เด็กชายใต้สะพาน
“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรจ๊ะ...”
คำถามที่อย่างน้อยหนึ่งครั้งเด็กๆ จะเคยถูกถามจากผู้เป็นบุพการี คำถามเรียบง่ายที่แฝงไปด้วยความรักความเอ็นดูและความพันผูกลึกซึ้งระหว่างผู้เป็นบิดามารดาและลูกน้อย
หากเพียงแต่ว่าสำหรับคนบางคนแล้ว มันกลับเป็นคำถามที่ไม่เคยเกิดและไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้แม้เพียงแค่คิดก็ตามที
ค่ำคืนนี้ที่ปกติท้องน้ำจะสะท้อนเพียงความดำมืดยามราตรีและแสงไฟจากบ้านเรือนเพียงไม่กี่หลัง
ภายในเงามืดที่เกิดจากการบดบังแสงสีส้มจากหลอดไฟแสงจันทร์ของตัวสะพานข้ามคลองแห่งนี้ เด็กชายคนหนึ่งนอนขดตัวเพื่อป้องกันความเหน็บหนาวจากอากาศตามฤดูกาล
ผิวกายดำไหม้ ผมเหนียวเกาะกันเป็นก้อน ร่างกายผมแห้ง เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดวิ่นซอมซ่อจนไม่อาจบอกได้ว่าแต่เดิมนั้นมันเป็นสีอะไร
เด็กชายบุญทิ้ง
ตั้งแต่จำความได้เด็กชายก็รับรู้ว่านั่นคือชื่อของตน และตั้งแต่จำความได้เด็กชายก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยคนแปลกหน้าร่วมกับเด็กอื่นๆ จำนวนมากมาย ในสถานที่ซึ่งใครต่อใครต่างก็เรียกกันว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
และ
บุญทิ้ง... ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นอย่างตั้งใจเสมือนต้องการจะบอกกับเด็กชายหรือกับใครๆ ว่าเขามาอยู่ยังสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
สถานที่ซึ่งทำให้เด็กชายรอดชีวิตมาได้ในวัยแบเบาะ เขาได้กินอาหารวันละสามมื้อและได้นอนบนที่นอนอุ่นๆ เช่นเดียวกับที่เด็กทั่วไปพึงมีพึงได้
ถึงแม้เด็กชายจะเติบโตมาท่ามกลางเสียงหัวเราะและความสนุกสนานที่รายล้อมอยู่รอบกาย แต่ภายในใจลึกๆ ของเด็กชายแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ยิ่งนานวันเด็กชายกลับยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่อาจยิ้มอย่างร่าเริง ไม่อาจมีความสุขได้อย่างแท้จริงกับชีวิตที่เป็นอยู่
ในส่วนลึกนั้นยังคงแฝงไปด้วยความเหงาความว้าเหว่ที่เด็กชายไม่อาจเข้าใจ
หลายครั้งที่เด็กชายดูโทรทัศน์ภายในห้องรวม บ่อยครั้งที่เขาเห็นภาพครอบครัวอบอุ่นฉายอยู่ในจอแก้ว
ครอบครัวอันสมบูรณ์ที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ และลูก
ภาพพ่อแม่นั่งกอดลูกสาวตัวเล็กๆ ที่ทุกคนในนั้นต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรคะ” แม่ถามลูกสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งตัวกลมอยู่ในอ้อมกอดอุ่นด้วยความเอ็นดู
“หนูอยากเป็นหมอค่ะ จะได้รักษาคุณพ่อคุณแม่เวลาไม่สบายไงคะ” เด็กน้อยตอบอย่างฉะฉาน พ่อแม่ต่างพากันยิ้มให้กับเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วนั้น
ทุกครั้งที่ได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ เด็กชายได้แต่นั่งนิ่งราวรูปปั้นหิน หากแต่หัวใจกลับเต้นรัว จิตใจพองโตไปด้วยความรู้สึกอันผสมปนเป
เด็กชายอยากให้มีคนถามแบบนี้กับเขาบ้าง เขาเองก็อยากบอกเล่าความฝันของตนเองให้กับพ่อและแม่ของเขาฟังบ้าง
บ่อยครั้งในยามค่ำคืนที่เด็กชายนอนหลับ ในความฝันเด็กชายมีครอบครัวที่อบอุ่น มีรอยยิ้ม ความเอาใจใส่และความปรารถนาดีจากผู้ที่เป็นพ่อและแม่ในมโนภาพ
แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ว่างเปล่าและปราศจากสิ่งใด นอกจากรอยน้ำตาที่ยังคงหลงเหลือจากความฝันอันแสนสุข และความเหงาที่ยังคงเกาะกินหัวใจ
คืนแล้วคืนเล่าในภาพฝันนั้น เด็กชายออกเดินทางจนได้พบกับผู้เป็นพ่อและแม่ และต่อจากนั้นชีวิตของเขาจะมีแต่ความสุขตลอดไปเหมือนกับละครที่ฉายในโทรทัศน์ทุกคืน
วันเวลาผ่านไป เด็กชายเติบใหญ่ขึ้นพร้อมๆ กับเสียงเรียกร้องภายในจิตใจที่ยังคงตามรบเร้าทั้งยามหลับและยามตื่น
มันไม่เคยจางหายหรือลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ทุกวัน ทุกวัน ที่มันยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เด็กชายยังคงโหยหาความรักที่เขาเองไม่เคยได้รับ ความอบอุ่นที่เขาไม่เข้าใจ
เมื่อขีดสุดของความอดทนต่อสิ่งภายในใจมาถึง เด็กชายตัดสินใจหนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งเป็นที่พำนักของเขามาตั้งแต่แบเบาะด้วยหัวใจพองโต
แววตาบ่งบอกถึงความตั้งใจอันแรงกล้า รอยยิ้มเผยให้เห็นความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เขาทำได้แน่นอน ต่อจากนี้เขาจะมีชีวิตแสนสุขที่ได้ฝันไว้มานานแสนนาน
แต่ทว่าสำหรับเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยได้เผชิญกับโลกภายนอกนั้น ความฝันก็ยังคงเป็นได้เพียงความฝันอยู่วันยังค่ำ ในชีวิตจริงหาได้มีเรื่องดีๆ แบบในละครทางจอตู้ที่เด็กชายได้ดูทุกค่ำคืนไม่
เด็กชายได้พบว่าภายนอกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไร้แม้กระทั่งคนปกป้องพูดคุยนั้นเป็นอย่างไร โลกอันกว้างใหญ่และเมืองอันสับสนวุ่นวายไม่มีที่เหลือพอให้แก่เด็กชาย
รอยยิ้มที่มีเมื่อแรกเดินทางเริ่มจางหายไปตามระยะทางที่ก้าวเดินและกาลเวลาที่ล่วงผ่าน ความหิว ความอดอยาก นั้นช่างโหดร้ายกับสิ่งมีชีวิต
ในโลกที่ทุกคนต่างมองไปข้างหน้า ไม่มีใครสนใจหรือแม้แต่จะชำเลืองมองเด็กจรจัดเนื้อตัวมอมแมมปราศจากความน่าเอ็นดูอย่างเด็กชาย
ดังนั้น เศษอาหารในถังขยะ น้ำเหลือๆ จากก้นแก้วที่ถูกทิ้ง จึงกลายเป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับให้เด็กชายใช้ประทังชีวิตไปวันต่อวันเท่านั้น
ใต้สะพานลอยแห่งแล้วแห่งเล่าที่เด็กชายเดินผ่านถูกใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อนเพื่อสานต่อความฝันแสนสวยจากคืนก่อนๆ ที่ผ่านมา และหลีกหนีจากความเป็นจริงที่โหดร้ายในช่วงเวลาที่ยังคงลืมตาอยู่บนโลกของความเป็นจริง
ร่างกายที่แต่เดิมผ่ายผอมอยู่แล้ว บัดนี้กลับยิ่งซูบลงกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ผิวดำคล้ำ แก้มตอบ ตาลึกโหล
แต่ถึงกระนั้น แววตาของเด็กชายกลับยังฉายแววมุ่งมั่นและเชื่อถือในอะไรบางอย่าง เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นในตัวของเด็กชายที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ตัดสินใจออกเดินทาง
สักวันเขาจะพบกับพ่อและแม่ และต่อจากนั้นครอบครัวจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เพียงความคิดนี้เท่านั้นที่ยังคงหล่อเลี้ยงจิตใจของเด็กชายให้ร่างกายผอมแห้งยังคงยืนหยัดต่อไปได้
..............................................
