รถ Mercedes-Benz E-Class เป็นรถที่อยู่คู่กับโลกยานยนต์เป็นเวลายาวนานที่สุดรุ่นนึงในฐานะรถยนต์สำหรับผู้บริหาร ที่มาของชื่อ E-Class ในยุคแรกนั้นย่อมาจากคำว่า Einspritzung-Class ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันแปลว่า รถยนต์เครื่องหัวฉีด ส่วนรถ E-Class โฉมแรกที่ได้ใช้ชื่อ E-Class อย่างเป็นทางการก็คือ W124 ซึ่งได้นิยามใหม่ว่า Elegance บ่งบอกถึงความหรูหรา สวยงาม และมีระดับ ผมขออนุญาตเล่าประวัติตั้งแต่ W124 เป็นต้นมานะครับ
W124 (Production Year 1985-1995)
Mercedes-Benz E-Class โฉม W124 เป็นที่นิยมทั่วโลกเป็นอย่างมากรวมถึงในไทยด้วย คนไทยมักเรียกชื่อเล่นมันว่า โฉมโลงจำปา เนื่องจากฝากระโปรงท้ายของมันมีรูปทรงคล้ายๆ กับโลงศพชาวจีน รถรุ่นนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักธุรกิจ เพราะมันเป็นรถที่ให้ความสะดวกสบายและความนุ่มนวลแต่หนักแน่นและมั่นคง ในความคิดผมคือมันเป็นรถที่มีสุนทรียภาพในการโดยสารสูงสุดรุ่นนึงเลย แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะเข้าโค้งฟินเท่า BMW 5 Series E34 เพราะมันออกแบบมาให้ขับนุ่มๆ ไม่ได้ออกแบบมาให้ซิ่ง
รถรุ่นนี้จะมีการแบ่ง code กันตามรุ่นปีที่ผลิต ช่วงปีแรกๆ จะเรียกอย่างง่ายๆ ว่า E หลังเพราะตัวเลขรุ่นจะขึ้นก่อนตัวอักษร เช่น 230E, 300E, และ 500E (คันนี้น่าเก็บมาก) ส่วนช่วงปลายอายุตลาดของมันจะเรียกว่า E หน้าเพราะมันได้ถูกย้ายตัวอักษรมาไว้ข้างหน้า เช่น E220, และ E280 เป็นต้น
ปัจจุบันรถรุ่นนี้ก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยเป็นอย่างมาก ด้วยราคาที่จับต้องได้ในหลักหมื่นปลายถึงแสนกลาง ขึ้นอยู่กับสภาพ (สมัยป้ายแดงขายอยู่ 2 ล้านกว่าบาทเมื่อ 30 ปีก่อน คิดว่าแพงมั้ยล่ะ) และความทนทานของมันทำให้หลายๆ คนยังปรารถนาที่จะครอบครองมันอยู่
ปล.ผมเองก็อยากเก็บ 300CE 2 ประตูซักคันนะ แต่หารถโคตรยาก ถึงมีเจ้าของก็ไม่ค่อยยอมขาย5555
W210 (Production Year 1995-2002)
รถ Mercedes-Benz E-Class W210 เหมือนเป็นการปฏิวัติการดีไซน์ของรถเบนซ์ในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้เพราะมันไม่ได้มีเค้าโครงเดิมจาก W124 เลยแม้แต่น้อย รถมันดูโค้งๆ มนๆ ต่างจาก W124 ที่จะดูเหลี่ยมๆ พอสมควร จุดเด่นของ W210 คือไฟหน้านี่แหละครับ ตากลมคู่มาแต่ไกลเลย ชื่อเล่นของมันก็ตามไฟหน้าเลยครับ "ตากลม" จนใครที่ออกป้ายแดงได้ในสมัยนั้นมักจะถูกเรียกว่า "เสี่ยตากลม"
