เรื่องนี้ เกิดขึ้นกับผู้เขียนเมื่อสามสิบปีมาแล้ว เป็นประสบการณ์ที่ยังไม่อาจลืมได้มาจนปัจจุบัน
มันติดอยู่ในใจเสมอว่า "เธอคือใคร และต้องการอะไร" เรื่องมีอยู่ว่า
ครอบครัวของผู้เขียนมีงานเพิ่มขึ้นและต้องการบ้านเช่าหลังใหญ่เพื่อที่จะใช้เป็นสำนักงานและพักอาศัย
ไปพร้อมกัน จนได้พบบ้านที่ถูกใจหลังหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านทหารเรือ ริมคลองสำโรง ลักษณะเป็นบ้านสองชั้น
ชั้นบนมีห้องนอนใหญ่สองห้อง เล็กหนึ่งห้อง ห้องน้ำชั้นบนหนึ่งห้อง
ชั้นล่าง เป็นพื้นโล่ง ถัดเข้าไปมีห้องน้ำเล็กหนึ่งห้อง บันไดขึ้นชั้นบน และห้องครัวต่อออกไปด้านหลัง
มีรั้วรอบยกเว้นด้านริมคลอง บ้านหลังนี้สังเกตุได้ว่า ไม่มีศาลพระภูมิ ได้คำอธิบายจากเจ้าของบ้านว่า
เขาไม่เชื่อและนิยมเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าที่เจ้าทาง เราจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
เมื่อได้เข้าไปอยู่ จึงต่อเติมด้านล่างก่ออิฐเป็นผนัง ใส่หน้าต่างและประตูกระจกใช้สำหรับเป็นสำนักงาน
มีสิ่งหนึ่งที่แปลกใจคือ ช่วงบันไดขึ้นชั้นบนซึ่งอยู่หน้าห้องน้ำด้านล่าง ตรงนั้นจะดูมืดทึบ ดวงไฟที่ส่องลงมาบริเวณบันได
ดับเสมอ แม้ว่าจะเปลี่ยนหลอดและเปลี่ยนชุดไฟ หลายครั้ง แต่เราก็ไม่ได้แปลกใจหรือติดใจอะไรเป็นพิเศษ
เราเช่าอยู่ตรงนั้นทำกิจการได้สักระยะหนึ่ง ก็มีการขุดลอกคลองสำโรง เจ้าของบ้านมาแจ้งว่า เขาต้องการเอาดินที่ขุดลอก
มาใส่เพิ่มตรงสนามหญ้าด้านที่ติดกับคลอง(หมายถึงอยากเพิ่มเนื้อที่เข้าไปในคลอง) ซึ่งเราก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
จากนั้นไม่นาน ก็เหมือนมีสิ่งแปลกๆเกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้ คนงานหลายคนที่มาจากต่างจังหวัดได้เข้ามาพักด้วยในห้องที่ว่างอยู่
ด้านล่างติดกับข้างห้องน้ำ พวกเขามีการจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องแปลกๆ เช่น ได้ยินเสียงเดินลากขา บริเวณรอบๆบ้านตอนกลางดึก
รวมถึงแม่ของผู้เขียน ที่ได้มาช่วยดูแลบ้านช่วงที่ ผู้เขียนและสามีเดินทางไปต่างจังหวัด ก็ได้ยินเสียงนั้นด้วย
ทุกคนที่ได้ยินเสียง ทำเหมือนๆ กันคือ เดินออกมาสำรวจรอบบ้านว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ แต่ไม่พบที่มาของเสียงนั้นเลย
มีญาติฝ่ายสามีมาพักด้วย พวกเขาก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน และมีเสียงที่เขาได้ยินกลางดึกเพิ่มขึ้นคือ
เสียงของผู้หญิงร้องครวญครางด้วยความทรมาน "โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย "
ดังยาวๆติดต่อกัน ห้าหกครั้ง เขาได้ยินเสียงนั้นทั้งที่ตื่นอยู่ทั้งสามีและภรรยา สักพักก็เงียบไป