เมื่อวันสิ้นปีมาถึง วันที่ใครๆ ต่างก็ดูหน้าชื่นตาบาน ช่วงเทศกาลที่ความสนุกสนานและบรรยากาศแห่งความสุขโอบคลุมอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
สถานที่ต่างๆ ทั้งถนนหนทางและตึกรามบ้านช่องต่างก็ถูกประดับประดาด้วยสีสันและแสงไฟสวยงาม เด็กชายซึ่งกำลังคุ้ยหาเศษอาหารในถึงขยะเพื่อประทังชีวิตเช่นเดียวกับทุกวัน
“แค่กๆๆ”
อาการไอที่เด็กชายเป็นมาตลอดระยะหลังที่หนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หากแต่ในครั้งนี้เด็กชายรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของร่างกายที่รุนแรงกว่าเดิม
เสียงไอหนักๆ ติดต่อกันจนเด็กชายเจ็บหน้าอกและลำคออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายผอมแห้งที่ไม่ค่อยมีแรงอยู่แล้ว กลับไร้เรี่ยวแรงยิ่งขึ้น
สายตาพร่ามัว สมองหนักงุนงง สิ่งรอบข้างเหมือนจะหมุนคว้างไร้ทิศทาง ร่างกายหนาวๆ ร้อนๆ
เด็กชายยังคงเดินอย่างไร้จุดหมายด้วยร่างกายอันผ่ายผอมและสั่นเทา มือทั้งสองกอดตัวเองเพื่อประทังความหนาวเย็นจากสภาพอากาศ สายตาพร่ามัวจับจ้องบรรยากาศและแสงสีที่เด่นชัดสวยงามขึ้นเมื่อแสงแห่งทิวาเริ่มหมดลง
เด็กชายมองเข้าไปยังบ้านหลายหลังที่เดินผ่านซึ่งล้วนถูกประดับประดาด้วยสายรุ้งและไฟสีสวยงามสว่างไสวไปทั้งบ้าน
ผู้คนภายในนั้นต่างมีหน้าตายิ้มแย้ม ทุกคนต่างมอบความรักความปรารถนาดีและความอบอุ่นให้แก่กันแตกต่างจากสภาพอากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง
นั่นเป็นบรรยากาศแห่งความสุข นั่นเป็นบรรยากาศแห่งความสมหวัง และนั่นเองก็เป็นบรรยากาศที่เด็กชายเฝ้าใฝ่หามาตลอด
เมื่อเวลาซึ่งบ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของปีเก่ามาถึง พลุสีสันสวยงามถูกจุดขึ้นฟ้าพร้อมๆ กับเสียงเพลงก้องกังวานที่บ่งบอกว่านับจากวินาทีนี้ไปคือจุดเริ่มต้นของปีใหม่
เสียงขับขานพร้อมเพรียงกันท่ามกลางรอยยิ้มเบิกบานของผู้คนเกือบทั้งประเทศ โทรทัศน์ทุกสถานีถ่ายทอดสดงานเลี้ยงวันปีใหม่ที่สุดแสนอลังการและสวยงามนี้
และในค่ำคืนนี้ เด็กชายวิ่งโผเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นของพ่อและแม่ในบ้านหลังใหญ่สีขาวสว่างไสว เสื้อผ้าสะอาดพอดีตัวบ่งบอกถึงความปราณีตในการตัดเย็บถูกสวมใส่อยู่บนร่างกายขาวสะอาดของเด็กชายแทนชุดมอซอตัวเก่า
เสียงหัวเราะร่าเริงของครอบครัวอันสมบูรณ์ภายในบ้านแสดงถึงความสุขและอบอุ่นเหลือล้น แม่โอบกอดเด็กชายอย่างรักใคร่ ในขณะที่พ่อยืนลูบหัวด้วยความอารี