ช่วงเริ่มต้นทำตลาดใหม่ๆ จะใช้เครื่อง 4 สูบรหัส M111 และเครื่อง 6 สูบแถวเรียงรหัส M104 ต่อมาได้มีการ Facelift ในปี 1998 เครื่องยนต์ 6 สูบได้มีการเปลี่ยนจากแบบแถวเรียงเป็นแบบ V6 และใช้รหัสเครื่องใหม่ว่า M112 และเป็นครั้งแรกที่ทาง Mercedes-Benz แนะนำเครื่องดีเซลหัวฉีดแบบ CDI ในรถเก๋งด้วย
ปัจจุบันรถ E-Class W210 ยังมีคนหาเล่นอยู่จำนวนไม่น้อย ด้วยภาพลักษณ์ของมันที่ยังดูสง่า อะไหล่หาง่าย ซ่อมไม่แพง และราคาปัจจุบันที่เอื้อมถึงได้ในหลักแสนปลายถึงสามแสนกลาง ขึ้นอยู่กับสภาพและรุ่นปี แต่โฉมนี้ต้องระวังเรื่องวัสดุภายในนิดนึงเนื่องจากมันใช้วัสดุ recycle เป็นครั้งแรก อาจจะกรอบและแตกง่ายกว่าปกติ
W211 (Production Year 2002-2009)
เข้าสู่ยุค Millennial อย่างเป็นทางการแล้วนะครับพร้อมกับการเปิดตัว E-Class โฉมใหม่อย่างเจ้า W211 มันโด่งดังมาจากการที่ได้เป็นรถประกอบฉากในหนังเรื่อง Men In Black II ซึ่งปรากฏในหนังก่อนที่จะเปิดตัวในสหรัฐฯ ซะอีก
W211 จะเรียกว่าเป็นเหมือนยุคเปลี่ยนผ่านระหว่างรถยุคคลาสสิกกับรถยุค modern เลยก็ว่าได้ (เช่นเดียวกับ BMW 5 Series E60) มีการใช้ระบบเซนเซอร์และระบบคอมในรถแทบจะทุกจุด ดูไฮเทคนะ แต่รวนบ่อยสัสๆ ซ่อมทีก็ใช่ว่าจะถูกๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ อะไรที่เป็นของใหม่มันมักจะมี defect เป็นเรื่องปกติ สมัยช่วงแรกๆ ที่ขายในเมืองไทยจะมีให้เลือกอยู่ 3 เครื่องยนต์ได้แก่ E200 Kompressor ขนาด 1.8 ลิตร 4 สูบ (อืดโคตรๆ), E220 CDI ดีเซล, และ E240 V6 (แรงจัดดูดน้ำมันจัดเช่นกัน) ต่อมาได้มีการ Facelift ในปี 2007 มีการเพิ่มตัว NGT เข้าไป เป็นระบบแก๊ส NGV จากโรงงาน Mercedes-Benz โดยตรงและเพิ่มระบบ Pre-Safe เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โฉม Facelift มีชื่อเล่นว่า "หน้าธนู" เนื่องจากความแหลมของส่วนหน้ารถที่มีมากกว่าตัว Pre-Facelift
ราคาปัจจุบันของ W211 อยู่ที่ประมาณ 3 แสนปลายถึง 7 แสนกลาง ขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์และรุ่นปี รุ่นที่ผมเชียร์ให้เล่นคือตัว Facelift หน้าธนูเครื่องดีเซลฝาดำไม่ก็ V6 ไปเลย ไม่ค่อยเชียร์ให้เล่นตัว NGT และดีเซลฝาขาวเนื่องจากปัญหาค่อนข้างเยอะ
W212 (Production Year 2009-2016)
Mercedes-Benz E-Class W212 เผยโฉมครั้งแรกในโลกที่ North American International Auto Show เมื่อปี 2009 และเริ่มขายจริงในไตรมาสแรกของปี 2010 โฉมนี้มีตัวถังให้เลือกถึง 4 แบบได้แก่ 4 ประตู saloon, 5 ประตู estate, 2 ประตู coupe, และ 2 ประตูแบบเปิดประทุน cabriolet โดยรวมแล้ว W212 ดูสปอร์ตและวัยรุ่นขึ้นจาก W211 อย่างชัดเจนทั้งในแง่การดีไซน์และการขับขี่ แต่ก็ไม่ได้กระฉับกระเฉงแบบ BMW 5 Series F10 ยังคงความเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง
ช่วงแรกๆ ที่เปิดตัวในไทยจะมีเครื่องให้เลือกได้แก่ E200 NGT, E200 CGI, E250 CGI, E250 CDI (ออกตัวทีแทบหงายหลัง แรงบิดล่อไป 500 nm แต่มาสั้น
), และ E300 V6 เป็นครั้งแรกที่ E-Class มีการใส่ Turbocharger ในเครื่องยนต์เพื่อให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นและทำให้สมรรถนะรถสูงขึ้น ต่อมาได้มีการ Facelift ตอนปี 2013 มีการเปลี่ยนไฟหน้าและไฟท้ายให้ดูโฉบเฉี่ยวขึ้นจนคนที่ขับตัว pre-facelift เอาไปแปลงโฉมอยู่ไม่น้อยและได้มีการใส่เทคโนโลยี Bluetec Hybrid หรือดีเซลไฮบริดเข้ามา ดูเผินๆ มันเหมือนจะดีแต่มันสร้างความปวดกบาลให้เจ้าของหลายท่านอยู่ไม่น้อยเนื่องจากมันรวนบ่อยมากๆ แถมบางทีสตาร์ทไม่ได้ด้วย ต้องขึ้นรถสไลด์ไปตามระเบียบ แต่ยังดีที่มี E200 เบนซินเพียวมาให้เลือกจึงเป็นทางออกอีกทางของคนอยากซื้อ W212 แต่ไม่อยากปวดหัว รุ่นย่อยที่ขายในไทยในโฉม Facelift ได้แก่ E200 Edition E, E300 Bluetec Hybrid Exclusive, และ E300 Bluetec Hybrid AMG Dynamic
ปัจจุบันยังมีคนหาเล่นมือสองอยู่จำนวนนึง ด้วยราคาที่เท่ารถญี่ปุ่น D-Segment ป้ายแดง แต่มันให้ภาษีกับเจ้าของมากกว่าเยอะ ทำให้หลายคนลังเลว่าจะเอาแบบไหนดี ส่วนรุ่นย่อยที่ผมแนะนำให้เล่นได้แก่ E250 CDI ตัว เพราะมันได้ทั้งความประหยัดและความทนในเวลาเดียวกัน แต่ออพชั่นอาจจะไม่ดีเท่าไหร่, E250 CGI ตัว Avantgarde ถ้าอยากได้ความแรงและออพชั่นแบบจัดเต็ม, และ E200 Edition E ตัว Facelift ถ้าอยากได้รถปีใหม่หน่อย และพยายามหาตัวที่เป็นเกียร์ 7G Tronic เพราะระบบเกียร์จะเสถียรกว่าตัว 5G Tronic แต่ก็ต้องระวังเช่นกันเพราะนี่คือจุดอ่อนของ W212
W213 (Production Year 2016-Present)
มาถึงโฉมปัจจุบันกันแล้วกับเจ้า W213 มันถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 ที่ Detroit Auto Show รุ่นนี้ถือว่าเปลี่ยนจาก W212 ไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังตีนเลย พอเห็นมันครั้งแรกรู้สึกได้เลยว่ามันล้ำกว่าเดิมมาก ดีไซน์ทุกอย่างดูหรูหราอลังการมากกว่าเดิมโดยเฉพาะภายใน แต่แอบรู้สึกว่าวัสดุบางส่วนในรถห่วยกว่าตัว W212 อย่างเห็นได้ชัด