เขายังคิดว่า มีใครพาผู้หญิงมาทำมิดีมิร้ายที่หลังบ้าน ซึ่งอยู่ติดกับที่มีหญ้าขึ้นสูงรกร้าง แต่เขาก็ไม่ได้ออกไปดูเพราะประตูหลังติดกุญแจอยู่
เมื่อรุ่งเช้า เขาจึงมาขอกุญแจเปิดประตูหลังเดินสำรวจร่องรอยว่ามีอะไรผิดสังเกตุที่ป่าหญ้าหลังบ้านนั้นหรือไม่ .... แต่ก็ไม่พบอะไร
ขณะที่นั่งทานข้าวพร้อมหน้ากัน ภรรยาของเขาได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่สามีของเธอก็เกรงว่าจะทำให้เด็กๆ ลูกหลานตกใจกลัวจึงห้ามไว้
และมาเล่าให้ผู้เขียนฟังในภายหลัง และบอกอีกว่า คนงานที่มาจากต่างจังหวัด พวกเขาได้ยินแบบนี้กันหลายคน และหลายคืนติดกันแล้ว
ส่วนเด็กๆลูกหลานของผู้เขียน และเด็กทำงานบ้าน นอนรวมกันที่ห้องนอนใหญ่ชั้นบนทั้งหมด 4 คน อายุตั้งแต่ 5 ปี ถึง 14 ปี
กลางดึกคืนหนึ่งพวกเขามาเคาะประตูห้องและขอเข้ามานอนในห้องรวมกัน เขาบอกว่า เขากลัวมาก นอนไม่ได้ หน้าต่างห้อง
ซึ่งเป็นกระจกกรอบเหล็ก มันเปิดปิดได้เอง ทั้งที่ไม่มีลมแรง ผู้เขียนก็ไม่เชื่อเขาและยังดุไปว่า ทีหลังอย่าดูหนังผี ดูแล้วกลัวกัน
เด็กๆต่างก็ไม่อยากที่จะลงไปห้องครัว ในเวลาค่ำคืน พวกเขาจะบอกว่า รู้สึกเหมือนกับมีใครแอบมองอยู่ระหว่างช่องประตูที่ติดกับห้องน้ำ
และบันไดทางขึ้น ผู้เขียนและสามียังดุว่า พวกเขาหวาดระแวงไปเอง ไม่มีอะไรหรอก เพื่อไม่ให้เขาตื่นกลัวเกินไป
เรื่องเสียงร้องของผู้หญิงตอนกลางดึกนั้น ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผู้เขียนเพราะมีเรื่องงานเข้ามาให้คิดและจัดการวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งกลางดึกคืนหนึ่ง ผู้เขียนตกใจตื่นขึ้นพร้อมกับได้ยินเสียงร้องครวญครางของผู้หญิงดังขึ้นในความมืด เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน
ดังติดๆกันอยู่ 5-6 ครั้ง ผู้เขียนนอนฟังคิดว่า นี่คือเสียงที่ญาติ และ คนงานต่างจังหวัดเขาได้ยิน หรือว่า เป็นเสียงของเด็กๆ ที่ห้องข้างๆปวดท้องกันแน่
เพื่อความแน่นอนใจ จึงคิดว่า ควรปลุกสามีให้ลุกขึ้นมาฟังด้วยกัน ขณะที่กำลังจะเรียกสามี เสียงนั้นก็เงียบหายไป ไม่ได้ยินอีกเลย
ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย จึงเดินไปไขประตูห้องของเด็กๆ เพื่อจะถามว่า มีใครเป็นอะไรหรือไม่ ที่เห็นคือ พวกเขาหลับสนิท
ในใจเวลานั้นก็คิดแปลกใจ และอยากรู้ที่มาของเสียงนั้นเช่นกัน รุ่งเช้า จึงบอกสามี เขาได้พาคนงานออกไปสำรวจที่ป่าหญ้ารกร้างหลังบ้าน
ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด นั่นเป็นครั้งเดียวที่ผู้เขียนได้ยินเสียงนั้น ส่วนเสียงเดินลากขา แกรกกรากในเวลากลางคืน