“บุญทิ้ง โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรจ๊ะ” คำถามเรียบง่ายที่เด็กชายอยากฟังมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ที่เงามืดใต้สะพานข้ามคลองขนาดใหญ่ ผืนน้ำสะท้อนแสงสีของบรรยากาศรื่นรมย์แทนความดำมืดดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา
เด็กชายนอนขดกอดตัวเองภายใต้เงาอันมืดมิดของตัวสะพานเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บจากอากาศตามฤดูกาล เนื้อตัวสั่นเทาเพราะพิษไข้ หากแต่ใบหน้านั้นกลับแสดงความสุขอย่างเหลือล้น
“โตขึ้นผมอยากเป็น...ครับ”
เสียงละเมอเล็ดลอดออกจากปากซีดอย่างแผ่วเบา น้ำตาแห่งความปีติไหลซึมออกจากสองตาที่ยังคงปิดสนิท
บัดนี้ความเหน็บหนาวภายนอกไม่อาจส่งผลใดๆ ต่อร่างกายเล็กซูบผอมของเด็กชายได้อีกต่อไป
และต่อจากนี้ เด็กชายจะมีความสุขตลอดไป
เด็กชายใต้สะพาน
“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรจ๊ะ...”
คำถามที่อย่างน้อยหนึ่งครั้งเด็กๆ จะเคยถูกถามจากผู้เป็นบุพการี คำถามเรียบง่ายที่แฝงไปด้วยความรักความเอ็นดูและความพันผูกลึกซึ้งระหว่างผู้เป็นบิดามารดาและลูกน้อย
หากเพียงแต่ว่าสำหรับคนบางคนแล้ว มันกลับเป็นคำถามที่ไม่เคยเกิดและไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้แม้เพียงแค่คิดก็ตามที
ค่ำคืนนี้ที่ปกติท้องน้ำจะสะท้อนเพียงความดำมืดยามราตรีและแสงไฟจากบ้านเรือนเพียงไม่กี่หลัง
ภายในเงามืดที่เกิดจากการบดบังแสงสีส้มจากหลอดไฟแสงจันทร์ของตัวสะพานข้ามคลองแห่งนี้ เด็กชายคนหนึ่งนอนขดตัวเพื่อป้องกันความเหน็บหนาวจากอากาศตามฤดูกาล
ผิวกายดำไหม้ ผมเหนียวเกาะกันเป็นก้อน ร่างกายผมแห้ง เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดวิ่นซอมซ่อจนไม่อาจบอกได้ว่าแต่เดิมนั้นมันเป็นสีอะไร
เด็กชายบุญทิ้ง
ตั้งแต่จำความได้เด็กชายก็รับรู้ว่านั่นคือชื่อของตน และตั้งแต่จำความได้เด็กชายก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยคนแปลกหน้าร่วมกับเด็กอื่นๆ จำนวนมากมาย ในสถานที่ซึ่งใครต่อใครต่างก็เรียกกันว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
และ
บุญทิ้ง... ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นอย่างตั้งใจเสมือนต้องการจะบอกกับเด็กชายหรือกับใครๆ ว่าเขามาอยู่ยังสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
