By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
หลังจากประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจกับหนังเรื่อง Jack Reacher เมื่อ 4 ปีก่อน ที่ในภาคแรกสร้างจากนิยายชุด Jack Reacher ในตอน One Shot จากปลายปากกาของ ลี ไชลด์ มีปีนี้ภาคใหม่ของบุรุษพเนจรอดีตสารวัตรทหาร ก็สร้างจากนิยายชุดเดิม โดยหยิบตอน Never Go Back มาสร้างเป็นภาคสอง และส่งไม้ต่อให้ผู้กำกับ เอ็ดเวิร์ด ซวิคค์ เจ้าของผลงานหนังดีอาทิ The Last Samurai
ในภาคใหม่นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสได้อ่านนิยายที่เป็นต้นฉบับก่อนที่จะเข้าไปชมภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของ แจ็ค รีชเชอร์ อดีตสารวัตรทหารผู้เคยเป็นผู้บัญชาหน่วยทหารพิเศษ 110 กำลังเดินทางกลับมาที่หน่วยเก่าในรัฐเวอร์จิเนีย เพื่อมาพบ ซูซาน เทอร์เนอร์ ทหารหญิงที่กำลังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วย 110 คนปัจจุบัน แต่เมื่อมาถึง รีชเชอร์กลับพบว่า เทอร์เนอร์โดนจับกุมข้อหาจารกรรมขายชาติ และตัวเขาเองก็กลายเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมเมื่อ 16 ปีก่อน และคดีเกี่ยวข้องกับลูกสาว (ที่เขาเองไม่เคยรู้ว่ามี) ของตนเองอีกด้วย รีชเชอร์จึงใช้สมองและความสามารถของตนเองพาเทอร์เนอร์หนี และเดินหาตามหาความจริงของเรื่องราวทั้งหมดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเพราะเหตุผลใดกันแน่ นี่คือเรื่องราวในฉบับนวนิยาย
การดัดแปลงนิยายสู่ภาพยนตร์ในภาคนี้
ต้องเท้าความถึงหนังในภาคแรกก่อนว่า ในภาคแรก Jack Reacher เป็นหนังสืบสวน แอ็คชั่น ที่ดำรงความเป็นหนังสืบสวน ตามหาความจริง มากกว่าที่จะเน้นฉากแอ็คชั่นมันส์ระห่ำ ทำให้หนังในภาคแรกเต็มไปด้วยฉากที่พูดและเน้นการสืบคดีที่ชิงไหวชิงพริบเสียมากกว่า
แต่หนังภาคล่าสุด อาจเป็นผลจากความต้องการด้านการตลาดมากขึ้น หรือมีเสียงเรียกร้องว่าภาคแรกน่าเบื่อเพราะฉากแอ็คชั่นมีน้อยเกินไปรึเปล่าก็ไม่ทราบได้ เพราะภาคนี้ได้เปลี่ยนโทนหนังจากหนังสืบสวนเข้ม ๆในภาคแรกให้เป็นหนังแอ็คชั่นไล่ล่าเต็มรูปแบบเป็นที่เรียบร้อย โดยได้ตัดประเด็นปัญหาจากในฉบับที่นิยายออกไปเกือบหมด เหลือไว้เพียงประเด็นหลักอย่างคดีของเทอร์เนอร์ คดีลูกสาวของรีชเชอร์ และคงเหล่าตัวละครสบทมเด่น ๆในฉบับนิยายไม่กี่ตัว สร้างตัวร้ายหลักที่เป็นคู่ปรับของรีชเชอร์ (ที่ในฉบับนิยายไม่มี เพราะรีชเชอร์เก่งเสียจนไม่มีใครมาสู้ได้เลย) อีกทั้งประเด็นหลักก็ยังรวบรัดตัดความและแต่งเติมให้ดูง่ายดายกว่าฉบับนิยายอีกต่างหาก
และในหนังเน้นประเด็นของซาแมนธา ลูกสาว(ปริศนา)ของรีชเชอร์มากกว่าฉบับนิยายมาก ที่บทหนังกำหนดให้ร่วมหัวจมท้ายกับรีชเชอร์ตั้งแต่แรกเริ่มไปจนจบเรื่อง (ต่างกับฉบับนิยายตัวละครลูกสาวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการและการตามความจริง ที่กว่าจะเจอกันเรื่องก็เดินไปจนใกล้จบแล้วด้วยซ้ำ)
ข้อเสียของการตัดเสริมเติมแต่ง
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จึงกลายเป็นว่า หนังได้ลดทอนทั้งความหนักแน่นและเข้มข้นของเส้นเรื่องหลักไป กลายเป็นเรื่องราวไม่สำคัญเท่ากับการไล่ล่ากันระหว่างรีชเชอร์และตัวร้ายหลัก และฉากของลูกสาวปริศนาของรีชเชอร์ที่เป็นฉากชวนหัว ชวนยิ้ม ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของรีชเชอร์และซาแมนธาที่จะชวนให้คนดูคิดถึงเรื่องสายเลือดของทั้งสองว่าเป็นสายเลือดเดียวกันหรือไม่ ?