ตอนเปิดตัวในไทยช่วงแรกๆ จะมีแต่ E220d ให้เลือกแต่จะแบ่งเป็น 2 trim คือ Exclusive และ AMG Dynamic ซึ่งราคาต่างกันอยู่ 800,000 บาท ต่อมาเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศเป็น E220d แบบหั่นราคามาเยอะมากในช่วงแรกแล้วถูกเปลี่ยนเป็น E350e ในเวลาไม่นาน นี่คือครั้งแรกในรถ Mercedes-Benz E-Class ที่ใส่ระบบ Plug-in Hybrid มาให้แต่ระบบมันกลับมีปัญหามากมายแบบแก้ไม่ค่อยจบเท่าไหร่ จนเจ้าของหลายท่านเข็ดขยาดและหันมาคบแบรนด์คู่แข่งแทน นอกจากเรื่องระบบ PHEV แล้ว โช้คถุงลมก็เป็นอีกปัญหาเช่นกันที่แก้ไม่ค่อยจบเนื่องจากมันค่อนข้างเปราะโดยเฉพาะคู่หน้า รั่วบ่อยมาก จนทาง MB Thailand เปลี่ยนเครื่องใหม่เป็น E300e และต้องเปลี่ยนโช้ค Airmatic เป็นโช้คแบบธรรมดาแทนเนื่องจากโดนลูกค้าโวยเยอะพอสมควร และนำ E220d กลับมาขายอีกครั้งแต่เป็นตัว E220d Sport ซึ่งถ้ามองในแง่ความคุ้มค่ามันก็คุ้มอยู่แหละ แต่ออพชั่นนี่ไม่สมราคาเอาซะเลยนะ
ปัจจุบัน W213 ตัว Facelift ได้เปิดตัวในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าค่อนข้างต่างจากตัว Pre-Facelift อยู่มาก ไฟหน้าถูกเปลี่ยนใหม่ไปในทางเดียวกับลูกพี่ลูกน้องของมันอย่าง CLS ไฟท้ายก็เปลี่ยนดีไซน์ใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิม แต่โดยรวมผมว่ามันสวยขึ้นนะในความเห็นส่วนตัว และคิดว่าน่าจะเปิดตัวในไทยช่วงปีหน้า
สำหรับใครที่รอสอยมือสองรุ่นนี้อยู่รออีกซักอึดใจเดียวนะครับ รอตัว Facelift เปิดตัวแล้วตัว Pre ราคาจะร่วงมาอีก คุณจะได้รถที่ราคาถูกลงมาอีกหลายแสนเลย และเช่นเดิม แนะนำให้หา E220d นะครับ ยิ่งหาตัว AMG Dynamic ได้ยิ่งดี คุณจะได้รถที่ออพชั่นมาเต็มและบำรุงรักษาง่ายในเวลาเดียวกัน
สามารถติดตามข่าวสาร, ความรู้, และรีวิวรถได้จากเพจ FB Yodster Home Garage นะครับ
ประวัติรถ Mercedes-Benz E-Class
W124 (Production Year 1985-1995)
Mercedes-Benz E-Class โฉม W124 เป็นที่นิยมทั่วโลกเป็นอย่างมากรวมถึงในไทยด้วย คนไทยมักเรียกชื่อเล่นมันว่า โฉมโลงจำปา เนื่องจากฝากระโปรงท้ายของมันมีรูปทรงคล้ายๆ กับโลงศพชาวจีน รถรุ่นนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักธุรกิจ เพราะมันเป็นรถที่ให้ความสะดวกสบายและความนุ่มนวลแต่หนักแน่นและมั่นคง ในความคิดผมคือมันเป็นรถที่มีสุนทรียภาพในการโดยสารสูงสุดรุ่นนึงเลย แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะเข้าโค้งฟินเท่า BMW 5 Series E34 เพราะมันออกแบบมาให้ขับนุ่มๆ ไม่ได้ออกแบบมาให้ซิ่ง
รถรุ่นนี้จะมีการแบ่ง code กันตามรุ่นปีที่ผลิต ช่วงปีแรกๆ จะเรียกอย่างง่ายๆ ว่า E หลังเพราะตัวเลขรุ่นจะขึ้นก่อนตัวอักษร เช่น 230E, 300E, และ 500E (คันนี้น่าเก็บมาก) ส่วนช่วงปลายอายุตลาดของมันจะเรียกว่า E หน้าเพราะมันได้ถูกย้ายตัวอักษรมาไว้ข้างหน้า เช่น E220, และ E280 เป็นต้น
