เรื่องของพาชี ๙ พ.ย.๕๙

เรื่องของพาชี

เสี้ยวสามก๊ก

เรื่องของพาชี

เล่าเซี่ยงชุน

เดิมทีเดียวตั้งใจจะให้ชื่อตอนนี้ว่า เรื่องของม้า แต่เกรงว่าท่านผู้อ่านจะสับสน เพราะมีตัวละครในสามก๊ก อยู่ในแซ่ม้าหลายคน ตั้งแต่ ม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงผู้พ่อ ม้าเฉียว ทหารเสือของเสฉวน กับม้าฮิว ม้าเทียดผู้ลูก ม้าต้ายผู้หลาน และม้าเลี้ยง ตลอดจน ม้าเจ๊ก ทหารเอกของขงเบ้ง ที่ต้องถูกประหารเพราะความประมาท เป็นต้น

ครั้นไปเปิดพจนานุกรมฉบับย่อ ที่ได้มาจากงานศพก็พบว่ามีคำอยู่หลายคำ ที่แปลว่าม้า คือ พาชี อัศวะ อัสดร และอาชาจึงได้ใช้ชื่อตอนให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่า จะเป็นการเล่าเรื่องของม้าอาชาไนย ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่สองตัว หรือสองม้า หรือเป็นเรื่องม้า ๆ นั่นเอง

ตัวแรกชื่อเต๊กเลา เป็นม้าประจำตัวของเตียวบู เจ้าเมืองกังแฮ ซึ่งตั้งแข็งเมือง ไม่ยอมขึ้นกับเมืองเกงจิ๋วของเล่าเปียว ขณะนั้นเล่าปี่อาศัยอยู่ด้วย จึงขออาสาคุมทหารไปปราบปราม พร้อมด้วย กวนอู เตียวหุย และจูล่ง เมื่อยกไปถึงเมืองกังแฮเข้าปะทะกันยังไม่ทันไร จูล่งก็เอาทวนแทงเตียวบูตกม้าตาย จูล่งก็จับม้าของเตียวบูมาให้เล่าปี่ ตันสูนเพื่อนสนิทของเตียวบูก็ขับม้ารำง้าวจะเข้ามาชิงเอาม้าคืน เตียวหุยก็ออกไปสกัดหน้าไว้แล้ว แล้วแทงตันสูนตายตามเพื่อนไปในพริบตาเดียว เมืองกังแฮก็กลับมาขึ้นกับเมืองเกงจิ๋วตามเดิม

เล่าปี่ก็เอาม้าเต๊กเลานั้นเป็นม้าประจำตัว เล่าเปียวเห็นเข้าก็ชอบใจ ชมว่าม้านี้งามถูกใจ เล่าปี่อยากจะเอาใจจึงยกม้าให้เล่าเปียว ตอบแทนคุณที่ให้อาศัยร่มไม้ชายคา แต่พอ เล่าเปียวได้ครอบครองม้าแล้ว ขุนนางผู้หนึ่งชื่อเก๊งอวดมาเห็นเข้าก็ทักว่า

“…….เก๊งเหลียงผู้พี่ข้าพเจ้านั้น รู้ดูลักษณะม้าว่าดีแลร้าย ครั้นเก๊งเหลียงจะใกล้ตาย จึงบอกตำราให้ข้าพเจ้าเรียนไว้ แลข้าพเจ้าเห็นม้าตัวนี้มีฝีเท้ารวดเร็วอยู่ก็จริง แต่ลักษณะร้าย ที่ริมจักษุทั้งสองข้างล่างนั้น เป็นร่องน้ำตา ที่ขวัญนั้นมีขนร้ายแซมอยู่ เตียวบูขี่รบศึกจึงถึงแก่ความตาย ซึ่งท่านจะเอามาขี่นั้นไม่ควร ด้วยลักษณะม้านี้ให้โทษแก่เจ้าของ……..”

เล่าเปียวก็เชื่อเก๊งอวด จึงเอาม้ามาคืนเล่าปี่ และอ้างว่า

“…….ซึ่งเจ้าให้ม้าเรานั้นขอบใจนัก แต่ตัวเราไม่ได้ไปทำสงคราม เจ้าจงเอาม้านี้ไว้ขี่สำหรับทำการศึกเถิด…….”