เพราะปัญหาคือ บทภาพยนตร์ที่ต้องการเน้นฉากแอ็คชั่นมากเกินไปจนลืมคำนึงถึงตรรกะ เหตุผล จนบทหนังเกิดช่องโหว่เพียบ โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นคดีของเทอร์เนอร์ ที่ปูมาด้วยปัญหาเรื่องราวใหญ่โต สุดท้ายแก้ไขแบบง่าย ๆ คลี่คลายแบบง่าย ๆ จนรู้สึกไม่มีช่องให้คนดูได้ลุ้นอะไรเลย และเมื่อเป็นการแก้ไขแบบง่าย ๆแล้ว ทำให้จุดประสงค์ของการกระทำฝั่งตัวร้ายที่ดู (เหมือน) จะมีแผนลึกลับซับซ้อน จัดการทุกอย่างให้ดูมีปริศนาและเป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายสาเหตุที่ทำไปทุกอย่าง กลับเป็นเหตุผลที่ง่ายมากซะจนต้องอุทานในใจว่า เพื่อแค่นี้เองเหรอ?
แต่ฉากแอ็คชั่นที่ดูเป็นจุดขายของทางผู้สร้าง ก็ต้องบอกว่าทำได้ดี ส่วนตัวยอมรับว่าฉากไล่ล่าต่าง ๆทำได้สนุก ตื่นเต้น (โดยเฉพาะไคลแมกซ์) ด้วยโทนอารมณ์ที่คล้ายกับ Mission Impossible อยู่กลาย ๆ เหมือนกัน
ข้อดีของการตัดเสริมเติมแต่ง
ต้องบอกว่าก่อนว่า โดยส่วนตัวแล้วกลับชอบเวอร์ชั่นภาพยนตร์มากกว่า หากเทียบกับฉบับนิยาย เพราะในฉบับนิยายสำหรับตอนนี้รู้สึกว่าผิดหวังพอสมควรอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากการที่ผู้เขียนสร้างเรื่องราวมาเสียใหญ่โต แต่ผลสรุปของเรื่องกลับเป็นเรื่องที่ไม่สมกับสิ่งที่ปูทั้งเรื่อง (ก็คือปัญหาเดียวกับเวอร์ชั่นหนัง ที่เป็นปัญหามาตั้งแต่ฉบับนิยายแล้ว) นอกจากนั้นนิยายดำเนินเรื่องค่อนข้างช้าและยืดยาว จำนวนหน้าหนังสือส่วนใหญ่หมดไปกับเหตุการณ์หนี หนี และหนี ดังนั้นการที่บทหนังนำนิยายมารวบรัดตัดความ ทำให้เรื่องราวดูเร็วขึ้นและกระชับกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม บทหนังก็ควรจะมีความละเอียดในแง่เหตุผลมากกว่านี้ ไม่ใช่รวบรัดเสียจนเกิดช่องโหว่ และให้ความรู้สึกถึงความไม่ใส่ใจในบท
ฉากแอ็คชั่นตอนนี้ในนิยายมีน้อย น้อยเกินไป ไม่มีฉากใหญ่ ๆแค่เป็นการสู้ประชิดตัวเอาตัวรอด (ซึ่งแต่ละครั้งก็ดูไม่เป็นปัญหาของรีชเชอร์เลยแม้แต่น้อย)
ดังนั้นการที่หนังเพิ่มฉากเหล่านี้ขึ้นมาทำให้ดูเหมาะสม และสนุกขึ้น สนุกกว่านิยายที่มีแต่การหนีและคิดแผนการต่าง ๆ นอกจากนั้นการเพิ่มตัวร้ายหลักที่ถูกกำหนดให้ป็นคู่ปรับของรีชเชอร์ในภาคนี้ จุดนี้ก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะทำให้คนดูได้เห็นรีชเชอร์เพลี้ยงพล้ำบ้าง ตกเป็นรองบ้าง เพิ่มอรรถรสของหนังได้ เพราะในนิยายไม่มีตัวร้ายหลักที่ฝีมือทัดเทียมและทันเกมส์รีชเชอร์ได้เลยสักคน ทำให้คนอ่านทำได้แค่ติดตามดูบรรดาเหล่าร้ายย่อยยับจากความฉลาดและเก่งเกินคนของรีชเชอร์เพียงอย่างเดียว
