>>>สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกๆ คน กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเรา ถ้าผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยนะคะ
**ต้องบอกก่อนนะคะ ว่าเรื่องนี้อาจจะไม่น่ากลัว หรือตื่นเต้นมากเท่ากับเรื่องที่เคยอ่านมา เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแบบไม่มีการแต่งเติมใดใดทั้งสิ้นค่ะ
มาเริ่มหลอนไปพร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ
ในช่วงปี 2557 เรา และเพื่อนๆ อีก 3 คน จะต้องได้ไปฝึกงาน เนื่องจากหลักสูตรของสาขา(กุ้ง หอย ปู ปลา ส่วนน้ำเต้า เสือ ไม่มีนะคะ><)ที่เราเรียนกำหนดว่า ปี 3 จะต้องผ่านการฝึกงาน 2 ที่ รวมเป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งนั่นก็แน่นอนค่ะ พวกเราตื่นเต้นมากกก! เพราะอาจารย์เปิดโอกาสให้พวกเราได้เลือกสถานที่ฝึกงานเอง และ 1 ในจังหวัดที่เราต้องการจะไปนั่นก็คือ "เชียงใหม่" ซึ่งเป็นชื่อจังหวัดที่ใครๆ ได้ยินก็ต้องอยากไปแน่นอนเลยใช่ไหมคะ ส่วนอีกที่หนึ่งที่เราเลือกไว้ ก็คือจังหวัดเพชรบุรีค่ะ...
และแล้วก็มาถึงช่วงที่พวกเราทั้ง 4 คน จะต้องไปฝึกงาน ซึ่งที่แรกที่พวกเราเลือกไปคือ จ. เพชรบุรี >>> ตอนนั้นพวกเราทั้ง 4 คนถึงเพชรบุรีช่วงเช้า (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามสถานที่ฝึกงานนะคะ แต่ขอแทนชื่อว่าฟาร์มค่ะ) เมื่อไปถึงสิ่งแรกที่พวกเราทั้ง 4 คนต้องหยุดชะงักคือ เมื่อเห็นว่าฟาร์มที่เราจะต้องมาอาศัยอยู่เป็นระยะเวลา 1 เดือน อยู่ห่างจากหมู่บ้าน ไม่มีร้านค้า ไม่มี 7-11 ไม่มีบ้านคน และไม่มีอะไรเลย แม้แต่หลอดไฟข้างทาง...แต่สิ่งที่ทำให้ชะงักขึ้นมาอีกรอบในเวลาอันใกล้เคียงกันคือ เมื่อมาถึงที่พักเรามองไปเห็นหน้าห้องพัก 2 ห้อง ติดกระจกแปดเหลี่ยมเอาไว้ ซึ่งห้องพักที่เราจะได้พักนั้น เป็นลักษณะเหมือนห้องแถวชั้นเดียวซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 6 ห้องค่ะ แต่ที่แปลกคือ ทำไมมีกระจกแปดเหลี่ยมติดไว้แค่ 2 ห้องเท่านั้น และที่สำคัญ 2 ห้องนั้นเป็นห้องว่าง ส่วนห้องอื่นมีคนอยู่หมดTT แน่นอน! เรื่องที่จะต้องช็อกเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องคือ เราและเพื่อนอีก 1 คน (ขอเรียกเพื่อนคนนี้ว่า โมนะคะ) จะต้องได้พักในห้องทีมีกระจกแปดเหลี่ยมติดอยู่ เรา 2 คนพักห้องเดียวกันค่ะ ส่วนอีกห้องหนึ่ง เขาก็ยังคงปล่อยทิ้งให้ว่าง ส่วนเพื่อนอีก 2 คน (ขอเรียกแทนว่า ทาย กับ อาย นะคะ) เขาเป็นผู้ชายที่เป็นสาวค่ะ >< พี่เขาให้ ทาย กับ อาย ไปพักห้องชั้นล่างที่เป็นที่พักของเจ้าหน้าที่