ต่อมาเล่าเปียวให้เล่าปี่ไปอยู่รักษาเมืองซินเอี๋ย เมื่อจะเดินทางออกจากเมือง เกงจิ๋ว ขุนนางผู้หนึ่งชื่ออีเจี้ยเป็นคนนับถือเล่าปี่ ก็บอกว่า

“…….ข้าพเจ้าได้ยินเก๊งอวดบอกแก่เล่าเปียวว่า ม้าตัวนี้ชื่อเต๊กเลา ลักษณะร้ายให้โทษแก่เจ้าของ เล่าเปียวเกรงอยู่จึงคืนให้ท่าน ท่านไม่รู้หรือจึงเอามาขี่…….”

เล่าปี่ก็ตอบว่า

“…ซึ่งท่านบอกเรานี้ก็ขอบใจ ข้อซึ่งดีแลร้ายนั้นก็ตามแต่บุญกรรม เรามิได้ถือ… ”

แล้วเล่าปี่ก็ลามาอยู่เมืองซินเอี๋ย จนนางกำฮูหยินภรรยาใหญ่ คลอดบุตรเป็นชาย เล่าปี่ให้ชื่อว่า อาเต๊า ซึ่งแปลว่าดาวจรเข้ ตามที่นางฝันเห็นเมื่อเริ่มตั้งครรภ์

ต่อมาเมื่อเล่าเปียวสั่งให้เล่าปี่ไปเป็นประธาน การประชุมเจ้าเมืองขึ้น และกินเลี้ยงปีใหม่ที่เมืองซงหยง ชัวมอน้องชายนางชัวฮูหยิน ภรรยาของเล่าเปียวที่ไม่ชอบขี้หน้าเล่าปี่ ก็พาทหารห้าร้อยนาย ไปดักจะจับตัวฆ่าเสีย ก็ได้อีเจี้ยอีกที่เข้ามารินสุราให้เล่าปี่และบอกให้รู้ตัวว่า

“…..ชัวมอคิดจะทำร้ายท่าน บัดนี้เกณฑ์ทหารไปคอยสกัดไว้ที่ประตูฝ่ายเหนือฝ่ายใต้กับทิศตะวันออกเป็นสามด้าน ว่างอยู่แต่ประตูฝ่ายตะวันตก แม้ท่านจะหนีจงไปทางประตูตะวันตกนั้นเถิด….”

เล่าปี่ก็ตกใจจึงลอบออกไปทางข้างหลัง แก้เอาม้าเต๊กเลาขี่ควบหนีไปทางประตูทิศตะวันตก แต่ผู้เดียว มิทันได้บอกให้จูล่งซึ่งเป็นองครักษ์รู้ จนมาได้ประมาณสามสิบเส้น ก็เจอแม่น้ำตันเขขวางหน้าอยู่ แม่น้ำสายนี้กว้างประมาณสิบวาน้ำก็ลึก เล่าปี่จึงชักม้าถอยมาหาที่ตื้นพอจะข้ามไปได้ ก็เห็นทหารของชัวมอตามมาเป็นอันมาก เล่าปี่ตกใจคิดว่าครั้งนี้เห็นชีวิตจะถึงแก่ความตายเป็นแน่ แต่ก็กัดฟันขับม้าโผนลงไปในแม่น้ำ จนเสื้อแลกางเกงนั้นเปียก แล้วเอาแซ่ตีม้าเป็นหลายที ร้องว่า

“…….วันนี้เต๊กเลา จะผลาญเจ้าของเสียแล้วหรือ……..”

ม้าก็ถีบโผนไปได้ประมาณหกเจ็ดวา พอถึงที่ตื้นก็วิ่งขึ้นตลิ่ง พาเล่าปี่ขึ้น ฝั่งตรงข้ามหนีรอดศัตรูไปได้อย่างหวุดหวิด เพราะชัวมอไม่สามารถข้ามน้ำตามมาได้

หลังจากเหตุการณ์คราวนั้นแล้ว เล่าปี่ก็ได้ที่ปรึกษามาเป็นคนแรก ชื่อตันฮก เมื่อเห็นม้าที่เล่าปี่ขี่ก็บอกว่า

“……..ม้านี้ลักษณะชื่อเต๊กเลา มีกำลังแลฝีเท้ารวดเร็วก็จริง แต่ทว่ามักเกิดอันตรายแก่เจ้าของ ซึ่งท่านจะขี่ม้าตัวนี้สืบไป อันตรายก็จะมีแก่ท่าน………”

เล่าปี่ก็ตอบว่า

“……..แม้ม้าตัวนี้จะทำให้เกิดอันตรายแก่เจ้าของเหมือนท่านว่าแล้ว ที่ไหนจะพาเราข้ามแม่น้ำตันเขมาได้……”