การเพิ่มความสำคัญของตัวละครซาแมนธา โดยส่วนตัวจุดนี้นับว่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นความรู้สึกตั้งแต่อ่านนิยายแล้วว่า ตัวละครซาแมนธามีความสำคัญและมีบทบาทกับเรื่องน้อยเกินไปหน่อย เพราะต้องขอสารภาพว่าในฉบับนิยายในช่วงที่รีชเชอร์เกี่ยวข้องกับซาแมนธานั้นเป็นช่วงที่ชอบที่สุดในฉบับนิยาย เพราะเต็มไปด้วยลูกล่อลูกชน การต่อปากต่อคำ และเคมีของสองตัวละครที่มีความน่าสนใจในความคล้ายคลึงกันเรื่องความฉลาด ไหวพริบและนิสัย แต่ก็อย่างที่กล่าวไปว่าผู้เขียนก็ให้เวลาซาแมนธาสั้นเสียจนน่าเสียดาย ในหนังจึงให้เวลากับซาแมนธาอย่างเต็มที่จนเป็นหนึ่งตัวละครสำคัญของภาคนี้ไปโดยปริยาย
ซึ่งในจุดนี้ส่วนที่ชอบที่สุด คือการที่การมีซาแมนธาทำให้เราได้เห็นแง่มุมอีกแง่มุมของรีชเชอร์ที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน นั้นคือแง่มุมของความอ่อนโยนและการเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก แง่มุมเหล่านี้รีชเชอร์ไม่เคยแสดงออกมาให้เราได้เห็น หากไม่มีเด็กผู้หญิงชื่อซาแมนธา .
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB Jack Reacher Movie
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์ได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
รีวิว Jack Reacher: Never Go Back: ข้ามาเพื่อระห่ำ
By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
หลังจากประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจกับหนังเรื่อง Jack Reacher เมื่อ 4 ปีก่อน ที่ในภาคแรกสร้างจากนิยายชุด Jack Reacher ในตอน One Shot จากปลายปากกาของ ลี ไชลด์ มีปีนี้ภาคใหม่ของบุรุษพเนจรอดีตสารวัตรทหาร ก็สร้างจากนิยายชุดเดิม โดยหยิบตอน Never Go Back มาสร้างเป็นภาคสอง และส่งไม้ต่อให้ผู้กำกับ เอ็ดเวิร์ด ซวิคค์ เจ้าของผลงานหนังดีอาทิ The Last Samurai
ในภาคใหม่นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสได้อ่านนิยายที่เป็นต้นฉบับก่อนที่จะเข้าไปชมภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของ แจ็ค รีชเชอร์ อดีตสารวัตรทหารผู้เคยเป็นผู้บัญชาหน่วยทหารพิเศษ 110 กำลังเดินทางกลับมาที่หน่วยเก่าในรัฐเวอร์จิเนีย เพื่อมาพบ ซูซาน เทอร์เนอร์ ทหารหญิงที่กำลังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วย 110 คนปัจจุบัน แต่เมื่อมาถึง รีชเชอร์กลับพบว่า เทอร์เนอร์โดนจับกุมข้อหาจารกรรมขายชาติ และตัวเขาเองก็กลายเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมเมื่อ 16 ปีก่อน และคดีเกี่ยวข้องกับลูกสาว (ที่เขาเองไม่เคยรู้ว่ามี) ของตนเองอีกด้วย รีชเชอร์จึงใช้สมองและความสามารถของตนเองพาเทอร์เนอร์หนี และเดินหาตามหาความจริงของเรื่องราวทั้งหมดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเพราะเหตุผลใดกันแน่ นี่คือเรื่องราวในฉบับนวนิยาย