แล้วหลังจากที่เราทั้ง 4 คนเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว พี่เขาก็พาไปกินข้าวเที่ยง ส่วนเรื่องอาหารการกินพี่เขาให้พวกเรารวมเงินกันคนละ 1,000 บาท เพื่อไปให้แม่บ้าน แล้วแม่บ้านจะเป็นคนจัดหาอารมาให้พวกเราเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม 2 มื้อ คือ เที่ยง และเย็น >>> พอถึงเวลาช่วงเย็น ก็รู้สึกได้ถึงความเคว้งคว้าง วังเวง เงียบสงัด รู้สึกว่าไม่อยากให้ถึงช่วงเวลากลางคืนเลย เพราะนี่ขนาดแค่ช่วงเย็นยังรู้สึกจิตตกได้ถึงขนาดนี้ แล้วคืนนั้นของเราทั้ง 4 คน ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิดหรือกังวลไว้ พอถึงเวลาเลิกงานของทุกๆ วัน พวกเราทั้ง 4 คน จะมานั่งสุมหัวกันอยู่ที่หน้าห้อง ของทายกับอายค่ะ เพราะหน้าห้องนั้นจะมีลานต่อออกมาให้นั่งเล่นได้ประมาณ 4-5 คน และเมื่อถึงเวลาประมาณ 20.00 น. ของทุกๆ วัน เพื่อนทั้ง 3 คน ก็จะต้องพากันไปกินข้าวเย็นที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ ส่วนเรา(เราขอแทนชื่อตัวเองว่า มาย นะคะ) มายจะไม่กินข้าวเย็นในทุกๆ วัน เนื่องจากช่วงนั้นมายไดเอท>< ....แล้วเรื่องราวก็ได้เริ่มขึ้นจากตรงจุดนี้ เพราะแน่นอนว่าในช่วงเวลาที่เพื่อนๆ ทั้ง 3 คน ไปกินข้าว มายก็จะต้องนั่งรออยู่คนเดียวในช่วง 20.00 ของทุกๆ วัน (ต้องบอกก่อนว่า มายเป็นคนไม่มีเซนส์ในเรื่องพวกนี้เลยนะคะ) >>> คืนนั้น(คืนที่เท่าไหร่จำไม่ได้จริงๆ ค่ะ เพราะว่าก็อยู่หลายคืน แต่เรื่องไม่ได้เกิดขึ้นทุกๆ คืน) ระหว่างที่นั่งรอ มายเองก็นอนเล่นโน้ตบุ๊ค แล้วก็โทรศัพท์ไปพลางๆ สักพักมายได้ยินเสียงเหมือนมีคนพูดอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ชัด และไม่เหมือนภาษาที่เราใช้คุยกัน มันเป็นเสียงแบบแผ่วๆ เหมือนเสียงลมผ่านเบาๆ ซึ่งตอนแรกมายก็คิดว่ามายคงหูฝาดเพราะตอนนั้นไม่มีใครอยู่เลย...แต่ในใจมายเองก็เริ่มกังวลแล้ว มายเลยเปิดเพลงแล้วก็เร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้น เพื่อที่จะกลบเสียงอื่นๆ พอมายเร่งเสียงเพลงได้สักพักเสียงนั้นก็กลับมาอีกรอบ คือมีเสียงมาแค่แป๊บเดียวเท่านั้นนะคะ ตอนนั้นคือเริ่มกลัวแล้ว เลยเปลี่ยนจากเร่งเสียงให้ดังขึ้น มาเป็นเสียบหูฟังแทนเลยแล้วกัน
ทีนี้มายก็มั่นใจแล้วว่าต้องไม่ได้ยินอีกแน่นอน...ใช่ค่ะ! ไม่ได้ยินเสียงแน่นอน แต่...............มีลมเย็นๆ มาผ่านที่หลังหูข้างขวาแทน หลังจากนั้นบริเวณซีกขวาของมายก็รู้สึกชาและก็ขนลุกไปทั้งซีก ตั้งแต่หัวไปจนถึงเท้า คือจะบอกว่าตอนนั้นเริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ มายถอดหูฟังทิ้งแล้วรีบเดินไปหาเพื่อนทันที! ซึ่งตอนนั้นที่มายเดินไป มายทำท่าทางปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เพื่อนฟัง เพราะกลัวว่าถ้าเพื่อนรู้แล้วจะกลัว และก็กังวลไปกันหมด พอไปถึงเพื่อนก็ถามว่า...กินข้าวไหม? มายก็เลยตอบไปว่า "ไม่อะ" แล้วมายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ... หลังจากคืนนั้นประมาณ 2-3 คืน มายก็จะตามเพื่อนๆ ไปตลอด เวลาที่เพื่อนไปกินข้าวเย็น