คนงานและผู้เขียนก็ยังได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ไฟที่อยู่ตรงซุ้มบันได ก็ยังคงไม่ติดอยู่เช่นเดิม แม้จะเปลี่ยนหลอดและอุปกรณ์อื่นๆหลายต่อหลายครั้ง
เมื่ออยู่มาจนใกล้ครบสัญญาหนึ่งปี เจ้าของบ้านบอกไม่ต้องการให้เช่าต่อ เพราะจะปรับปรุงบริเวณบ้าน จึงต้องเตรียมตัวย้ายออกและหาเช่าที่ใหม่
ช่วงก่อนที่จะย้ายออกสักหนึ่งเดือน มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้น คือ ห้องน้ำด้านล่างเต็ม เอ่อขึ้นมาไม่สามารถใช้งานได้ ต้องเรียกรถสุขามาสูบ
แต่สูบได้เพียงสามวัน ก็กลับมาเต็มเหมือนเดิมอีก เป็นอย่างนี้อยู่ สามรอบ ผู้เขียนจึงบอกทางเจ้าของบ้าน ขอทุบบ่อเกรอะดูว่า
มีอะไรและจะซ่อมให้เหมือนเดิมทางเจ้าของบ้านไม่พอใจ บอกว่า เมื่อย้ายออกแล้ว เขาจะจัดการเอง
ครอบครัวผู้เขียนจึงได้แต่ใช้ห้องน้ำชั้นบน ห้องน้ำชั้นล่างถูกปิดตายไว้โดยไม่เปิดอีกเลย
และวันที่ต้องย้ายออกมาก็มาถึง เราทยอยย้ายของออกไปเรื่อยๆ อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน จนถึงเฟอร์นิเจอร์เครื่องนอน
และห้องครัวเป็นลำดับสุดท้ายเวลานั้นเป็นช่วงใกล้ค่ำ สามี ลูกพี่ลูกน้องของสามีและพี่เขยเข้าไปขนของ
ซึ่งยังเหลือพวกของใช้ในครัว เช่น ตู้เย็น ตู้กับเข้า เตาแก๊สและเครื่องครัว โต๊ะทานข้าวและอื่นๆอีกเล็กน้อย
ระหว่างที่ลูกพี่ลูกน้องของสามีกำลังจะไขประตูห้องครัวด้านหลัง เขาก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางโหยหวนดังขึ้น
เขาเองตกใจมือไม้สั่น แทบจะไขกุญแจไม่ได้ เมื่อเสียงเงียบลง เขารวบรวมความกล้า ไปเปิดประตูรั้วด้านหลัง
เพื่อไปหาที่มาของเสียงว่า อยู่ในดงหญ้ารกร้างหลังบ้านหรือไม่ แต่ทุกอย่างก็เป็นปกติ ไม่มีอะไรผิดสังเกต
เมื่อเข้าไปเก็บของในห้องครัวระหว่างที่ขนของ มีขวดและข้าวของในครัว หล่นกลิ้ง ทั้งที่ยังไม่มีใครไปโดนและไม่มีลมแรง
พวกเขาต่างพากันกลับออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ยังเหลือของหลายอย่างรวมทั้งเตาแก๊ส และเครื่องครัวอีกหลายอย่าง
เมื่อมาถึงบ้าน ลูกพี่ลูกน้องของสามีเขาบอกว่า ของที่เหลือจะไม่กลับไปเอาอีกแล้ว เพราะบ้านหลังนั้นมีสิ่งที่น่ากลัวมากๆ
ผู้เขียนสอบถามเขาถึงสิ่งที่เขาว่าน่ากลัว เขาเงียบ บอกว่า ไม่อยากพูดถึง ผู้เขียนจึงได้ถามเขาต่อว่า ได้ยินเสียงร้องครวญครางโหยหวน
"โอ๊ยยยยยยย โอ๊ยยยยยยยยย" ใช่หรือไม่ เขาบอกว่า รู้ได้อย่างไร ผู้เขียนตอบว่า มีคนได้ยินหลายคนแล้วรวมถึงผู้เขียนด้วย
แต่ก็หาที่มาไม่เจอ เขาจึงบอกว่า ที่เขาได้ยินเสียงร้องหลายครั้งติดต่อ ทั้งที่ยังตื่น เดินๆ อยู่ไม่ได้นอน