การดัดแปลงนิยายสู่ภาพยนตร์ในภาคนี้
ต้องเท้าความถึงหนังในภาคแรกก่อนว่า ในภาคแรก Jack Reacher เป็นหนังสืบสวน แอ็คชั่น ที่ดำรงความเป็นหนังสืบสวน ตามหาความจริง มากกว่าที่จะเน้นฉากแอ็คชั่นมันส์ระห่ำ ทำให้หนังในภาคแรกเต็มไปด้วยฉากที่พูดและเน้นการสืบคดีที่ชิงไหวชิงพริบเสียมากกว่า
แต่หนังภาคล่าสุด อาจเป็นผลจากความต้องการด้านการตลาดมากขึ้น หรือมีเสียงเรียกร้องว่าภาคแรกน่าเบื่อเพราะฉากแอ็คชั่นมีน้อยเกินไปรึเปล่าก็ไม่ทราบได้ เพราะภาคนี้ได้เปลี่ยนโทนหนังจากหนังสืบสวนเข้ม ๆในภาคแรกให้เป็นหนังแอ็คชั่นไล่ล่าเต็มรูปแบบเป็นที่เรียบร้อย โดยได้ตัดประเด็นปัญหาจากในฉบับที่นิยายออกไปเกือบหมด เหลือไว้เพียงประเด็นหลักอย่างคดีของเทอร์เนอร์ คดีลูกสาวของรีชเชอร์ และคงเหล่าตัวละครสบทมเด่น ๆในฉบับนิยายไม่กี่ตัว สร้างตัวร้ายหลักที่เป็นคู่ปรับของรีชเชอร์ (ที่ในฉบับนิยายไม่มี เพราะรีชเชอร์เก่งเสียจนไม่มีใครมาสู้ได้เลย) อีกทั้งประเด็นหลักก็ยังรวบรัดตัดความและแต่งเติมให้ดูง่ายดายกว่าฉบับนิยายอีกต่างหาก
และในหนังเน้นประเด็นของซาแมนธา ลูกสาว(ปริศนา)ของรีชเชอร์มากกว่าฉบับนิยายมาก ที่บทหนังกำหนดให้ร่วมหัวจมท้ายกับรีชเชอร์ตั้งแต่แรกเริ่มไปจนจบเรื่อง (ต่างกับฉบับนิยายตัวละครลูกสาวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการและการตามความจริง ที่กว่าจะเจอกันเรื่องก็เดินไปจนใกล้จบแล้วด้วยซ้ำ)
ข้อเสียของการตัดเสริมเติมแต่ง
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จึงกลายเป็นว่า หนังได้ลดทอนทั้งความหนักแน่นและเข้มข้นของเส้นเรื่องหลักไป กลายเป็นเรื่องราวไม่สำคัญเท่ากับการไล่ล่ากันระหว่างรีชเชอร์และตัวร้ายหลัก และฉากของลูกสาวปริศนาของรีชเชอร์ที่เป็นฉากชวนหัว ชวนยิ้ม ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของรีชเชอร์และซาแมนธาที่จะชวนให้คนดูคิดถึงเรื่องสายเลือดของทั้งสองว่าเป็นสายเลือดเดียวกันหรือไม่ ?
เพราะปัญหาคือ บทภาพยนตร์ที่ต้องการเน้นฉากแอ็คชั่นมากเกินไปจนลืมคำนึงถึงตรรกะ เหตุผล จนบทหนังเกิดช่องโหว่เพียบ โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นคดีของเทอร์เนอร์ ที่ปูมาด้วยปัญหาเรื่องราวใหญ่โต สุดท้ายแก้ไขแบบง่าย ๆ คลี่คลายแบบง่าย ๆ จนรู้สึกไม่มีช่องให้คนดูได้ลุ้นอะไรเลย และเมื่อเป็นการแก้ไขแบบง่าย ๆแล้ว ทำให้จุดประสงค์ของการกระทำฝั่งตัวร้ายที่ดู (เหมือน) จะมีแผนลึกลับซับซ้อน จัดการทุกอย่างให้ดูมีปริศนาและเป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายสาเหตุที่ทำไปทุกอย่าง กลับเป็นเหตุผลที่ง่ายมากซะจนต้องอุทานในใจว่า เพื่อแค่นี้เองเหรอ?