**ขอทำงานก่อน เดี๋ยวมาต่อนะคะ...
เรื่องหลอน ฝึกงาน 1 (ประสบการณ์จริง)
**ต้องบอกก่อนนะคะ ว่าเรื่องนี้อาจจะไม่น่ากลัว หรือตื่นเต้นมากเท่ากับเรื่องที่เคยอ่านมา เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแบบไม่มีการแต่งเติมใดใดทั้งสิ้นค่ะ
มาเริ่มหลอนไปพร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ
ในช่วงปี 2557 เรา และเพื่อนๆ อีก 3 คน จะต้องได้ไปฝึกงาน เนื่องจากหลักสูตรของสาขา(กุ้ง หอย ปู ปลา ส่วนน้ำเต้า เสือ ไม่มีนะคะ><)ที่เราเรียนกำหนดว่า ปี 3 จะต้องผ่านการฝึกงาน 2 ที่ รวมเป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งนั่นก็แน่นอนค่ะ พวกเราตื่นเต้นมากกก! เพราะอาจารย์เปิดโอกาสให้พวกเราได้เลือกสถานที่ฝึกงานเอง และ 1 ในจังหวัดที่เราต้องการจะไปนั่นก็คือ "เชียงใหม่" ซึ่งเป็นชื่อจังหวัดที่ใครๆ ได้ยินก็ต้องอยากไปแน่นอนเลยใช่ไหมคะ ส่วนอีกที่หนึ่งที่เราเลือกไว้ ก็คือจังหวัดเพชรบุรีค่ะ...
และแล้วก็มาถึงช่วงที่พวกเราทั้ง 4 คน จะต้องไปฝึกงาน ซึ่งที่แรกที่พวกเราเลือกไปคือ จ. เพชรบุรี >>> ตอนนั้นพวกเราทั้ง 4 คนถึงเพชรบุรีช่วงเช้า (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามสถานที่ฝึกงานนะคะ แต่ขอแทนชื่อว่าฟาร์มค่ะ) เมื่อไปถึงสิ่งแรกที่พวกเราทั้ง 4 คนต้องหยุดชะงักคือ เมื่อเห็นว่าฟาร์มที่เราจะต้องมาอาศัยอยู่เป็นระยะเวลา 1 เดือน อยู่ห่างจากหมู่บ้าน ไม่มีร้านค้า ไม่มี 7-11 ไม่มีบ้านคน และไม่มีอะไรเลย แม้แต่หลอดไฟข้างทาง...แต่สิ่งที่ทำให้ชะงักขึ้นมาอีกรอบในเวลาอันใกล้เคียงกันคือ เมื่อมาถึงที่พักเรามองไปเห็นหน้าห้องพัก 2 ห้อง ติดกระจกแปดเหลี่ยมเอาไว้ ซึ่งห้องพักที่เราจะได้พักนั้น เป็นลักษณะเหมือนห้องแถวชั้นเดียวซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 6 ห้องค่ะ แต่ที่แปลกคือ ทำไมมีกระจกแปดเหลี่ยมติดไว้แค่ 2 ห้องเท่านั้น และที่สำคัญ 2 ห้องนั้นเป็นห้องว่าง ส่วนห้องอื่นมีคนอยู่หมดTT แน่นอน! เรื่องที่จะต้องช็อกเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องคือ เราและเพื่อนอีก 1 คน (ขอเรียกเพื่อนคนนี้ว่า โมนะคะ) จะต้องได้พักในห้องทีมีกระจกแปดเหลี่ยมติดอยู่ เรา 2 คนพักห้องเดียวกันค่ะ ส่วนอีกห้องหนึ่ง เขาก็ยังคงปล่อยทิ้งให้ว่าง ส่วนเพื่อนอีก 2 คน (ขอเรียกแทนว่า ทาย กับ อาย นะคะ) เขาเป็นผู้ชายที่เป็นสาวค่ะ >< พี่เขาให้ ทาย กับ อาย ไปพักห้องชั้นล่างที่เป็นที่พักของเจ้าหน้าที่
