สวัสดีครับ ผม Yod จาก Chinchilla ครับ เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสสัมผัสรถที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานรุ่นนึงซึ่งก็คือเบนซ์ อีคลาส
โฉมนี้ได้ชื่อรหัสตัวถังว่า W213 ถือว่าเป็นรุ่นที่ 10 ในตระกูลอีคลาสแล้วนะครับ รถรุ่นนี้เริ่มผลิตครั้งแรกเมื่อปี 1935 (ว้าว อากงยังเกิดไม่ค่อยทันเลย) ชื่อรุ่นอีคลาสย่อมาจากคำว่า Einspritzung-Class เป็นภาษาเยอรมันซึ่งแปลว่า เครื่องยนต์หัวฉีด
ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เรียกชื่ออีคลาสอย่างเป็นทางการตอนรุ่น W123-W124 ซึ่งเป็นช่วงที่เบนซ์ได้เปลี่ยนจากการใช้เครื่องยนต์คาบูเรเตอร์มาเป็นเครื่องยนต์หัวฉีดตามชื่อของมัน ก่อนที่ผมจะเริ่มรีวิวเรามาลองไล่ประวัติศาสตร์ของอีคลาสตั้งแต่รุ่นเครื่องยนต์หัวฉีดกันเลยดีกว่าครับ ผมเชื่อว่าหลายๆคนต้องผ่านยุคของรุ่นพวกนี้มา
W123: (1976-1985)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1976 ถึง 1985 ช่วงต้นอายุโฉมยังใช้เครื่องคาบูเรเตอร์อยู่และถูกเปลี่ยนมาเป็นเครื่องหัวฉีดในช่วงกลางอายุโฉม (ขณะที่รถญี่ปุ่นเริ่มมาใช้เครื่องหัวฉีดประมาณยุค 90) W123 ถือเป็นอีคลาสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์อีคลาส มียอดขายสะสมถึง 2.7 ล้านคัน เพราะดีไซน์ภายนอกถือว่าโฉบเฉี่ยวมากในสมัยนั้น พอมาดูในสมัยนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ล้าสมัยนะ มันดูคลาสสิกซะมากกว่า สถิติยอดขายถือว่ายังสูงสุดและยังไม่ถูกทำลายโดย Gen ใหม่ๆเลย
W124: (1985-1995)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1985 ถึง 1995 ถือเป็นรุ่นที่เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์หัวฉีดอย่างเต็มรูปแบบและเป็นรุ่นแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ใช้ชื่ออีคลาสอย่างเป็นทางการ รุ่นนี้มีชื่อเรียกในไทยว่า “โลงจำปา” เนื่องจากดีไซน์ด้านท้ายมีรูปร่างคล้ายๆโลงศพชาวจีนที่ทำจากไม้จำปา รุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นสุดท้ายแห่งตำนานความทนทานของอีคลาส เพราะเป็นรุ่นที่ไม่ค่อยจุกจิกเท่าไหร่ รุ่นนี้อากงผมยังเก็บไว้คันนึงเลย ซื้อตั้งแต่ปี 1990 ทุกวันนี้ผมลองไปขับดูยังขับดีอยู่เลยครับ ช่วงล่าง เครื่องยนต์แน่นเหมือนเดิมเลย
