ศึก "เติมเงิน" มือถือ คอลัมน์ Market-Think โดย สรกล อดุลยานนท์

กระทู้ข่าว
ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1477901024

ความขัดแย้งระหว่าง ผู้ผลิตสินค้า กับ ช่องทางการจัดจำหน่าย นั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา
          โดยเฉพาะเมื่อ ใหญ่ ต่อ ใหญ่ มาเจอกัน
          ทางร้านค้าก็อยากได้ มาร์จิ้น เพิ่มมากขึ้น
          ส่วนเจ้าของสินค้าก็อยากจ่ายต่ำ ๆ เท่าเดิม
          เป็นปัญหาคลาสสิกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
          และในอนาคตก็คงยังมีอยู่
          ล่าสุด กรณี เซเว่นอีเลฟเว่น กับ เอเอไอส เรื่องบัตรเติมเงินและบริการเติมเงินของ วัน-ทู-คอล ก็เช่นกัน
          ในอดีต ทาง 7-11 เคยคิดมาร์จิ้นแค่ 5%
          ในขณะที่ค่ายอื่นอย่างดีแทค-ทรูมูฟ เอชเจอเข้าไป 7-8%
          ตัวเลขที่แตกต่างกันเป็นเรื่อง อำนาจต่อรอง ครับ
          วัน-ทู-คอล มีฐานลูกค้าแบบเติมเงินมากกว่าทรูมูฟ เอช และดีแทค ประมาณเท่าตัวแบบเทียบกันค่ายต่อค่าย
          วัน-ทู-คอล มี 33 ล้านราย
          ดีแทค ประมาณ 20 ล้าน
          และ ทรูมูฟ เอช 17 ล้าน
          เมื่อฐานลูกค้าเยอะกว่าก็จ่าย มาร์จิ้น น้อยกว่า
          แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องการต่อรองในอดีต
          มาวันนี้เมื่อ 7-11 เสนอขยับ มาร์จิ้น เพิ่มขึ้นอีก 2% จาก 5%
          หรือเพิ่มขึ้น 40% จากเดิม
          แบบนี้ก็เป็นเรื่องสิครับ
          เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องการต่อรองทางธุรกิจตามปกติทั่วไป
          7-11ก็อยากได้รายได้เพิ่ม
          รายได้เพิ่มนั้นนอกจากได้มาจากการเพิ่มยอดขายในร้านแล้ว
          หนทางหนึ่งก็คือขึ้นมาร์จิ้น หรือ เอ็นทรานซ์ฟี จากเจ้าของสินค้า
          ทาง 7-11 อาจอธิบายเหตุผลว่าขอแค่ขยับ มาร์จิ้น ขึ้นมาเท่ากับรายอื่น
          เพราะที่ผ่านมาห่างกันมากไป
          5% กับ 7% ห่างกันตั้ง 2% หรือ 40%
          สินค้าอื่น ๆ ในร้านเจ้าใหญ่ที่ขายดีก็ไม่เคยเสียมาร์จิ้นต่ำกว่าคู่แข่งที่ขายได้น้อย ๆ มากขนาดนี้
          นี่คือ มุมของ 7-11
          ถ้าเป็นการต่อรองตามปกติธรรมดา อาจจะจบการเจรจาที่ 6%
          7-11 ก็ได้เงินเพิ่มขึ้น และมีเหตุผลที่อธิบายกับเจ้าอื่นได้เพราะฐานลูกค้าต่างกันมาก
          แต่เกมนี้แปลกครับ เพราะเจรจาหาข้อยุติไม่ได้
          อย่าลืมว่า 7-11 กับทรูมูฟ เอช มีเจ้าของคนเดียวกัน
          คือ ตระกูลเจียรวนนท์
          และตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า คุณศุภชัย เจียรวนนท์ คือ คนที่เข้ามารับไม้ต่อจากคุณธนินท์
          บารมีของเขาในวันนี้ไม่ได้อยู่แค่ ทรู เพียงที่เดิม
          สังเกตไหมครับว่าช่วงหลัง ๆ ร้าน 7-11 จะเต็มไปด้วยสินค้าของ ทรูมูฟ เอช
          เด่นชัดมาก
          เช่นเดียวกับอาหารในร้านส่วนใหญ่ก็มาจาก ซีพี
          เรื่องแบบนี้ปกติธรรมดา และเข้าใจได้ครับ
          ถามว่าเกมนี้ ทรูมูฟ เอช เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
          ตอบแบบมั่นใจได้เลย
          ไม่ทราบ ครับ 555
          รู้อย่างเดียวว่าไม่ว่าหมากจะขยับไปทางไหน
          เจียรวนนท์ และ ทรูมูฟ เอช ก็ได้
          กรณีแรก ถ้าต่อรองเพิ่ม มาร์จิ้น จาก เอไอเอส สำเร็จ
          7-11 ก็มีรายได้เพิ่ม
          ส่วน เอไอเอส ซึ่งเป็นคู่แข่งก็แบกต้นทุนเพิ่ม
          กรณีที่สอง ถ้าต่อรองไม่สำเร็จ ล้มโต๊ะเจรจา
          7-11 รายได้อาจจะลดลงนิดหน่อย
          เพราะยอดขายของเขาปีละประมาณ 400,000 ล้านบาท
          หายไป 1,000-1,200 ล้านบาท
          ขนหน้าแข้งแค่พลิ้วไหวเท่านั้นเอง
          แต่ ทรูมูฟ เอช ได้เต็ม ๆ
          เพราะเมื่อคู่แข่งขาดช่องทางการเติมเงินที่มีประสิทธิภาพไป
          เขาก็ได้เปรียบทันที
          สามารถโฆษณาทับได้เต็มที่ว่าทรูมูฟ เอช เติมเงินสะดวกกว่า
          เกมนี้ถ้าใช้ภาษาหมากรุก
          เขาเรียกว่า ทรูมูฟ เอช รุกฆาตครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่