ปัจจุบันรถรุ่นนี้ก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยเป็นอย่างมาก ด้วยราคาที่จับต้องได้ในหลักหมื่นปลายถึงแสนกลาง ขึ้นอยู่กับสภาพ (สมัยป้ายแดงขายอยู่ 2 ล้านกว่าบาทเมื่อ 30 ปีก่อน คิดว่าแพงมั้ยล่ะ) และความทนทานของมันทำให้หลายๆ คนยังปรารถนาที่จะครอบครองมันอยู่
ปล.ผมเองก็อยากเก็บ 300CE 2 ประตูซักคันนะ แต่หารถโคตรยาก ถึงมีเจ้าของก็ไม่ค่อยยอมขาย5555
W210 (Production Year 1995-2002)
รถ Mercedes-Benz E-Class W210 เหมือนเป็นการปฏิวัติการดีไซน์ของรถเบนซ์ในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้เพราะมันไม่ได้มีเค้าโครงเดิมจาก W124 เลยแม้แต่น้อย รถมันดูโค้งๆ มนๆ ต่างจาก W124 ที่จะดูเหลี่ยมๆ พอสมควร จุดเด่นของ W210 คือไฟหน้านี่แหละครับ ตากลมคู่มาแต่ไกลเลย ชื่อเล่นของมันก็ตามไฟหน้าเลยครับ "ตากลม" จนใครที่ออกป้ายแดงได้ในสมัยนั้นมักจะถูกเรียกว่า "เสี่ยตากลม"
ช่วงเริ่มต้นทำตลาดใหม่ๆ จะใช้เครื่อง 4 สูบรหัส M111 และเครื่อง 6 สูบแถวเรียงรหัส M104 ต่อมาได้มีการ Facelift ในปี 1998 เครื่องยนต์ 6 สูบได้มีการเปลี่ยนจากแบบแถวเรียงเป็นแบบ V6 และใช้รหัสเครื่องใหม่ว่า M112 และเป็นครั้งแรกที่ทาง Mercedes-Benz แนะนำเครื่องดีเซลหัวฉีดแบบ CDI ในรถเก๋งด้วย
ปัจจุบันรถ E-Class W210 ยังมีคนหาเล่นอยู่จำนวนไม่น้อย ด้วยภาพลักษณ์ของมันที่ยังดูสง่า อะไหล่หาง่าย ซ่อมไม่แพง และราคาปัจจุบันที่เอื้อมถึงได้ในหลักแสนปลายถึงสามแสนกลาง ขึ้นอยู่กับสภาพและรุ่นปี แต่โฉมนี้ต้องระวังเรื่องวัสดุภายในนิดนึงเนื่องจากมันใช้วัสดุ recycle เป็นครั้งแรก อาจจะกรอบและแตกง่ายกว่าปกติ
W211 (Production Year 2002-2009)
เข้าสู่ยุค Millennial อย่างเป็นทางการแล้วนะครับพร้อมกับการเปิดตัว E-Class โฉมใหม่อย่างเจ้า W211 มันโด่งดังมาจากการที่ได้เป็นรถประกอบฉากในหนังเรื่อง Men In Black II ซึ่งปรากฏในหนังก่อนที่จะเปิดตัวในสหรัฐฯ ซะอีก
W211 จะเรียกว่าเป็นเหมือนยุคเปลี่ยนผ่านระหว่างรถยุคคลาสสิกกับรถยุค modern เลยก็ว่าได้ (เช่นเดียวกับ BMW 5 Series E60) มีการใช้ระบบเซนเซอร์และระบบคอมในรถแทบจะทุกจุด ดูไฮเทคนะ แต่รวนบ่อยสัสๆ ซ่อมทีก็ใช่ว่าจะถูกๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ อะไรที่เป็นของใหม่มันมักจะมี defect เป็นเรื่องปกติ สมัยช่วงแรกๆ ที่ขายในเมืองไทยจะมีให้เลือกอยู่ 3 เครื่องยนต์ได้แก่ E200 Kompressor ขนาด 1.8 ลิตร 4 สูบ (อืดโคตรๆ), E220 CDI ดีเซล, และ E240 V6 (แรงจัดดูดน้ำมันจัดเช่นกัน) ต่อมาได้มีการ Facelift ในปี 2007 มีการเพิ่มตัว NGT เข้าไป เป็นระบบแก๊ส NGV จากโรงงาน Mercedes-Benz โดยตรงและเพิ่มระบบ Pre-Safe เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โฉม Facelift มีชื่อเล่นว่า "หน้าธนู" เนื่องจากความแหลมของส่วนหน้ารถที่มีมากกว่าตัว Pre-Facelift