W210: (1995-2002)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1995 ถึง 2002 ถือเป็นโฉมที่พลิกการออกแบบภายนอกจากหน้ามือเป็นหลังตรีนเลยครับ จากเดิมที่รูปทรงรถจะเหลี่ยมๆได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้โค้งมนมากขึ้น รุ่นนี้ผมเรียกมันว่า “ตากลมในตำนาน” และเริ่มมีการใช้ระบบ Airbag ข้างประตู ดีไซน์รุ่นนี้ถือว่าสวยงามสะดุดตาในสมัยนั้นเลยครับ แต่ด้านระบบไฟฟ้าจะรวนโคตรบ่อยเพราะเป็นช่วงยุคเปลี่ยนผ่านของรถยุคปรับมือเป็นยุคเทคโนโลยี (ประสบการณ์จากคนใกล้ตัว) ระบบไฟเลยยังไม่เสถียรเท่าไหร่ ด้านเครื่องยนต์เริ่มมีการพัฒนาเครื่องดีเซลหัวฉีดรุ่นแรกของเบนซ์ ซึ่งก็คือ CDI ที่เราคุ้นกัน เป็นการนำเครื่องดีเซลมาใส่ในรถเก๋งรุ่นแรกๆเลย แต่เครื่องดีเซลในอีคลาสจะเริ่มเข้ามาในไทยตอนโฉม W211
W211: (2002-2009)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 2002 ถึง 2009 ดีไซน์รถถูกยกมาจาก W210 แต่ถูกปรับเส้นสายให้ลงตัวมากขึ้น เป็นรุ่นที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์เข้ามาช่วย เช่น เซนเซอร์หน้า-หลัง, ไฟหน้า Auto, ที่ปัดน้ำฝน Auto ขณะที่รถญี่ปุ่นเพิ่งมีมาให้ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 Kompressor, 2.6 V6, และเครื่องดีเซล 2.2 CDI ในตลาดเมืองไทย (เครื่องดีเซลตัวนี้ถือเป็นยุคตกอับของมันเลย มีปัญหาอย่างเยอะ) ในรุ่น Facelift มีการใส่ระบบ Pre-Safe มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งระบบนี้มีใน S-Class W220 ตั้งแต่ปี 2002 อีคลาสโฉมนี้ทำให้ผมคิดถึงตอนประถมเลยครับบอกเลย โตมากับมันจริงๆ ถ้ามันยังอยู่นี่น่าจับมาใส่ชุดแต่ง AMG มากเลยครับ โฉมนี้ผมเรียกว่า “โฉม MIB” น่าจะจำกันได้นะครับสำหรับหนังเรื่องนี้
W212: (2009-2015)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 2009 ถึง 2015 เป็นรุ่นที่จัดเต็มเรื่องเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ยอดขายถือว่าดีกว่า W211 อย่างชัดเจน แต่ก็มีกระแสว่าดีไซน์ไฟหน้าห่วย ดูไม่ค่อยสวย ทำให้ทางเบนซ์ทำการ Facelift ตอนปี 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการ Big Minorchange จริงๆ ดีไซน์ไฟหน้า ไฟท้ายถูกเปลี่ยนใหม่หมด ดูเท่ขึ้นมาเยอะเลย จะบอกว่าผมชอบไฟท้ายตัว Facelift ตอนกลางคืนมาก ลายเส้น LED ทำมาได้งามตาจริงๆครับ ดูดีกว่าตัว Pre-Facelift มากเลยครับ
นี่แหละครับ ประวัติศาสตร์ของรถในใจหลายๆคน เอาล่ะครับ ถึงเวลาที่ผมจะรีวิว เบนซ์ อีคลาสโฉมล่าสุดแล้วครับ มาดูกันเลยว่าจะจัดจ้านเท่าตัวก่อนๆรึเปล่า
ภายนอก
รูปลักษณ์ภายนอกของ E-Class W213 ได้ถูกออกแบบให้ดูสปอร์ตและดุดันขึ้น เส้นสายบนตัวถังดูคมกว่าตัวก่อนหน้า ดีไซน์มันเรียบๆแต่ถือว่าดูดีเลยทีเดียว ตัวถังยาวขึ้นกว่าตัว W212 ขึ้นมา 55 มิลลิเมตร แต่ความกว้างได้ลดลงจากโฉมก่อนที่ 1,854 มิลลิเมตรลงมาเหลือ 1,852 มิลลิเมตร ความสูงลดลงมา 2 มิลลิเมตร ทำให้ตัวรถดูปราดเปรี่ยวขึ้น ถ้าดูไกลๆนี่ผมแทบแยกไม่ออกเลยนะ ระหว่าง C,E, และ S-Class เหมือนเป็นฝาแฝดกันเลย คือประมาณว่าเอา C-Class มาเป่าลม แล้วเอา S-Class มาสูบลมออก