สถานที่ซึ่งทำให้เด็กชายรอดชีวิตมาได้ในวัยแบเบาะ เขาได้กินอาหารวันละสามมื้อและได้นอนบนที่นอนอุ่นๆ เช่นเดียวกับที่เด็กทั่วไปพึงมีพึงได้
ถึงแม้เด็กชายจะเติบโตมาท่ามกลางเสียงหัวเราะและความสนุกสนานที่รายล้อมอยู่รอบกาย แต่ภายในใจลึกๆ ของเด็กชายแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ยิ่งนานวันเด็กชายกลับยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่อาจยิ้มอย่างร่าเริง ไม่อาจมีความสุขได้อย่างแท้จริงกับชีวิตที่เป็นอยู่
ในส่วนลึกนั้นยังคงแฝงไปด้วยความเหงาความว้าเหว่ที่เด็กชายไม่อาจเข้าใจ
หลายครั้งที่เด็กชายดูโทรทัศน์ภายในห้องรวม บ่อยครั้งที่เขาเห็นภาพครอบครัวอบอุ่นฉายอยู่ในจอแก้ว
ครอบครัวอันสมบูรณ์ที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ และลูก
ภาพพ่อแม่นั่งกอดลูกสาวตัวเล็กๆ ที่ทุกคนในนั้นต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรคะ” แม่ถามลูกสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งตัวกลมอยู่ในอ้อมกอดอุ่นด้วยความเอ็นดู
“หนูอยากเป็นหมอค่ะ จะได้รักษาคุณพ่อคุณแม่เวลาไม่สบายไงคะ” เด็กน้อยตอบอย่างฉะฉาน พ่อแม่ต่างพากันยิ้มให้กับเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วนั้น
ทุกครั้งที่ได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ เด็กชายได้แต่นั่งนิ่งราวรูปปั้นหิน หากแต่หัวใจกลับเต้นรัว จิตใจพองโตไปด้วยความรู้สึกอันผสมปนเป
เด็กชายอยากให้มีคนถามแบบนี้กับเขาบ้าง เขาเองก็อยากบอกเล่าความฝันของตนเองให้กับพ่อและแม่ของเขาฟังบ้าง
บ่อยครั้งในยามค่ำคืนที่เด็กชายนอนหลับ ในความฝันเด็กชายมีครอบครัวที่อบอุ่น มีรอยยิ้ม ความเอาใจใส่และความปรารถนาดีจากผู้ที่เป็นพ่อและแม่ในมโนภาพ
แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ว่างเปล่าและปราศจากสิ่งใด นอกจากรอยน้ำตาที่ยังคงหลงเหลือจากความฝันอันแสนสุข และความเหงาที่ยังคงเกาะกินหัวใจ
คืนแล้วคืนเล่าในภาพฝันนั้น เด็กชายออกเดินทางจนได้พบกับผู้เป็นพ่อและแม่ และต่อจากนั้นชีวิตของเขาจะมีแต่ความสุขตลอดไปเหมือนกับละครที่ฉายในโทรทัศน์ทุกคืน
วันเวลาผ่านไป เด็กชายเติบใหญ่ขึ้นพร้อมๆ กับเสียงเรียกร้องภายในจิตใจที่ยังคงตามรบเร้าทั้งยามหลับและยามตื่น
มันไม่เคยจางหายหรือลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ทุกวัน ทุกวัน ที่มันยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เด็กชายยังคงโหยหาความรักที่เขาเองไม่เคยได้รับ ความอบอุ่นที่เขาไม่เข้าใจ