ตันฮกก็แก้ว่า

“……….ถึงมาตรว่าม้านี้ ได้พาท่านรอดมาจากความตายครั้งนี้ก็จริง แต่ทว่าสืบไปเมื่อหน้า ก็จะให้มีอันตรายเป็นมั่นคง แต่ข้าพเจ้ารู้เล่ห์กระเท่ห์อันหนึ่ง ซึ่งท่านจะขี่ม้าตัวนี้ไปภายหน้า จะมิให้เป็นอันตรายก็ได้อยู่……”

เล่าปี่ก็ถามว่าจะทำอย่างไร ตันฮกก็บอกว่า

“……..ซึ่งมิให้มีอันตรายไปภายหน้านั้น ผู้ใดซึ่งมิได้ชอบใจท่าน ท่านจงเอาม้านี้ไปให้ขี่ ก็จะมีอันตรายไปก่อน แล้วท่านจึงค่อยกลับเอามาขี่อีก ก็จะมีความเจริญต่อไป หาความอันตรายมิได้…….”

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่า

“……..ท่านนี้มีความปรารถนามาอยู่กับเรา เราก็คิดว่าจะช่วยสั่งสอนทำนุบำรุงเราให้เป็นธรรม ควรแลหรือมาสั่งสอนมิให้เป็นธรรม จะให้ทำร้ายแก่ผู้อื่นฉะนี้ เรามิขอได้ยิน…..”

ตันฮกก็หัวเราะแล้วบอกว่า

“……ข้าพเจ้าว่ากล่าวทั้งนี้ ใช่จะจริงอย่างนั้นหามิได้ ด้วยได้ยินกิตติศัพท์เขาลือไปว่า ท่านนี้มีน้ำใจเป็นสัตย์เป็นธรรม ก็ยังมิแจ้งประจักษ์ก่อน ซึ่งว่าทั้งนี้เพื่อจะลองน้ำใจท่าน บัดนี้สมเหมือนหนึ่งคำเขาลืออยู่แล้ว……..”

เล่าปี่ก็ถ่อมตัวว่า

“……..เขาเล่าลือไปนั้นก็ชอบอยู่ แต่ที่จริงตัวเราก็พอประมาณ จะเหมือนคำเขาว่าทีเดียวนั้น ก็หามิได้ บัดนี้ท่านมาอยู่ด้วยเราแล้ว จงช่วยสั่งสอนทำนุบำรุงแต่ที่ชอบ…….”

ตันฮกอยู่กับเล่าปี่ไม่นาน พอวางแผนให้เล่าปี่รบชนะโจหยิน ที่เมืองห้วนเสียแล้ว อีกไม่ช้าตันฮกหรือชื่อจริงคือ ชีซี ก็ถูกโจโฉลวงให้มารดาเรียกตัวกลับไปเมืองฮูโต๋ เล่าปี่ก็ได้ขงเบ้งมาเป็นที่ปรึกษาคนที่สอง แล้วก็พากันรบพุ่งกับก๊กอื่นจนได้ บังทองมาเป็นที่ปรึกษาคนที่สาม

ขณะเมื่อเล่าปี่กับบังทอง ยกทัพไปตีเมืองเสฉวนของเล่าเจี้ยง เมื่อกำลังจะยกพลเข้าตีเมืองลกเสียนั้น เล่าปี่กับบังทองขึ้นม้าเคียงกันจะยกออกจากค่าย ม้าบังทองเผอิญให้เดินพลาดขาขัดไป บังทองพลัดตกลงจากม้า เล่าปี่เห็นก็โจนลงจากหลังม้าเข้าพยุงเอาตัวบังทอง แล้วว่าเป็นไฉนม้าท่านมาเป็นดังนี้ บังทองก็ว่า

“……ม้าข้าพเจ้าเคยขี่ทำการรบพุ่งมาก็ช้านาน มิได้เป็นฉะนี้เลย ซึ่งม้าเป็นทั้งนี้ก็เพราะด้วยความประมาท……..”