แล้วหลังจากที่เราทั้ง 4 คนเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว พี่เขาก็พาไปกินข้าวเที่ยง ส่วนเรื่องอาหารการกินพี่เขาให้พวกเรารวมเงินกันคนละ 1,000 บาท เพื่อไปให้แม่บ้าน แล้วแม่บ้านจะเป็นคนจัดหาอารมาให้พวกเราเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม 2 มื้อ คือ เที่ยง และเย็น >>> พอถึงเวลาช่วงเย็น ก็รู้สึกได้ถึงความเคว้งคว้าง วังเวง เงียบสงัด รู้สึกว่าไม่อยากให้ถึงช่วงเวลากลางคืนเลย เพราะนี่ขนาดแค่ช่วงเย็นยังรู้สึกจิตตกได้ถึงขนาดนี้ แล้วคืนนั้นของเราทั้ง 4 คน ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิดหรือกังวลไว้ พอถึงเวลาเลิกงานของทุกๆ วัน พวกเราทั้ง 4 คน จะมานั่งสุมหัวกันอยู่ที่หน้าห้อง ของทายกับอายค่ะ เพราะหน้าห้องนั้นจะมีลานต่อออกมาให้นั่งเล่นได้ประมาณ 4-5 คน และเมื่อถึงเวลาประมาณ 20.00 น. ของทุกๆ วัน เพื่อนทั้ง 3 คน ก็จะต้องพากันไปกินข้าวเย็นที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ ส่วนเรา(เราขอแทนชื่อตัวเองว่า มาย นะคะ) มายจะไม่กินข้าวเย็นในทุกๆ วัน เนื่องจากช่วงนั้นมายไดเอท>< ....แล้วเรื่องราวก็ได้เริ่มขึ้นจากตรงจุดนี้ เพราะแน่นอนว่าในช่วงเวลาที่เพื่อนๆ ทั้ง 3 คน ไปกินข้าว มายก็จะต้องนั่งรออยู่คนเดียวในช่วง 20.00 ของทุกๆ วัน (ต้องบอกก่อนว่า มายเป็นคนไม่มีเซนส์ในเรื่องพวกนี้เลยนะคะ) >>> คืนนั้น(คืนที่เท่าไหร่จำไม่ได้จริงๆ ค่ะ เพราะว่าก็อยู่หลายคืน แต่เรื่องไม่ได้เกิดขึ้นทุกๆ คืน) ระหว่างที่นั่งรอ มายเองก็นอนเล่นโน้ตบุ๊ค แล้วก็โทรศัพท์ไปพลางๆ สักพักมายได้ยินเสียงเหมือนมีคนพูดอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ชัด และไม่เหมือนภาษาที่เราใช้คุยกัน มันเป็นเสียงแบบแผ่วๆ เหมือนเสียงลมผ่านเบาๆ ซึ่งตอนแรกมายก็คิดว่ามายคงหูฝาดเพราะตอนนั้นไม่มีใครอยู่เลย...แต่ในใจมายเองก็เริ่มกังวลแล้ว มายเลยเปิดเพลงแล้วก็เร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้น เพื่อที่จะกลบเสียงอื่นๆ พอมายเร่งเสียงเพลงได้สักพักเสียงนั้นก็กลับมาอีกรอบ คือมีเสียงมาแค่แป๊บเดียวเท่านั้นนะคะ ตอนนั้นคือเริ่มกลัวแล้ว เลยเปลี่ยนจากเร่งเสียงให้ดังขึ้น มาเป็นเสียบหูฟังแทนเลยแล้วกัน ทีนี้มายก็มั่นใจแล้วว่าต้องไม่ได้ยินอีกแน่นอน...ใช่ค่ะ! ไม่ได้ยินเสียงแน่นอน แต่...............มีลมเย็นๆ มาผ่านที่หลังหูข้างขวาแทน หลังจากนั้นบริเวณซีกขวาของมายก็รู้สึกชาและก็ขนลุกไปทั้งซีก ตั้งแต่หัวไปจนถึงเท้า คือจะบอกว่าตอนนั้นเริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ มายถอดหูฟังทิ้งแล้วรีบเดินไปหาเพื่อนทันที! ซึ่งตอนนั้นที่มายเดินไป มายทำท่าทางปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เพื่อนฟัง เพราะกลัวว่าถ้าเพื่อนรู้แล้วจะกลัว และก็กังวลไปกันหมด พอไปถึงเพื่อนก็ถามว่า...กินข้าวไหม? มายก็เลยตอบไปว่า "ไม่อะ" แล้วมายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ... หลังจากคืนนั้นประมาณ 2-3 คืน มายก็จะตามเพื่อนๆ ไปตลอด เวลาที่เพื่อนไปกินข้าวเย็น
**ขอทำงานก่อน เดี๋ยวมาต่อนะคะ...