ราคาปัจจุบันของ W211 อยู่ที่ประมาณ 3 แสนปลายถึง 7 แสนกลาง ขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์และรุ่นปี รุ่นที่ผมเชียร์ให้เล่นคือตัว Facelift หน้าธนูเครื่องดีเซลฝาดำไม่ก็ V6 ไปเลย ไม่ค่อยเชียร์ให้เล่นตัว NGT และดีเซลฝาขาวเนื่องจากปัญหาค่อนข้างเยอะ
W212 (Production Year 2009-2016)
Mercedes-Benz E-Class W212 เผยโฉมครั้งแรกในโลกที่ North American International Auto Show เมื่อปี 2009 และเริ่มขายจริงในไตรมาสแรกของปี 2010 โฉมนี้มีตัวถังให้เลือกถึง 4 แบบได้แก่ 4 ประตู saloon, 5 ประตู estate, 2 ประตู coupe, และ 2 ประตูแบบเปิดประทุน cabriolet โดยรวมแล้ว W212 ดูสปอร์ตและวัยรุ่นขึ้นจาก W211 อย่างชัดเจนทั้งในแง่การดีไซน์และการขับขี่ แต่ก็ไม่ได้กระฉับกระเฉงแบบ BMW 5 Series F10 ยังคงความเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง
ช่วงแรกๆ ที่เปิดตัวในไทยจะมีเครื่องให้เลือกได้แก่ E200 NGT, E200 CGI, E250 CGI, E250 CDI (ออกตัวทีแทบหงายหลัง แรงบิดล่อไป 500 nm แต่มาสั้น), และ E300 V6 เป็นครั้งแรกที่ E-Class มีการใส่ Turbocharger ในเครื่องยนต์เพื่อให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นและทำให้สมรรถนะรถสูงขึ้น ต่อมาได้มีการ Facelift ตอนปี 2013 มีการเปลี่ยนไฟหน้าและไฟท้ายให้ดูโฉบเฉี่ยวขึ้นจนคนที่ขับตัว pre-facelift เอาไปแปลงโฉมอยู่ไม่น้อยและได้มีการใส่เทคโนโลยี Bluetec Hybrid หรือดีเซลไฮบริดเข้ามา ดูเผินๆ มันเหมือนจะดีแต่มันสร้างความปวดกบาลให้เจ้าของหลายท่านอยู่ไม่น้อยเนื่องจากมันรวนบ่อยมากๆ แถมบางทีสตาร์ทไม่ได้ด้วย ต้องขึ้นรถสไลด์ไปตามระเบียบ แต่ยังดีที่มี E200 เบนซินเพียวมาให้เลือกจึงเป็นทางออกอีกทางของคนอยากซื้อ W212 แต่ไม่อยากปวดหัว รุ่นย่อยที่ขายในไทยในโฉม Facelift ได้แก่ E200 Edition E, E300 Bluetec Hybrid Exclusive, และ E300 Bluetec Hybrid AMG Dynamic
ปัจจุบันยังมีคนหาเล่นมือสองอยู่จำนวนนึง ด้วยราคาที่เท่ารถญี่ปุ่น D-Segment ป้ายแดง แต่มันให้ภาษีกับเจ้าของมากกว่าเยอะ ทำให้หลายคนลังเลว่าจะเอาแบบไหนดี ส่วนรุ่นย่อยที่ผมแนะนำให้เล่นได้แก่ E250 CDI ตัว เพราะมันได้ทั้งความประหยัดและความทนในเวลาเดียวกัน แต่ออพชั่นอาจจะไม่ดีเท่าไหร่, E250 CGI ตัว Avantgarde ถ้าอยากได้ความแรงและออพชั่นแบบจัดเต็ม, และ E200 Edition E ตัว Facelift ถ้าอยากได้รถปีใหม่หน่อย และพยายามหาตัวที่เป็นเกียร์ 7G Tronic เพราะระบบเกียร์จะเสถียรกว่าตัว 5G Tronic แต่ก็ต้องระวังเช่นกันเพราะนี่คือจุดอ่อนของ W212