เล่าปี่จึงว่า

“…….เมื่อม้าท่านมักพลาดฉะนี้ ถ้าเข้ารบสู้กับข้าศึก จะมิเสียทีหรือ ท่านจงเปลี่ยนเอาม้าของข้าพเจ้าขี่ไปเถิด ข้าพเจ้าจะเอาม้าของท่านมาขี่เอง……”

แล้วเล่าปี่กับบังทองก็เปลี่ยนม้ากันขี่ บังทองเป็นทัพหน้า ข้าศึกซึ่งซุ่มอยู่ที่ซอกเขา ทางจะเข้าเมืองลกเสีย เข้าใจว่าผู้ที่ขี่ม้าขาวนั้นคือเล่าปี่ จึงคอยเขม้นจะจับเอาตัวให้จงได้ ครั้น บังทองมาถึงซอกเขา ทางนั้นก็แคบคับขันนัก มีต้นไม้รกชัฏทั้งสองข้าง คิดสะดุ้งใจจะให้ทหารถอยคืนมา แต่ไม่ทันการณ์ ข้าศึกได้จุดประทัดขึ้น โห่ร้องและยิงเกาทัณฑ์กระหนาบระดมมาทั้งสองข้างทาง ถูกบังทองตกม้าลงมาถึงแก่ความตาย ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นอลหม่านไปสิ้น

การศึกครั้งนั้น แม้ในที่สุดเล่าปี่จะตีเมืองเสฉวนได้สำเร็จ แต่ก็ต้องเสียที่ปรึกษาและแม่ทัพคนสำคัญไป เพราะม้าอาถรรพ์ที่ชื่อเต๊กเลาตัวนี้ไปจนได้

ม้าตัวที่สองซึ่งจะเล่าต่อไปชื่อเซ็กเธาว์ ไม่ทราบว่าทำไมจึงได้สะกดอย่างนั้น จะชื่อเซ็กเทาให้เป็นสำเนียงจีนธรรมดา ๆ ไม่ได้หรืออย่างไร แต่ผู้เล่าไม่มีลักษณะเป็นคนนอกครู จึงไม่คิดจะเปลี่ยน อย่างที่คิด

ม้าตัวนี้เป็นของ ตั๋งโต๊ะ มหาอุปราชคนแรกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อครั้งที่ขัดใจกับเต๊งหงวนเจ้าเมืองเต๊งจิ๋ว เรื่องตั้งฮ่องเต้ แล้วรบสู้เต๊งหงวนไม่ได้ จึงส่งลิซกไปเกลี้ยกล่อม ลิโป้ ลูกเลี้ยง โดยเอาม้าเซ็กธาว์ไปแลกกับศรีษะของเต๊งหงวนมาได้สำเร็จ

ม้าตัวนี้มีขนสีแดงดังถ่านเพลิงทั่วทั้งตัว ไม่มีสีใดแกม สูงสี่ศอกเศษ มีฝีเท้าเดินทางได้วันละหมื่นเส้น สามารถขึ้นเขาและข้ามน้ำเหมือนเดินในที่ราบ ได้ลักษณะเป็นม้าศึกเข้มแข็งกล้าหาญ เป็นที่ถูกใจลิโป้ยิ่งนัก จึงใช้ขับขี่ประจำตัวออกศึกสงครามไปทั่ว ทั้งที่เมืองกิจิ๋วของโจโฉ เมืองชีจิ๋วของเล่าปี่ จนถึงเมืองเสียวพ่ายและไปจนมุมอยู่ที่เมืองแห้ฝือ ถูกโจโฉจับตัวไปประหารชีวิต ม้าเซ็กเธาว์จึงตกไปเป็นสมบัติของโจโฉ

ต่อมากวนอูจำยอมอยู่กับโจโฉ ที่เมืองฮูโต๋ เพื่อรักษาภรรยาของเล่าปี่ผู้พี่ แม้โจโฉพยายามจะเอาใจ ด้วยการให้เครื่องเงินเครื่องทองแลแพรอย่างดีแก่กวนอู แต่กวนอูก็เอามาให้พี่สะใภ้เสีย โจโฉก็เลี้ยงดูอย่างดีสามวันห้าวันก็แต่งโต๊ะไปให้ และจัดหญิงรูปงามสิบคนให้ไปปฏิบัติ กวนอูก็เอาไปให้พี่สะใภ้ใช้สอยอีก โจโฉเอาเสื้อใหม่สวยงามให้ กวนอูก็ใส่ไว้ข้างใน เอาเสื้อเก่าของเล่าปี่ใส่ทับข้างนอก โจโฉเห็นกวนอูรักหนวดเครามาก ก็เอาแพรขาวอย่างดีทำถุงให้กวนอูห่อหนวด จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็น จึงพระราชทานชื่อว่า บีเยียงก๋ง แปลว่าเจ้าหนวดงาม

แต่โจโฉจะเอาใจสักเท่าใด กวนอูก็ไม่นิยมยินดีด้วย จนกระทั่งเอาเซ็กเธาว์ม้าเชลยมาให้แทนตัวเก่า ที่ผอมโกโรโกโรค กวนอูจึงยินดีมาก คุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า

“……..ซึ่งมหาอุปราชให้ม้าตัวนี้แก่ข้าพเจ้านั้น คุณหาที่สุดมิได้……”

โจโฉก็สังสัย ถามว่า

“…….เราให้เงินทองสิ่งของแก่ท่านมาเป็นอันมาก ก็ไม่ยินดี ท่านไม่ว่าชอบใจแลมีความยินดี เหมือนเราให้ม้าตัวนี้ เหตุใดท่านจึงรักม้าอันเป็นสัตว์เดียรัจฉาน มากกว่าทรัพย์สิ่งสินอีกเล่า……..”