ด้านออพชั่นจะมีระบบไฟหน้าแบบ Multi Beam LED พร้อมระบบปรับองศาตามพวงมาลัย (ALS), ไฟปรับสูง-ต่ำออโต้, ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS) ไฟท้าย, ไฟเบรก, ไฟเลี้ยวเป็นแบบ LED ทั้งคัน, gเซนเซอร์หน้า-หลัง, พาโนรามิคซันรูฟ (อันนี้จะบอกว่าถ้าเปิดตอนกลางคืนพร้อม Ambient Light นี่จะรู้สึกฟินมากครับ บรรยากาศดีจริงๆ), ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าพร้อมระบบ Hands-Free Access เป็นระบบเปิดฝาท้ายโดยใช้เท้า (มีเฉพาะในรุ่น AMG)
วิธีคือถือกุญแจรถแล้วเอาเท้าไปเขี่ยใต้กันชนหลัง มันจะมีเซนเซอร์อยู่ครับ คือเอาเท้าเข้าไปแล้วชักออกเลย แล้วมันจะเปิดเองเลยครับ เวลาจะปิดฝากระโปรงก็ใช้วิธีเดียวกัน หรือไม่ก็กดปุ่มสีแดงที่ฝาท้ายก็ได้ ออพชั่นนี้ผมว่าสาวๆนักช็อปน่าจะชอบครับ ถือว่าสะดวกมากเวลามีของเต็มมือ ไม่ต้องล้วงหากุญแจกันเลย (รู้สึกว่าออพชั่นนี้นี่พี่เบนซ์ไปก๊อปบีเอ็มมานะครัช555)
ภายใน
ภายในของตัว W213 ได้ถูกถอดแบบมาจาก S-Class แทบจะทั้งหมด ถือว่าเป็นการปฏิวัติการออกแบบภายในของเบนซ์เลย ฉีกแนวจากรุ่นก่อนๆไปเยอะมาก สมัยก่อนรถเบนซ์เป็นยี่ห้อที่ถือว่าอนุรักษ์นิยมมากแต่ตอนนี้มันกลายเป็น Modern ซะแล้ว และถ้าสังเกตดีๆ คุณจะเห็นการผสมผสานระหว่างยุค Modern และยุค 70 ช่องแอร์กลมๆแบบนี้ชวนให้ผมนึกถึงตัว W123 เลยครับ มันผสมกันได้ลงตัวมาก เบาะนั่งถือว่านั่งสบายเลยครับ ขับทางไกลๆไม่มีล้า แต่ผมรู้สึกว่าเบาะมันเตี้ยไปนิดนึงสำหรับรถระดับ Executive เบาะหลังผมว่าตัว W212 นั่งสบายกว่าเพราะองศาของเบาะตัวนี้ถูกปรับมาให้สปอร์ตขึ้นและพื้นที่วางขาน้อยลง (เบาะใหญ่ขึ้น) แต่ Head Room มากขึ้นเนื่องจากเบาะเตี้ยลง วัสดุภายในถือว่าดีในระดับราคาของมันและรู้สึกว่ามีการใช้หนังมากขึ้นให้อารมณ์พรีเมี่ยมขึ้นมาหน่อยนึง หนังหุ้มเบาะเป็นหนัง nappa เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า
ออพชั่นภายในอื่นๆก็จะมีแอร์แบบ Dual-Zone, ปุ่ม Push Start ซึ่งถูกย้ายมาอยู่ด้านซ้ายและถอดปุ่มไม่ได้เหมือนรุ่นก่อน, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัด (เฉพาะรุ่น AMG), หน้าปัดแบบดิจิตอล, ไฟ Ambient Light ปรับได้ 64 สี (โอ้โห แมร่งจะเยอะไปไหน เลือกสีกันสนุกเลย เผลอๆบางคนเอาไปเล่นแบบดิสโก้), เบาะปรับไฟฟ้าพร้อม Memory, ระบบ Wireless Charging ชาร์จมือถือแบบไร้สาย เหมาะกับพวกบ้าโซเชี่ยลและคนที่ต้องใช้โทรศัพท์บ่อยๆมากครับ เพียงแค่เอาโทรศัพท์ไปวางบนแท่นชาร์จก็ชาร์จได้เลย ไม่ต้องต่อสายอะไรเลย แบบในรูปครับ
ที่ผมอยากจะติคือ ไม่ใช่ติสิ ใช้คำว่าด่าเลยดีกว่าคือ หน้ากากรอบช่องแอร์ด้านหลัง วัสดุห่วยแตกสุดๆ เป็นพลาสติกกรอบๆเลย คือรถราคาระดับ 4 ล้านปลายก็น่าจะทำให้มันดีกว่านี้
