วกล้าไปตรวจเลือดก็ขอให้ได้ผลเลือดปกติตอบแทน ยิ้ม

ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ติดเชื้อที่รับยาต้าน ท่านมีส่วนช่วยให้มีผู้ติดเชื้อน้อยลงเพราะการทานยาต้านจะกดจำนวนเชื้อ (Viral load) จนไม่มากพอที่จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้.. ประสบการณ์นับ 10 ปีนี้ทำให้ผมเข้าใจเข้าถึงความรู้สึกของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อครับ

“คนเราเกิดมา ควรตรวจเอดส์ - เอชไอวี (HIV) ซักครั้งในชีวิต จะได้ไม่เสียโอกาสชีวิตดีๆ ที่กลับไปทำไม่ได้”


**ขอบคุณสำหรับคำติชมและต้องขออภัยที่ตั้งหัวข้อคลุมเครือ จขกท.ได้แจ้งพันทิปแล้วเพื่อจะตั้งหัวข้อใหม่ให้ชัดเจนแต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ.. (หัวข้อกระทู้แก้ไขไม่ได้หลังจากตั้งไปแล้ว 1 ชั่วโมง)**
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่