และเป็นเวลาแค่โพล้เพล้เท่านั้น เขาไขกุญแจไม่ถูกเลยพยายามจะไม่กลัว ไปเปิดหลังบ้านดู ก็ไม่มีอะไร
บ้านหลังนั้นต้องมีสิ่งวิญญาณผู้หญิงสิงอยู่แน่นอน ส่วนสามีและพี่เขยของผู้เขียนไม่ได้ยิน
เพราะจอดรถและเก็บของอย่างอื่นยังไม่ได้เดินไปถึงครัว แต่พวกเขาเห็นของต่างๆในครัวหล่นกลิ้ง
พวกเขาทราบเรื่องจากลูกพี่ลูกน้อง จึงมีความเห็นตรงกันว่า จะไม่เข้าไปเอาของที่เหลืออีกแล้ว
เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ผู้เขียนยังจดจำเรื่องนี้ได้ดี มีความรู้สึกว่า เธอผู้นั้นอาจอยากขอความช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ทรมาน
แต่ผู้เขียนก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ เพราะบ้านหลังนั้น เป็นแค่บ้านเช่า ที่ผู้เขียนไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของเจ้าของบ้านได้
สิ่งที่ผู้เขียนทำได้คือ ทุกครั้งที่ทำบุญ จะอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ณ บ้านหลังนั้น ขอให้พ้นทุกข์ทรมานไปสู่ภพภูมิที่ดีทุกครั้ง
แม้ผู้เขียนอยากทราบว่า เจ้าของเสียงร้องครวญครางนั้น "เธอคือใคร" แต่ก็ไม่อาจค้นหาความจริงได้
จึงเป็นสิ่งที่ติดค้างในความรู้สึกของผู้เขียนไปตราบนานเท่านาน
http://www.pageqq.com/en/content/view/page/str6/0-434772.html
๐๐๐ เธอคือใคร ????? ๐๐๐
เรื่องนี้ เกิดขึ้นกับผู้เขียนเมื่อสามสิบปีมาแล้ว เป็นประสบการณ์ที่ยังไม่อาจลืมได้มาจนปัจจุบัน
มันติดอยู่ในใจเสมอว่า "เธอคือใคร และต้องการอะไร" เรื่องมีอยู่ว่า
ครอบครัวของผู้เขียนมีงานเพิ่มขึ้นและต้องการบ้านเช่าหลังใหญ่เพื่อที่จะใช้เป็นสำนักงานและพักอาศัย
ไปพร้อมกัน จนได้พบบ้านที่ถูกใจหลังหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านทหารเรือ ริมคลองสำโรง ลักษณะเป็นบ้านสองชั้น
ชั้นบนมีห้องนอนใหญ่สองห้อง เล็กหนึ่งห้อง ห้องน้ำชั้นบนหนึ่งห้อง
ชั้นล่าง เป็นพื้นโล่ง ถัดเข้าไปมีห้องน้ำเล็กหนึ่งห้อง บันไดขึ้นชั้นบน และห้องครัวต่อออกไปด้านหลัง
มีรั้วรอบยกเว้นด้านริมคลอง บ้านหลังนี้สังเกตุได้ว่า ไม่มีศาลพระภูมิ ได้คำอธิบายจากเจ้าของบ้านว่า
เขาไม่เชื่อและนิยมเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าที่เจ้าทาง เราจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
เมื่อได้เข้าไปอยู่ จึงต่อเติมด้านล่างก่ออิฐเป็นผนัง ใส่หน้าต่างและประตูกระจกใช้สำหรับเป็นสำนักงาน
มีสิ่งหนึ่งที่แปลกใจคือ ช่วงบันไดขึ้นชั้นบนซึ่งอยู่หน้าห้องน้ำด้านล่าง ตรงนั้นจะดูมืดทึบ ดวงไฟที่ส่องลงมาบริเวณบันได
ดับเสมอ แม้ว่าจะเปลี่ยนหลอดและเปลี่ยนชุดไฟ หลายครั้ง แต่เราก็ไม่ได้แปลกใจหรือติดใจอะไรเป็นพิเศษ