ระบบ Infotainment
ระบบ Infotainment ในอีคลาสโฉมนี้จะเป็นแบบ Comand Online แสดงผลผ่านหน้าจอ Widescreen Cockpit และควบคุมผ่านตัว Controller ที่มาพร้อม Touchpad (จะบอกว่าไอเจ้านี่แอบเล่นยากนิดนึง ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำความเข้าใจกับมัน) ตัว Controller จะมีที่ควบคุมเสียง, ปุ่มปิดหน้าจอ, ที่ควบคุมม่านหลัง, เรดาร์หาที่จอดรถ, ปุ่มปรับโหมดการขับขี่, และระบบ Start-Stop เหมือนเป็นตัวควบคุมระบบทั้งคันรถเลยครับ จะบอกว่าตอนเปิดเพลงไทยนี่ผมถึงกับอึ้งเล็กน้อยเลยครับ โฉมนี้มันอ่านภาษาไทยออกหว่ะ แบบผมพูดเลย อ่าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า เอ้ย!ไม่ใช่และ แบบมันเป็นไปได้ ปกติในรถยุโรประบบบันเทิงมักจะอ่านภาษาไทยไม่ออกครับ คือเวลาเปิดเพลงไทยมันจะขึ้นเป็นสี่เหลี่ยมเรียงกันดื้อๆเลย ถือว่าพัฒนาไปเยอะครับ แถมคันนี้ยังสามารถใช้ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ด้วย
ระบบอื่นๆก็จะมี Navigator, ช่องใส่ SD Card, Bluetooth ตามมาตรฐานรถยุโรปครับ
ระบบเครื่องเสียงเป็นของ Burmester ครับ คุณภาพเสียงถือว่าดีเลยครับคือได้ยินเครื่องดนตรีครบทุกชิ้น กีตาร์, เบส, กลอง ถือว่าครบครับ แต่ผมว่ามันยังไม่สุดหว่ะ เสียงมันยังไม่แน่นเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าดีกว่า Harman ในรุ่นก่อนหน้า
เครื่องยนต์และสมรรถนะ
เครื่องยนต์เป็นเครื่องดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที (อันนี้ถูกใจมาก ช่วงแฟลตทอร์คยาวขึ้นมาทำให้ขับดีขึ้น ไอตัวเก่านี่มาช่วง 1,600-1,800 แล้วก็หายเลย) อัตราเร่ง 0-100 จับเวลาได้ 7.2 วินาที ถือว่าแรงกว่า E250 CDI ตัวเก่าที่ทำได้ 7.8 วินาทีทั้งที่เครื่องเล็กกว่าเพราะน้ำหนักตัวที่เบาลงและ Aerodynamics ที่ดีขึ้น แต่แรงกระชากจะไม่แรงเท่า E250 CDI แต่ก็ถือว่ากระชากอยู่ (แหม ไอ้เจ้านั่นมันตั้ง 500 นิวตันเมตร เยอะพอๆกับเครื่อง V8 ในอดีตเลย) ตอนเร่งแซงถือว่าโอเคครับ ไม่ต้องลุ้นว่าจะพ้นรึเปล่า แต่คันเร่งช้าและหน่วงตามสไตล์เบนซ์เลย
เกียร์เป็นแบบ 9G-Tronic เกียร์ออโต้ 9 สปีด (ว้าว มาเยอะขนาดนี้ ชิฟและคิกดาวน์กันมันส์มือเลย) พร้อม Paddle Shift การเปลี่ยนเกียร์ถือว่าลื่นไหลดีครับ ไม่มีการสะดุดให้เสียจังหวะเลย
โหมดการขับขี่สามารถปรับได้ 5 โหมด คือ Eco สำหรับคนชอบขับประหยัดๆ, Comfort สำหรับพวกสายกลาง, Sport สำหรับพวกตีนหนัก, Sport+ สำหรับพวกตีนผี (เปลืองน้ำมันโคตร), และ Individual คือสไตล์การขับขี่ในแบบตัวเอง การเลืกโหมดคือปรับตรงปุ่ม Dynamic ข้างๆ Touchpad ได้เลยครับ
อัตราสิ้นเปลืองทางเบนซ์เคลมไว้ที่ 18 กม./ลิตร แต่วัดจริงๆได้ 16.2 กม./ลิตร ก็ถือว่าประหยัดใช้ได้ครับสำหรับรถไซส์นี้ แต่ก็ยังไม่เท่าซีรี่ย์ 5 ครับ