เมื่อขีดสุดของความอดทนต่อสิ่งภายในใจมาถึง เด็กชายตัดสินใจหนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งเป็นที่พำนักของเขามาตั้งแต่แบเบาะด้วยหัวใจพองโต
แววตาบ่งบอกถึงความตั้งใจอันแรงกล้า รอยยิ้มเผยให้เห็นความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เขาทำได้แน่นอน ต่อจากนี้เขาจะมีชีวิตแสนสุขที่ได้ฝันไว้มานานแสนนาน
แต่ทว่าสำหรับเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยได้เผชิญกับโลกภายนอกนั้น ความฝันก็ยังคงเป็นได้เพียงความฝันอยู่วันยังค่ำ ในชีวิตจริงหาได้มีเรื่องดีๆ แบบในละครทางจอตู้ที่เด็กชายได้ดูทุกค่ำคืนไม่
เด็กชายได้พบว่าภายนอกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไร้แม้กระทั่งคนปกป้องพูดคุยนั้นเป็นอย่างไร โลกอันกว้างใหญ่และเมืองอันสับสนวุ่นวายไม่มีที่เหลือพอให้แก่เด็กชาย
รอยยิ้มที่มีเมื่อแรกเดินทางเริ่มจางหายไปตามระยะทางที่ก้าวเดินและกาลเวลาที่ล่วงผ่าน ความหิว ความอดอยาก นั้นช่างโหดร้ายกับสิ่งมีชีวิต
ในโลกที่ทุกคนต่างมองไปข้างหน้า ไม่มีใครสนใจหรือแม้แต่จะชำเลืองมองเด็กจรจัดเนื้อตัวมอมแมมปราศจากความน่าเอ็นดูอย่างเด็กชาย
ดังนั้น เศษอาหารในถังขยะ น้ำเหลือๆ จากก้นแก้วที่ถูกทิ้ง จึงกลายเป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับให้เด็กชายใช้ประทังชีวิตไปวันต่อวันเท่านั้น
ใต้สะพานลอยแห่งแล้วแห่งเล่าที่เด็กชายเดินผ่านถูกใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อนเพื่อสานต่อความฝันแสนสวยจากคืนก่อนๆ ที่ผ่านมา และหลีกหนีจากความเป็นจริงที่โหดร้ายในช่วงเวลาที่ยังคงลืมตาอยู่บนโลกของความเป็นจริง
ร่างกายที่แต่เดิมผ่ายผอมอยู่แล้ว บัดนี้กลับยิ่งซูบลงกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ผิวดำคล้ำ แก้มตอบ ตาลึกโหล
แต่ถึงกระนั้น แววตาของเด็กชายกลับยังฉายแววมุ่งมั่นและเชื่อถือในอะไรบางอย่าง เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นในตัวของเด็กชายที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ตัดสินใจออกเดินทาง
สักวันเขาจะพบกับพ่อและแม่ และต่อจากนั้นครอบครัวจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เพียงความคิดนี้เท่านั้นที่ยังคงหล่อเลี้ยงจิตใจของเด็กชายให้ร่างกายผอมแห้งยังคงยืนหยัดต่อไปได้
..............................................