เราเช่าอยู่ตรงนั้นทำกิจการได้สักระยะหนึ่ง ก็มีการขุดลอกคลองสำโรง เจ้าของบ้านมาแจ้งว่า เขาต้องการเอาดินที่ขุดลอก
มาใส่เพิ่มตรงสนามหญ้าด้านที่ติดกับคลอง(หมายถึงอยากเพิ่มเนื้อที่เข้าไปในคลอง) ซึ่งเราก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
จากนั้นไม่นาน ก็เหมือนมีสิ่งแปลกๆเกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้ คนงานหลายคนที่มาจากต่างจังหวัดได้เข้ามาพักด้วยในห้องที่ว่างอยู่
ด้านล่างติดกับข้างห้องน้ำ พวกเขามีการจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องแปลกๆ เช่น ได้ยินเสียงเดินลากขา บริเวณรอบๆบ้านตอนกลางดึก
รวมถึงแม่ของผู้เขียน ที่ได้มาช่วยดูแลบ้านช่วงที่ ผู้เขียนและสามีเดินทางไปต่างจังหวัด ก็ได้ยินเสียงนั้นด้วย
ทุกคนที่ได้ยินเสียง ทำเหมือนๆ กันคือ เดินออกมาสำรวจรอบบ้านว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ แต่ไม่พบที่มาของเสียงนั้นเลย
มีญาติฝ่ายสามีมาพักด้วย พวกเขาก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน และมีเสียงที่เขาได้ยินกลางดึกเพิ่มขึ้นคือ
เสียงของผู้หญิงร้องครวญครางด้วยความทรมาน "โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย "
ดังยาวๆติดต่อกัน ห้าหกครั้ง เขาได้ยินเสียงนั้นทั้งที่ตื่นอยู่ทั้งสามีและภรรยา สักพักก็เงียบไป
เขายังคิดว่า มีใครพาผู้หญิงมาทำมิดีมิร้ายที่หลังบ้าน ซึ่งอยู่ติดกับที่มีหญ้าขึ้นสูงรกร้าง แต่เขาก็ไม่ได้ออกไปดูเพราะประตูหลังติดกุญแจอยู่
เมื่อรุ่งเช้า เขาจึงมาขอกุญแจเปิดประตูหลังเดินสำรวจร่องรอยว่ามีอะไรผิดสังเกตุที่ป่าหญ้าหลังบ้านนั้นหรือไม่ .... แต่ก็ไม่พบอะไร
ขณะที่นั่งทานข้าวพร้อมหน้ากัน ภรรยาของเขาได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่สามีของเธอก็เกรงว่าจะทำให้เด็กๆ ลูกหลานตกใจกลัวจึงห้ามไว้
และมาเล่าให้ผู้เขียนฟังในภายหลัง และบอกอีกว่า คนงานที่มาจากต่างจังหวัด พวกเขาได้ยินแบบนี้กันหลายคน และหลายคืนติดกันแล้ว
ส่วนเด็กๆลูกหลานของผู้เขียน และเด็กทำงานบ้าน นอนรวมกันที่ห้องนอนใหญ่ชั้นบนทั้งหมด 4 คน อายุตั้งแต่ 5 ปี ถึง 14 ปี
กลางดึกคืนหนึ่งพวกเขามาเคาะประตูห้องและขอเข้ามานอนในห้องรวมกัน เขาบอกว่า เขากลัวมาก นอนไม่ได้ หน้าต่างห้อง
ซึ่งเป็นกระจกกรอบเหล็ก มันเปิดปิดได้เอง ทั้งที่ไม่มีลมแรง ผู้เขียนก็ไม่เชื่อเขาและยังดุไปว่า ทีหลังอย่าดูหนังผี ดูแล้วกลัวกัน
เด็กๆต่างก็ไม่อยากที่จะลงไปห้องครัว ในเวลาค่ำคืน พวกเขาจะบอกว่า รู้สึกเหมือนกับมีใครแอบมองอยู่ระหว่างช่องประตูที่ติดกับห้องน้ำ