รีวิว: 2016 Mercedes-Benz E220d AMG Dynamic W213 ดุดัน สปอร์ต ดาวสามแฉกที่ให้อารมณ์วัยรุ่นกว่าเดิม
โฉมนี้ได้ชื่อรหัสตัวถังว่า W213 ถือว่าเป็นรุ่นที่ 10 ในตระกูลอีคลาสแล้วนะครับ รถรุ่นนี้เริ่มผลิตครั้งแรกเมื่อปี 1935 (ว้าว อากงยังเกิดไม่ค่อยทันเลย) ชื่อรุ่นอีคลาสย่อมาจากคำว่า Einspritzung-Class เป็นภาษาเยอรมันซึ่งแปลว่า เครื่องยนต์หัวฉีด
ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เรียกชื่ออีคลาสอย่างเป็นทางการตอนรุ่น W123-W124 ซึ่งเป็นช่วงที่เบนซ์ได้เปลี่ยนจากการใช้เครื่องยนต์คาบูเรเตอร์มาเป็นเครื่องยนต์หัวฉีดตามชื่อของมัน ก่อนที่ผมจะเริ่มรีวิวเรามาลองไล่ประวัติศาสตร์ของอีคลาสตั้งแต่รุ่นเครื่องยนต์หัวฉีดกันเลยดีกว่าครับ ผมเชื่อว่าหลายๆคนต้องผ่านยุคของรุ่นพวกนี้มา
W123: (1976-1985)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1976 ถึง 1985 ช่วงต้นอายุโฉมยังใช้เครื่องคาบูเรเตอร์อยู่และถูกเปลี่ยนมาเป็นเครื่องหัวฉีดในช่วงกลางอายุโฉม (ขณะที่รถญี่ปุ่นเริ่มมาใช้เครื่องหัวฉีดประมาณยุค 90) W123 ถือเป็นอีคลาสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์อีคลาส มียอดขายสะสมถึง 2.7 ล้านคัน เพราะดีไซน์ภายนอกถือว่าโฉบเฉี่ยวมากในสมัยนั้น พอมาดูในสมัยนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ล้าสมัยนะ มันดูคลาสสิกซะมากกว่า สถิติยอดขายถือว่ายังสูงสุดและยังไม่ถูกทำลายโดย Gen ใหม่ๆเลย
W124: (1985-1995)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1985 ถึง 1995 ถือเป็นรุ่นที่เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์หัวฉีดอย่างเต็มรูปแบบและเป็นรุ่นแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ใช้ชื่ออีคลาสอย่างเป็นทางการ รุ่นนี้มีชื่อเรียกในไทยว่า “โลงจำปา” เนื่องจากดีไซน์ด้านท้ายมีรูปร่างคล้ายๆโลงศพชาวจีนที่ทำจากไม้จำปา รุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นสุดท้ายแห่งตำนานความทนทานของอีคลาส เพราะเป็นรุ่นที่ไม่ค่อยจุกจิกเท่าไหร่ รุ่นนี้อากงผมยังเก็บไว้คันนึงเลย ซื้อตั้งแต่ปี 1990 ทุกวันนี้ผมลองไปขับดูยังขับดีอยู่เลยครับ ช่วงล่าง เครื่องยนต์แน่นเหมือนเดิมเลย
W210: (1995-2002)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1995 ถึง 2002 ถือเป็นโฉมที่พลิกการออกแบบภายนอกจากหน้ามือเป็นหลังตรีนเลยครับ จากเดิมที่รูปทรงรถจะเหลี่ยมๆได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้โค้งมนมากขึ้น รุ่นนี้ผมเรียกมันว่า “ตากลมในตำนาน” และเริ่มมีการใช้ระบบ Airbag ข้างประตู ดีไซน์รุ่นนี้ถือว่าสวยงามสะดุดตาในสมัยนั้นเลยครับ แต่ด้านระบบไฟฟ้าจะรวนโคตรบ่อยเพราะเป็นช่วงยุคเปลี่ยนผ่านของรถยุคปรับมือเป็นยุคเทคโนโลยี (ประสบการณ์จากคนใกล้ตัว) ระบบไฟเลยยังไม่เสถียรเท่าไหร่ ด้านเครื่องยนต์เริ่มมีการพัฒนาเครื่องดีเซลหัวฉีดรุ่นแรกของเบนซ์ ซึ่งก็คือ CDI ที่เราคุ้นกัน เป็นการนำเครื่องดีเซลมาใส่ในรถเก๋งรุ่นแรกๆเลย แต่เครื่องดีเซลในอีคลาสจะเริ่มเข้ามาในไทยตอนโฉม W211