แต่ฉากแอ็คชั่นที่ดูเป็นจุดขายของทางผู้สร้าง ก็ต้องบอกว่าทำได้ดี ส่วนตัวยอมรับว่าฉากไล่ล่าต่าง ๆทำได้สนุก ตื่นเต้น (โดยเฉพาะไคลแมกซ์) ด้วยโทนอารมณ์ที่คล้ายกับ Mission Impossible อยู่กลาย ๆ เหมือนกัน
ข้อดีของการตัดเสริมเติมแต่ง
ต้องบอกว่าก่อนว่า โดยส่วนตัวแล้วกลับชอบเวอร์ชั่นภาพยนตร์มากกว่า หากเทียบกับฉบับนิยาย เพราะในฉบับนิยายสำหรับตอนนี้รู้สึกว่าผิดหวังพอสมควรอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากการที่ผู้เขียนสร้างเรื่องราวมาเสียใหญ่โต แต่ผลสรุปของเรื่องกลับเป็นเรื่องที่ไม่สมกับสิ่งที่ปูทั้งเรื่อง (ก็คือปัญหาเดียวกับเวอร์ชั่นหนัง ที่เป็นปัญหามาตั้งแต่ฉบับนิยายแล้ว) นอกจากนั้นนิยายดำเนินเรื่องค่อนข้างช้าและยืดยาว จำนวนหน้าหนังสือส่วนใหญ่หมดไปกับเหตุการณ์หนี หนี และหนี ดังนั้นการที่บทหนังนำนิยายมารวบรัดตัดความ ทำให้เรื่องราวดูเร็วขึ้นและกระชับกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม บทหนังก็ควรจะมีความละเอียดในแง่เหตุผลมากกว่านี้ ไม่ใช่รวบรัดเสียจนเกิดช่องโหว่ และให้ความรู้สึกถึงความไม่ใส่ใจในบท
ฉากแอ็คชั่นตอนนี้ในนิยายมีน้อย น้อยเกินไป ไม่มีฉากใหญ่ ๆแค่เป็นการสู้ประชิดตัวเอาตัวรอด (ซึ่งแต่ละครั้งก็ดูไม่เป็นปัญหาของรีชเชอร์เลยแม้แต่น้อย)
ดังนั้นการที่หนังเพิ่มฉากเหล่านี้ขึ้นมาทำให้ดูเหมาะสม และสนุกขึ้น สนุกกว่านิยายที่มีแต่การหนีและคิดแผนการต่าง ๆ นอกจากนั้นการเพิ่มตัวร้ายหลักที่ถูกกำหนดให้ป็นคู่ปรับของรีชเชอร์ในภาคนี้ จุดนี้ก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะทำให้คนดูได้เห็นรีชเชอร์เพลี้ยงพล้ำบ้าง ตกเป็นรองบ้าง เพิ่มอรรถรสของหนังได้ เพราะในนิยายไม่มีตัวร้ายหลักที่ฝีมือทัดเทียมและทันเกมส์รีชเชอร์ได้เลยสักคน ทำให้คนอ่านทำได้แค่ติดตามดูบรรดาเหล่าร้ายย่อยยับจากความฉลาดและเก่งเกินคนของรีชเชอร์เพียงอย่างเดียว
การเพิ่มความสำคัญของตัวละครซาแมนธา โดยส่วนตัวจุดนี้นับว่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นความรู้สึกตั้งแต่อ่านนิยายแล้วว่า ตัวละครซาแมนธามีความสำคัญและมีบทบาทกับเรื่องน้อยเกินไปหน่อย เพราะต้องขอสารภาพว่าในฉบับนิยายในช่วงที่รีชเชอร์เกี่ยวข้องกับซาแมนธานั้นเป็นช่วงที่ชอบที่สุดในฉบับนิยาย เพราะเต็มไปด้วยลูกล่อลูกชน การต่อปากต่อคำ และเคมีของสองตัวละครที่มีความน่าสนใจในความคล้ายคลึงกันเรื่องความฉลาด ไหวพริบและนิสัย แต่ก็อย่างที่กล่าวไปว่าผู้เขียนก็ให้เวลาซาแมนธาสั้นเสียจนน่าเสียดาย ในหนังจึงให้เวลากับซาแมนธาอย่างเต็มที่จนเป็นหนึ่งตัวละครสำคัญของภาคนี้ไปโดยปริยาย
ซึ่งในจุดนี้ส่วนที่ชอบที่สุด คือการที่การมีซาแมนธาทำให้เราได้เห็นแง่มุมอีกแง่มุมของรีชเชอร์ที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน นั้นคือแง่มุมของความอ่อนโยนและการเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก แง่มุมเหล่านี้รีชเชอร์ไม่เคยแสดงออกมาให้เราได้เห็น หากไม่มีเด็กผู้หญิงชื่อซาแมนธา .
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB Jack Reacher Movie
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์ได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