และบันไดทางขึ้น ผู้เขียนและสามียังดุว่า พวกเขาหวาดระแวงไปเอง ไม่มีอะไรหรอก เพื่อไม่ให้เขาตื่นกลัวเกินไป
เรื่องเสียงร้องของผู้หญิงตอนกลางดึกนั้น ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผู้เขียนเพราะมีเรื่องงานเข้ามาให้คิดและจัดการวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งกลางดึกคืนหนึ่ง ผู้เขียนตกใจตื่นขึ้นพร้อมกับได้ยินเสียงร้องครวญครางของผู้หญิงดังขึ้นในความมืด เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน
ดังติดๆกันอยู่ 5-6 ครั้ง ผู้เขียนนอนฟังคิดว่า นี่คือเสียงที่ญาติ และ คนงานต่างจังหวัดเขาได้ยิน หรือว่า เป็นเสียงของเด็กๆ ที่ห้องข้างๆปวดท้องกันแน่
เพื่อความแน่นอนใจ จึงคิดว่า ควรปลุกสามีให้ลุกขึ้นมาฟังด้วยกัน ขณะที่กำลังจะเรียกสามี เสียงนั้นก็เงียบหายไป ไม่ได้ยินอีกเลย
ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย จึงเดินไปไขประตูห้องของเด็กๆ เพื่อจะถามว่า มีใครเป็นอะไรหรือไม่ ที่เห็นคือ พวกเขาหลับสนิท
ในใจเวลานั้นก็คิดแปลกใจ และอยากรู้ที่มาของเสียงนั้นเช่นกัน รุ่งเช้า จึงบอกสามี เขาได้พาคนงานออกไปสำรวจที่ป่าหญ้ารกร้างหลังบ้าน
ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด นั่นเป็นครั้งเดียวที่ผู้เขียนได้ยินเสียงนั้น ส่วนเสียงเดินลากขา แกรกกรากในเวลากลางคืน
คนงานและผู้เขียนก็ยังได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ไฟที่อยู่ตรงซุ้มบันได ก็ยังคงไม่ติดอยู่เช่นเดิม แม้จะเปลี่ยนหลอดและอุปกรณ์อื่นๆหลายต่อหลายครั้ง
เมื่ออยู่มาจนใกล้ครบสัญญาหนึ่งปี เจ้าของบ้านบอกไม่ต้องการให้เช่าต่อ เพราะจะปรับปรุงบริเวณบ้าน จึงต้องเตรียมตัวย้ายออกและหาเช่าที่ใหม่
ช่วงก่อนที่จะย้ายออกสักหนึ่งเดือน มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้น คือ ห้องน้ำด้านล่างเต็ม เอ่อขึ้นมาไม่สามารถใช้งานได้ ต้องเรียกรถสุขามาสูบ
แต่สูบได้เพียงสามวัน ก็กลับมาเต็มเหมือนเดิมอีก เป็นอย่างนี้อยู่ สามรอบ ผู้เขียนจึงบอกทางเจ้าของบ้าน ขอทุบบ่อเกรอะดูว่า
มีอะไรและจะซ่อมให้เหมือนเดิมทางเจ้าของบ้านไม่พอใจ บอกว่า เมื่อย้ายออกแล้ว เขาจะจัดการเอง
ครอบครัวผู้เขียนจึงได้แต่ใช้ห้องน้ำชั้นบน ห้องน้ำชั้นล่างถูกปิดตายไว้โดยไม่เปิดอีกเลย
และวันที่ต้องย้ายออกมาก็มาถึง เราทยอยย้ายของออกไปเรื่อยๆ อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน จนถึงเฟอร์นิเจอร์เครื่องนอน
และห้องครัวเป็นลำดับสุดท้ายเวลานั้นเป็นช่วงใกล้ค่ำ สามี ลูกพี่ลูกน้องของสามีและพี่เขยเข้าไปขนของ
ซึ่งยังเหลือพวกของใช้ในครัว เช่น ตู้เย็น ตู้กับเข้า เตาแก๊สและเครื่องครัว โต๊ะทานข้าวและอื่นๆอีกเล็กน้อย