W211: (2002-2009)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 2002 ถึง 2009 ดีไซน์รถถูกยกมาจาก W210 แต่ถูกปรับเส้นสายให้ลงตัวมากขึ้น เป็นรุ่นที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์เข้ามาช่วย เช่น เซนเซอร์หน้า-หลัง, ไฟหน้า Auto, ที่ปัดน้ำฝน Auto ขณะที่รถญี่ปุ่นเพิ่งมีมาให้ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 Kompressor, 2.6 V6, และเครื่องดีเซล 2.2 CDI ในตลาดเมืองไทย (เครื่องดีเซลตัวนี้ถือเป็นยุคตกอับของมันเลย มีปัญหาอย่างเยอะ) ในรุ่น Facelift มีการใส่ระบบ Pre-Safe มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งระบบนี้มีใน S-Class W220 ตั้งแต่ปี 2002 อีคลาสโฉมนี้ทำให้ผมคิดถึงตอนประถมเลยครับบอกเลย โตมากับมันจริงๆ ถ้ามันยังอยู่นี่น่าจับมาใส่ชุดแต่ง AMG มากเลยครับ โฉมนี้ผมเรียกว่า “โฉม MIB” น่าจะจำกันได้นะครับสำหรับหนังเรื่องนี้
W212: (2009-2015)
โฉมนี้ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 2009 ถึง 2015 เป็นรุ่นที่จัดเต็มเรื่องเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ยอดขายถือว่าดีกว่า W211 อย่างชัดเจน แต่ก็มีกระแสว่าดีไซน์ไฟหน้าห่วย ดูไม่ค่อยสวย ทำให้ทางเบนซ์ทำการ Facelift ตอนปี 2013 ซึ่งถือว่าเป็นการ Big Minorchange จริงๆ ดีไซน์ไฟหน้า ไฟท้ายถูกเปลี่ยนใหม่หมด ดูเท่ขึ้นมาเยอะเลย จะบอกว่าผมชอบไฟท้ายตัว Facelift ตอนกลางคืนมาก ลายเส้น LED ทำมาได้งามตาจริงๆครับ ดูดีกว่าตัว Pre-Facelift มากเลยครับ
นี่แหละครับ ประวัติศาสตร์ของรถในใจหลายๆคน เอาล่ะครับ ถึงเวลาที่ผมจะรีวิว เบนซ์ อีคลาสโฉมล่าสุดแล้วครับ มาดูกันเลยว่าจะจัดจ้านเท่าตัวก่อนๆรึเปล่า
ภายนอก
รูปลักษณ์ภายนอกของ E-Class W213 ได้ถูกออกแบบให้ดูสปอร์ตและดุดันขึ้น เส้นสายบนตัวถังดูคมกว่าตัวก่อนหน้า ดีไซน์มันเรียบๆแต่ถือว่าดูดีเลยทีเดียว ตัวถังยาวขึ้นกว่าตัว W212 ขึ้นมา 55 มิลลิเมตร แต่ความกว้างได้ลดลงจากโฉมก่อนที่ 1,854 มิลลิเมตรลงมาเหลือ 1,852 มิลลิเมตร ความสูงลดลงมา 2 มิลลิเมตร ทำให้ตัวรถดูปราดเปรี่ยวขึ้น ถ้าดูไกลๆนี่ผมแทบแยกไม่ออกเลยนะ ระหว่าง C,E, และ S-Class เหมือนเป็นฝาแฝดกันเลย คือประมาณว่าเอา C-Class มาเป่าลม แล้วเอา S-Class มาสูบลมออก