เมื่อวันสิ้นปีมาถึง วันที่ใครๆ ต่างก็ดูหน้าชื่นตาบาน ช่วงเทศกาลที่ความสนุกสนานและบรรยากาศแห่งความสุขโอบคลุมอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
สถานที่ต่างๆ ทั้งถนนหนทางและตึกรามบ้านช่องต่างก็ถูกประดับประดาด้วยสีสันและแสงไฟสวยงาม เด็กชายซึ่งกำลังคุ้ยหาเศษอาหารในถึงขยะเพื่อประทังชีวิตเช่นเดียวกับทุกวัน
“แค่กๆๆ”
อาการไอที่เด็กชายเป็นมาตลอดระยะหลังที่หนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หากแต่ในครั้งนี้เด็กชายรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของร่างกายที่รุนแรงกว่าเดิม
เสียงไอหนักๆ ติดต่อกันจนเด็กชายเจ็บหน้าอกและลำคออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายผอมแห้งที่ไม่ค่อยมีแรงอยู่แล้ว กลับไร้เรี่ยวแรงยิ่งขึ้น
สายตาพร่ามัว สมองหนักงุนงง สิ่งรอบข้างเหมือนจะหมุนคว้างไร้ทิศทาง ร่างกายหนาวๆ ร้อนๆ
เด็กชายยังคงเดินอย่างไร้จุดหมายด้วยร่างกายอันผ่ายผอมและสั่นเทา มือทั้งสองกอดตัวเองเพื่อประทังความหนาวเย็นจากสภาพอากาศ สายตาพร่ามัวจับจ้องบรรยากาศและแสงสีที่เด่นชัดสวยงามขึ้นเมื่อแสงแห่งทิวาเริ่มหมดลง
เด็กชายมองเข้าไปยังบ้านหลายหลังที่เดินผ่านซึ่งล้วนถูกประดับประดาด้วยสายรุ้งและไฟสีสวยงามสว่างไสวไปทั้งบ้าน
ผู้คนภายในนั้นต่างมีหน้าตายิ้มแย้ม ทุกคนต่างมอบความรักความปรารถนาดีและความอบอุ่นให้แก่กันแตกต่างจากสภาพอากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง
นั่นเป็นบรรยากาศแห่งความสุข นั่นเป็นบรรยากาศแห่งความสมหวัง และนั่นเองก็เป็นบรรยากาศที่เด็กชายเฝ้าใฝ่หามาตลอด
เมื่อเวลาซึ่งบ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของปีเก่ามาถึง พลุสีสันสวยงามถูกจุดขึ้นฟ้าพร้อมๆ กับเสียงเพลงก้องกังวานที่บ่งบอกว่านับจากวินาทีนี้ไปคือจุดเริ่มต้นของปีใหม่
เสียงขับขานพร้อมเพรียงกันท่ามกลางรอยยิ้มเบิกบานของผู้คนเกือบทั้งประเทศ โทรทัศน์ทุกสถานีถ่ายทอดสดงานเลี้ยงวันปีใหม่ที่สุดแสนอลังการและสวยงามนี้
และในค่ำคืนนี้ เด็กชายวิ่งโผเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นของพ่อและแม่ในบ้านหลังใหญ่สีขาวสว่างไสว เสื้อผ้าสะอาดพอดีตัวบ่งบอกถึงความปราณีตในการตัดเย็บถูกสวมใส่อยู่บนร่างกายขาวสะอาดของเด็กชายแทนชุดมอซอตัวเก่า
เสียงหัวเราะร่าเริงของครอบครัวอันสมบูรณ์ภายในบ้านแสดงถึงความสุขและอบอุ่นเหลือล้น แม่โอบกอดเด็กชายอย่างรักใคร่ ในขณะที่พ่อยืนลูบหัวด้วยความอารี
“บุญทิ้ง โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรจ๊ะ” คำถามเรียบง่ายที่เด็กชายอยากฟังมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ที่เงามืดใต้สะพานข้ามคลองขนาดใหญ่ ผืนน้ำสะท้อนแสงสีของบรรยากาศรื่นรมย์แทนความดำมืดดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา
เด็กชายนอนขดกอดตัวเองภายใต้เงาอันมืดมิดของตัวสะพานเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บจากอากาศตามฤดูกาล เนื้อตัวสั่นเทาเพราะพิษไข้ หากแต่ใบหน้านั้นกลับแสดงความสุขอย่างเหลือล้น
“โตขึ้นผมอยากเป็น...ครับ”
เสียงละเมอเล็ดลอดออกจากปากซีดอย่างแผ่วเบา น้ำตาแห่งความปีติไหลซึมออกจากสองตาที่ยังคงปิดสนิท
บัดนี้ความเหน็บหนาวภายนอกไม่อาจส่งผลใดๆ ต่อร่างกายเล็กซูบผอมของเด็กชายได้อีกต่อไป
และต่อจากนี้ เด็กชายจะมีความสุขตลอดไป