W213 (Production Year 2016-Present)
มาถึงโฉมปัจจุบันกันแล้วกับเจ้า W213 มันถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 ที่ Detroit Auto Show รุ่นนี้ถือว่าเปลี่ยนจาก W212 ไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังตีนเลย พอเห็นมันครั้งแรกรู้สึกได้เลยว่ามันล้ำกว่าเดิมมาก ดีไซน์ทุกอย่างดูหรูหราอลังการมากกว่าเดิมโดยเฉพาะภายใน แต่แอบรู้สึกว่าวัสดุบางส่วนในรถห่วยกว่าตัว W212 อย่างเห็นได้ชัด
ตอนเปิดตัวในไทยช่วงแรกๆ จะมีแต่ E220d ให้เลือกแต่จะแบ่งเป็น 2 trim คือ Exclusive และ AMG Dynamic ซึ่งราคาต่างกันอยู่ 800,000 บาท ต่อมาเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศเป็น E220d แบบหั่นราคามาเยอะมากในช่วงแรกแล้วถูกเปลี่ยนเป็น E350e ในเวลาไม่นาน นี่คือครั้งแรกในรถ Mercedes-Benz E-Class ที่ใส่ระบบ Plug-in Hybrid มาให้แต่ระบบมันกลับมีปัญหามากมายแบบแก้ไม่ค่อยจบเท่าไหร่ จนเจ้าของหลายท่านเข็ดขยาดและหันมาคบแบรนด์คู่แข่งแทน นอกจากเรื่องระบบ PHEV แล้ว โช้คถุงลมก็เป็นอีกปัญหาเช่นกันที่แก้ไม่ค่อยจบเนื่องจากมันค่อนข้างเปราะโดยเฉพาะคู่หน้า รั่วบ่อยมาก จนทาง MB Thailand เปลี่ยนเครื่องใหม่เป็น E300e และต้องเปลี่ยนโช้ค Airmatic เป็นโช้คแบบธรรมดาแทนเนื่องจากโดนลูกค้าโวยเยอะพอสมควร และนำ E220d กลับมาขายอีกครั้งแต่เป็นตัว E220d Sport ซึ่งถ้ามองในแง่ความคุ้มค่ามันก็คุ้มอยู่แหละ แต่ออพชั่นนี่ไม่สมราคาเอาซะเลยนะ
ปัจจุบัน W213 ตัว Facelift ได้เปิดตัวในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าค่อนข้างต่างจากตัว Pre-Facelift อยู่มาก ไฟหน้าถูกเปลี่ยนใหม่ไปในทางเดียวกับลูกพี่ลูกน้องของมันอย่าง CLS ไฟท้ายก็เปลี่ยนดีไซน์ใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิม แต่โดยรวมผมว่ามันสวยขึ้นนะในความเห็นส่วนตัว และคิดว่าน่าจะเปิดตัวในไทยช่วงปีหน้า
สำหรับใครที่รอสอยมือสองรุ่นนี้อยู่รออีกซักอึดใจเดียวนะครับ รอตัว Facelift เปิดตัวแล้วตัว Pre ราคาจะร่วงมาอีก คุณจะได้รถที่ราคาถูกลงมาอีกหลายแสนเลย และเช่นเดิม แนะนำให้หา E220d นะครับ ยิ่งหาตัว AMG Dynamic ได้ยิ่งดี คุณจะได้รถที่ออพชั่นมาเต็มและบำรุงรักษาง่ายในเวลาเดียวกัน
สามารถติดตามข่าวสาร, ความรู้, และรีวิวรถได้จากเพจ FB Yodster Home Garage นะครับ