ด้านออพชั่นจะมีระบบไฟหน้าแบบ Multi Beam LED พร้อมระบบปรับองศาตามพวงมาลัย (ALS), ไฟปรับสูง-ต่ำออโต้, ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS) ไฟท้าย, ไฟเบรก, ไฟเลี้ยวเป็นแบบ LED ทั้งคัน, gเซนเซอร์หน้า-หลัง, พาโนรามิคซันรูฟ (อันนี้จะบอกว่าถ้าเปิดตอนกลางคืนพร้อม Ambient Light นี่จะรู้สึกฟินมากครับ บรรยากาศดีจริงๆ), ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าพร้อมระบบ Hands-Free Access เป็นระบบเปิดฝาท้ายโดยใช้เท้า (มีเฉพาะในรุ่น AMG)
วิธีคือถือกุญแจรถแล้วเอาเท้าไปเขี่ยใต้กันชนหลัง มันจะมีเซนเซอร์อยู่ครับ คือเอาเท้าเข้าไปแล้วชักออกเลย แล้วมันจะเปิดเองเลยครับ เวลาจะปิดฝากระโปรงก็ใช้วิธีเดียวกัน หรือไม่ก็กดปุ่มสีแดงที่ฝาท้ายก็ได้ ออพชั่นนี้ผมว่าสาวๆนักช็อปน่าจะชอบครับ ถือว่าสะดวกมากเวลามีของเต็มมือ ไม่ต้องล้วงหากุญแจกันเลย (รู้สึกว่าออพชั่นนี้นี่พี่เบนซ์ไปก๊อปบีเอ็มมานะครัช555)
ภายใน
ภายในของตัว W213 ได้ถูกถอดแบบมาจาก S-Class แทบจะทั้งหมด ถือว่าเป็นการปฏิวัติการออกแบบภายในของเบนซ์เลย ฉีกแนวจากรุ่นก่อนๆไปเยอะมาก สมัยก่อนรถเบนซ์เป็นยี่ห้อที่ถือว่าอนุรักษ์นิยมมากแต่ตอนนี้มันกลายเป็น Modern ซะแล้ว และถ้าสังเกตดีๆ คุณจะเห็นการผสมผสานระหว่างยุค Modern และยุค 70 ช่องแอร์กลมๆแบบนี้ชวนให้ผมนึกถึงตัว W123 เลยครับ มันผสมกันได้ลงตัวมาก เบาะนั่งถือว่านั่งสบายเลยครับ ขับทางไกลๆไม่มีล้า แต่ผมรู้สึกว่าเบาะมันเตี้ยไปนิดนึงสำหรับรถระดับ Executive เบาะหลังผมว่าตัว W212 นั่งสบายกว่าเพราะองศาของเบาะตัวนี้ถูกปรับมาให้สปอร์ตขึ้นและพื้นที่วางขาน้อยลง (เบาะใหญ่ขึ้น) แต่ Head Room มากขึ้นเนื่องจากเบาะเตี้ยลง วัสดุภายในถือว่าดีในระดับราคาของมันและรู้สึกว่ามีการใช้หนังมากขึ้นให้อารมณ์พรีเมี่ยมขึ้นมาหน่อยนึง หนังหุ้มเบาะเป็นหนัง nappa เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า
ออพชั่นภายในอื่นๆก็จะมีแอร์แบบ Dual-Zone, ปุ่ม Push Start ซึ่งถูกย้ายมาอยู่ด้านซ้ายและถอดปุ่มไม่ได้เหมือนรุ่นก่อน, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัด (เฉพาะรุ่น AMG), หน้าปัดแบบดิจิตอล, ไฟ Ambient Light ปรับได้ 64 สี (โอ้โห แมร่งจะเยอะไปไหน เลือกสีกันสนุกเลย เผลอๆบางคนเอาไปเล่นแบบดิสโก้), เบาะปรับไฟฟ้าพร้อม Memory, ระบบ Wireless Charging ชาร์จมือถือแบบไร้สาย เหมาะกับพวกบ้าโซเชี่ยลและคนที่ต้องใช้โทรศัพท์บ่อยๆมากครับ เพียงแค่เอาโทรศัพท์ไปวางบนแท่นชาร์จก็ชาร์จได้เลย ไม่ต้องต่อสายอะไรเลย แบบในรูปครับ
ที่ผมอยากจะติคือ ไม่ใช่ติสิ ใช้คำว่าด่าเลยดีกว่าคือ หน้ากากรอบช่องแอร์ด้านหลัง วัสดุห่วยแตกสุดๆ เป็นพลาสติกกรอบๆเลย คือรถราคาระดับ 4 ล้านปลายก็น่าจะทำให้มันดีกว่านี้
ระบบ Infotainment