ระหว่างที่ลูกพี่ลูกน้องของสามีกำลังจะไขประตูห้องครัวด้านหลัง เขาก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางโหยหวนดังขึ้น
เขาเองตกใจมือไม้สั่น แทบจะไขกุญแจไม่ได้ เมื่อเสียงเงียบลง เขารวบรวมความกล้า ไปเปิดประตูรั้วด้านหลัง
เพื่อไปหาที่มาของเสียงว่า อยู่ในดงหญ้ารกร้างหลังบ้านหรือไม่ แต่ทุกอย่างก็เป็นปกติ ไม่มีอะไรผิดสังเกต
เมื่อเข้าไปเก็บของในห้องครัวระหว่างที่ขนของ มีขวดและข้าวของในครัว หล่นกลิ้ง ทั้งที่ยังไม่มีใครไปโดนและไม่มีลมแรง
พวกเขาต่างพากันกลับออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ยังเหลือของหลายอย่างรวมทั้งเตาแก๊ส และเครื่องครัวอีกหลายอย่าง
เมื่อมาถึงบ้าน ลูกพี่ลูกน้องของสามีเขาบอกว่า ของที่เหลือจะไม่กลับไปเอาอีกแล้ว เพราะบ้านหลังนั้นมีสิ่งที่น่ากลัวมากๆ
ผู้เขียนสอบถามเขาถึงสิ่งที่เขาว่าน่ากลัว เขาเงียบ บอกว่า ไม่อยากพูดถึง ผู้เขียนจึงได้ถามเขาต่อว่า ได้ยินเสียงร้องครวญครางโหยหวน
"โอ๊ยยยยยยย โอ๊ยยยยยยยยย" ใช่หรือไม่ เขาบอกว่า รู้ได้อย่างไร ผู้เขียนตอบว่า มีคนได้ยินหลายคนแล้วรวมถึงผู้เขียนด้วย
แต่ก็หาที่มาไม่เจอ เขาจึงบอกว่า ที่เขาได้ยินเสียงร้องหลายครั้งติดต่อ ทั้งที่ยังตื่น เดินๆ อยู่ไม่ได้นอน
และเป็นเวลาแค่โพล้เพล้เท่านั้น เขาไขกุญแจไม่ถูกเลยพยายามจะไม่กลัว ไปเปิดหลังบ้านดู ก็ไม่มีอะไร
บ้านหลังนั้นต้องมีสิ่งวิญญาณผู้หญิงสิงอยู่แน่นอน ส่วนสามีและพี่เขยของผู้เขียนไม่ได้ยิน
เพราะจอดรถและเก็บของอย่างอื่นยังไม่ได้เดินไปถึงครัว แต่พวกเขาเห็นของต่างๆในครัวหล่นกลิ้ง
พวกเขาทราบเรื่องจากลูกพี่ลูกน้อง จึงมีความเห็นตรงกันว่า จะไม่เข้าไปเอาของที่เหลืออีกแล้ว
เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ผู้เขียนยังจดจำเรื่องนี้ได้ดี มีความรู้สึกว่า เธอผู้นั้นอาจอยากขอความช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ทรมาน
แต่ผู้เขียนก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ เพราะบ้านหลังนั้น เป็นแค่บ้านเช่า ที่ผู้เขียนไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของเจ้าของบ้านได้
สิ่งที่ผู้เขียนทำได้คือ ทุกครั้งที่ทำบุญ จะอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ณ บ้านหลังนั้น ขอให้พ้นทุกข์ทรมานไปสู่ภพภูมิที่ดีทุกครั้ง
แม้ผู้เขียนอยากทราบว่า เจ้าของเสียงร้องครวญครางนั้น "เธอคือใคร" แต่ก็ไม่อาจค้นหาความจริงได้
จึงเป็นสิ่งที่ติดค้างในความรู้สึกของผู้เขียนไปตราบนานเท่านาน
http://www.pageqq.com/en/content/view/page/str6/0-434772.html