กวนอูจึงเฉลยว่า

“…….ข้าพเจ้าแจ้งว่า ม้าเซ็กเธาว์ตัวนี้มีกำลังมาก เดินทางได้วันละหมื่นเส้น แม้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ถึงมาตรว่าไกลก็จะไปหาได้โดยเร็ว เหตุฉะนี้ข้าพเจ้าจึงมีความยินดี ขอบคุณมหาอุปราชมากกว่าให้สิ่งของทั้งปวง……”

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็จ๋อยไปเลย แต่กวนอูก็ได้ตอบแทนคุณโจโฉ ด้วยการควบม้า เซ็กเธาว์ตัวนี้ เข้าไปฆ่างันเหลียงและบุนทิว ทหารเอกของอ้วนเสี้ยวอย่างรวดเร็ว โดยที่ทั้งสองนายไม่ทันได้ใช้ฝีมือ อันเป็นที่เลื่องลือของตน ต่อสู้กับกวนอูเลย

และเมื่อกวนอูรู้ข่าวของเล่าปี่ ก็ควบม้าเซ็กเธาว์ พาพี่สะใภ้ทั้งสองไปพบกันตามที่ว่าไว้จนได้ แล้วก็ใช้ม้าตัวนี้ขับขี่เป็นคู่ขา ออกศึกสงครามต่อมาอีกนาน จนเล่าปี่ได้รับการแต่งตั้งจากประชาชนให้เป็นฮ่องเต้ของจ๊กก๊ก ที่เมืองเสฉวนแล้ว จึงพลาดท่าในการรบกับซุนกวนครั้งสุดท้ายที่เมืองเป๊กเสีย ขณะที่คุมทหารสองร้อยออกจากเมืองที่ถูกล้อม จะหนีกลับไปเมืองเสฉวน

กวนอูเดินทางมาได้ประมาณร้อยเส้น เป็นเวลาประมาณยามหนึ่ง ก็เจอกับ จูเหียนนายทหารเอกของซุนกวน ขี่ม้าถือทวนยืนดักอยู่ และร้องบอกว่า

“…..ท่านอย่าหนีเลย เร่งลงจากม้าเข้าเกลี้ยกล่อมเราเถิด เราจะไว้ชีวิตท่าน…”

มีหรือที่คนอย่างกวนอูจะยอม กลับควบม้ารำง้าวเข้ารบกับจูเหียน จนจูเหียนชักม้าหนี กวนอูไล่ตามไปก็ถูกทหารข้าศึกที่ซุ่มไว้ รุมล้อมเข้ารบอย่างมากมาย จนกวนอูแทบจะสิ้นกำลัง แต่หนีไปได้อีกประมาณห้าสิบเส้น ก็เจอพัวเจี้ยงนายทหารเอกของข้าศึกอีกคนหนึ่ง ขี่ม้าถือง้าวดักรออยู่ กวนอูกัดฟันเข้ารบกับพัวเจี้ยงอีกสามเหลง พัวเจี้ยงก็ชักม้าหนีไป คราวนี้กวนอูไม่ยอมตาม แต่แยกไปทางช่องแคบ มีทหารเหลือติดตามไปเพียงสิบห้าคน ม้าของกวนอูก็ติดแร้วที่วางดักไว้ ม้าตกใจเผ่นโผนไปจนกวนอูตกจากหลังม้าลงไปในหลุม ง้าวหนักกว่าแปดสิบชั่งก็หลุดจากมือ และตัวม้าเองก็หล่นลงมาทับด้วย สีข้างของกวนอูก็กระทบกับก้อนหิน ม้าก็เหยียบขา เจ็บขัดจนลุกไม่ขึ้น มิหนำซ้ำทหารที่ซุ่มอยู่ ก็เอาก้อนหินใหญ่ ๆ ทุ่มทิ้งลงไปอีก กวนอูจึงถูกจับมัดไปให้ซุนกวน ตัดสินประหารชีวิตในที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่