วันนี้เขตที่ผมอยู่ อากาศเริ่มหนาววันแรก นึกถึงชีวิตตอนบวชเป็นพระในสมัยก่อน หนาวมากๆ ผมป่วยด้วยในวันนั้น เพราะแพ้อากาศหนาว ชีวิตพระก็ลำบาก ในตอนป่วยรักษาก็ไม่สะดวกเหมือนฆราวาส ตั้งแต่ใครจะพาไปหาหมอ ใครจะดูแล ยิ่งถ้าป่วยมากๆยิ่งลำบาก ตอนนี้เจ้าอาวาสใกล้บ้านผมป่วยมาก เป็นโรคหัวใจ ใช้เงินรักษาไป 4 ถึง 5 แสน เงินไม่พอ จึงต้องอาศัยญาติ ที่ไปมีสามีเป็นฝรั่ง เอาเงินมาช่วย ไม่งั้นก็ตาย แต่เดิม ผมก็ต่อต้านพระรับเงิน มองในแง่ร้าย แต่เห็นตอนป่วยแล้ว ในตอนนี้ก็เลยเปลี่ยนใจ วางความคิดแบบกลางๆ บางทีเงินก็จำเป็นสำหรับพระ พูดถึงการดำรงจิตตอนเป็นพระ ก็เป็นประสบการณ์อีกแบบ คือตอนเป็นพระ ผมพยายามนั่งสมาธิ พยายามแยกตัวอยู่คนเดียว ตอนนั้นเราเป็นพระหนุ่มแข็งแรง ร่างกายและจิตใจก็สดใส ในขณะนั่งสมาธิมาพอสมควร พบว่าเรายังไม่ได้อะไรเลย ที่รู้แน่ๆในตอนนั้น จิตใจเป็นเหมือนปกติ ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย นี่แหละเป็นสาเหตุที่ต้องสึก เหมือนดาราดังคนหนึ่ง ที่ทิ้งคู่หมั่นไปบวช อาจจะได้ฟังอาจารย์เล่า คิดว่าไปบวชแล้ว น่าจะพบอะไรพิศดารหรือแปลกใหม่ ทิ้งคู่หมั้นไป และประกาศว่าจะบวชไม่สึก แต่พอฝึกไปแล้วยังไม่ได้อะไร จึงต้องสึก อันนี้จึงทำให้เสียหน้า พูดไปแล้วทำไม่ได้ เทียบกันในตอนที่ผมเป็นฆราวาส หลังจากจิตได้สมาธิแล้ว อยากจะได้ชีวิตของพระ เพื่อจะให้เป็นเครื่องอาศัยของจิต เพราะสภาวะจิตเรียกร้องตลอด แต่ยังบวชไม่สะดวก อันนี้ถ้าเทียบสภาวะในตอนที่เป็นพระ จิตไม่เป็นแบบนี้ ตอนนั้นลองเปรียบเทียบอย่างไร จิตก็เหมือนตอน ก่อนเราบวช ไม่เห็นมีอะไรเลย ตอนนั้นคิดอยู่ตลอด พระจึงดูดวงให้และบอกให้สึกเถอะครับ โดยบอกว่าดวงผมต้องสึก เคยได้ยินพระบางองค์ ตะเวณหาอาจารย์สอนไปหลายจังหวัด หวังจะได้อะไรคืบหน้าในวิชานี้ ผลสุดท้ายก็ไม่คืบหน้าอะไร ที่นี้ถ้าคนหนุ่ม คิดว่าจะทำได้ โดยทุ่มเทชีวิตไปเลย สละทุกอย่าง ก็ต้องระวังอาจจะผิดหวัง ถ้าจะให้ดี ฝึกสมาธิในตอนเป็นฆราวาสให้ได้ก่อน ที่จะสละอะไรๆน่าจะดีกว่า จะได้ไม่พลิกล็อกอีก หรือเสียหน้าอีก ส่วนท่านใดมีประสบการณ์ในชีวิตพระอย่างไร เล่าให้ฟังบ้างก็ดี หรือพบปัญหาข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร ในตอนบวชเป็นพระเล่าให้ฟัง เเลกเปลี่ยนความรู้กันครับ
ประสบการณ์จิต ตอน ชีวิตพระ