ระบบ Infotainment ในอีคลาสโฉมนี้จะเป็นแบบ Comand Online แสดงผลผ่านหน้าจอ Widescreen Cockpit และควบคุมผ่านตัว Controller ที่มาพร้อม Touchpad (จะบอกว่าไอเจ้านี่แอบเล่นยากนิดนึง ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำความเข้าใจกับมัน) ตัว Controller จะมีที่ควบคุมเสียง, ปุ่มปิดหน้าจอ, ที่ควบคุมม่านหลัง, เรดาร์หาที่จอดรถ, ปุ่มปรับโหมดการขับขี่, และระบบ Start-Stop เหมือนเป็นตัวควบคุมระบบทั้งคันรถเลยครับ จะบอกว่าตอนเปิดเพลงไทยนี่ผมถึงกับอึ้งเล็กน้อยเลยครับ โฉมนี้มันอ่านภาษาไทยออกหว่ะ แบบผมพูดเลย อ่าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า เอ้ย!ไม่ใช่และ แบบมันเป็นไปได้ ปกติในรถยุโรประบบบันเทิงมักจะอ่านภาษาไทยไม่ออกครับ คือเวลาเปิดเพลงไทยมันจะขึ้นเป็นสี่เหลี่ยมเรียงกันดื้อๆเลย ถือว่าพัฒนาไปเยอะครับ แถมคันนี้ยังสามารถใช้ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ด้วย
ระบบอื่นๆก็จะมี Navigator, ช่องใส่ SD Card, Bluetooth ตามมาตรฐานรถยุโรปครับ
ระบบเครื่องเสียงเป็นของ Burmester ครับ คุณภาพเสียงถือว่าดีเลยครับคือได้ยินเครื่องดนตรีครบทุกชิ้น กีตาร์, เบส, กลอง ถือว่าครบครับ แต่ผมว่ามันยังไม่สุดหว่ะ เสียงมันยังไม่แน่นเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าดีกว่า Harman ในรุ่นก่อนหน้า
เครื่องยนต์และสมรรถนะ
เครื่องยนต์เป็นเครื่องดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที (อันนี้ถูกใจมาก ช่วงแฟลตทอร์คยาวขึ้นมาทำให้ขับดีขึ้น ไอตัวเก่านี่มาช่วง 1,600-1,800 แล้วก็หายเลย) อัตราเร่ง 0-100 จับเวลาได้ 7.2 วินาที ถือว่าแรงกว่า E250 CDI ตัวเก่าที่ทำได้ 7.8 วินาทีทั้งที่เครื่องเล็กกว่าเพราะน้ำหนักตัวที่เบาลงและ Aerodynamics ที่ดีขึ้น แต่แรงกระชากจะไม่แรงเท่า E250 CDI แต่ก็ถือว่ากระชากอยู่ (แหม ไอ้เจ้านั่นมันตั้ง 500 นิวตันเมตร เยอะพอๆกับเครื่อง V8 ในอดีตเลย) ตอนเร่งแซงถือว่าโอเคครับ ไม่ต้องลุ้นว่าจะพ้นรึเปล่า แต่คันเร่งช้าและหน่วงตามสไตล์เบนซ์เลย
เกียร์เป็นแบบ 9G-Tronic เกียร์ออโต้ 9 สปีด (ว้าว มาเยอะขนาดนี้ ชิฟและคิกดาวน์กันมันส์มือเลย) พร้อม Paddle Shift การเปลี่ยนเกียร์ถือว่าลื่นไหลดีครับ ไม่มีการสะดุดให้เสียจังหวะเลย
โหมดการขับขี่สามารถปรับได้ 5 โหมด คือ Eco สำหรับคนชอบขับประหยัดๆ, Comfort สำหรับพวกสายกลาง, Sport สำหรับพวกตีนหนัก, Sport+ สำหรับพวกตีนผี (เปลืองน้ำมันโคตร), และ Individual คือสไตล์การขับขี่ในแบบตัวเอง การเลืกโหมดคือปรับตรงปุ่ม Dynamic ข้างๆ Touchpad ได้เลยครับ
อัตราสิ้นเปลืองทางเบนซ์เคลมไว้ที่ 18 กม./ลิตร แต่วัดจริงๆได้ 16.2 กม./ลิตร ก็ถือว่าประหยัดใช้ได้ครับสำหรับรถไซส์นี้ แต่ก็ยังไม่เท่าซีรี่ย์ 5 ครับ