ในช่วง1-2เดือนนี้เซท อยู่ในช่วงที่ผันผวนมาก ถ้าตามลักษณะของกราฟเรียกว่า ไซด์เวย์ จนนักวิเคราะห์ส่วนมากไม่กล้าบอกได้ว่าต่อไปจะเปลี่ยนเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลง แต่ถ้าพิจารณาให้ดี มีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามันต้องมีนัยยะ บางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกราฟเซท การเกิดกราฟของเซท คือการเกิด จากนิสัยการลงทุนของ นักลงทุน
ฉะนั้นผมจึงมองย้อนกราฟกลับไปที่5ปีก่อน ตอนแรกคิดว่าจะย้อนไปดูที่10ปีก่อน แต่ผมวิเคราะห์ดูแล้ว ว่า เมื่อ10ปีที่แล้ว นิสัยการลงทุนของนักลงทุนต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ทั้งการวิเคราะห์ข่าว การมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยการสื่อสาร รับ-ส่ง ข้อมูลที่เร็วขึ้น หลายอย่างที่เป็นปัจจัย ในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นได้เปลี่ยนไปอย่างมาก แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือความโลภและความกลัวของนักลงทุน
กลับมาที่กราฟอีกที จากการวิเคราะห์กราฟเซท(อาจจะไม่ละเอียด)มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน ถึง3ครั้งในช่วง5ปี เริ่มจากต้นปี ค.ศ.2012-2016 คือ ทุกๆ2ปี ในช่วงใกล้สิ้นปีของแต่ละช่วง (คือใกล้สิ้นปี2011-ต้นปี2012 / ใกล้สิ้นปี2013-ต้นปี2014 / ใกล้สิ้นปี2015-ต้นปี2016) กราฟเซทจะลงมาที่ ประมาณ1200จุดหรือใกล้เคียง และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมของปี2013 และกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมของปี2015 เซทจะดีดตัวขึ้นไปที่ประมาณ1600จุด จุดสูงสุด และจุดต่ำสุดมีความต่างกันที่ประมาณ400จุด(1600-1200=400) ถ้ากราฟยังเดินไปตามรูปแบบที่ผมได้ยกตัวอย่างมานั้น ในเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคม กราฟก็จะยังคงเป็นรูปแบบเทรนด์ขาขึ้นอาจจะอยู่ที่1500-1550จุด และกราฟจะพุ่งขึ้นไปใน เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ไปแตะที่1600จุด แล้วถ้าผ่าน1600จุดไปได้ เราจะมาวิเคราะห์กันอีกทีนะครับ
อีกปัจจัยหนึ่งซึงมีผลอย่างมากต่อกราฟเซทและตลาดหุ้นโดยรวม คือ จิตวิทยาการลงทุน ระหว่าง รายใหญ่ และ รายย่อย วิเคราะห์จากกราฟในเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม ดูเหมือนจะเป็นช่วงพักฐานของกราฟที่1480-1500จุด โดยก่อนหน้ามีการขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่1550จุดในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม แต่ก็ไม่ผ่าน
หลังจากนั้น มี2เหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่มีผลอย่างมากในอนาคตที่จะเกิดกับกราฟ ... เหตุการณ์แรก เมื่อเข้าเดือนกันยายน อยู่ๆก็มีการเทขายหุ้นจนเกิด แพนิคเซล อย่างหนัก ภายในช่วงแค่สัปดาห์เดียว กราฟร่วงจาก1550จุดลงมาที่1410 ร่วงลงถึง140จุด จากการวิเคราะห์ของผมคือ นักลงทุนรายใหญ่เทขายหุ้นเพื่อทำกำไร แต่ดันเกิดในช่วงที่กราฟกำลังไซด์เวย์ระหว่าง1480-1510จุด จึงเกิดการแพนิคเซลตามมาของรายย่อย เมื่อนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยกลับมาวิเคราะห์ตลาดดูอีกครั้ง ปรากฏว่า เศรษฐกิจก็ยังดีอยู่ อาจจะมีข่าวว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย เมื่อผ่านการประชุมเฟดไป ก็ไม่ได้มีอะไรน่าวิตกกังวล รายใหญ่ที่ได้เทขายหุ้นไปแล้ว เห็นราคาหุ้นร่วงลงมาในระยะที่คิดว่าจะทำกำไรได้อีก จึงเข้าซื้ออีกครั้ง ราคาหุ้นก็ดีดกลับมาพร้อมกับการเข้าซื้อของรายย่อยอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่2 ก็เกิดเหตุการณ์ คล้ายๆกันกับเดือนกันยายน ในเดือนตุลาคม(เดือนนี้)แต่เป็นเหตุการณ์ที่สั้นมากภายใน2-3วันเซทร่วงจาก1510จุดลงมาที่1400จุด(ระหว่างวันทำจุดต่ำสุดที่1340จุด...โอ้มายก๊อดดด เป็นไปได้ยังไงหว่า) จากการวิเคราะห์ของผม มองว่า แพนิคเซลก่อนหน้านี้ ทำให้รายใหญ่ได้กำไรมากมายในช่วงสั้นๆ จากการเทขายแล้วมาช้อนซื้อในช่วงสั้น จิตวิทยาของคนที่ได้กำไรมาง่ายๆ จะคิดหาหนทางเพื่อที่จะได้มาอีกครั้ง ประกอบกับการใช้ข่าวในทางไม่ดีมาเทขายเพื่อหวังกำไร จนรัฐบาลต้องออกมาปรามนักลงทุน(น่าจะเฉพาะรายใหญ่)ในตลาดหุ้น ไม่ให้ใช้เหตุการณ์ความโศกเศร้าของประเทศในการหา ผลกำไร ทำให้เซทดีดตัวทันทีใน2วันต่อมา กลับมาที่1475จุด
สรุป...คือ สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภายในช่วงสั้นๆแค่สองเดือน มีผลทำให้นักลงทุนรายย่อยเกิด ความกลัว(มากกก) หรือบางส่วนก็เจ็บหนักจนไม่กล้าลงทุนไปเลย ทำให้จังหวะที่เซทดีดตัว กลับมาต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิมคือ1510จุด จนถึง ณ ตอนนี้เซทเริ่มกลับมาในแบบที่ควรจะเป็น เริ่มเห็นการเข้าซื้อบ้างแล้วของนักลงทุนรายย่อย พร้อมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ(เพราะถ้าไม่เชื่อมั่นคงมีการขายหุ้นออกมาหนักอีก) ประกอบกับราคาน้ำมันที่ขึ้นมาเรื่อยๆ จากการร่วมมือกันของกลุ่มโอเปกที่จะลดการผลิตน้ำมันลง ค่าเงินบาทที่แข็งค่า และกำลังเข้าสู่การท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นของประเทศแถบเขตร้อน จะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาเพิ่มอีก ปัจจัยเหล่านี้มีผลกับราคาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งจะดึงดัชนีให้สูงขึ้นได้มาก ผมจึงวิเคราะห์กราฟเซทได้ว่า จะเป็นไปในทิศทางขาขึ้นจนถึงสิ้นปียาวไปถึงเดือนมีนาคมช่วงดัชนี1500-1650จุด อาจจะทำนิวไฮในรอบ5ปีที่ 1700จุด
ยังไงก็ขอฝากบทวิเคราะห์ สั้นๆ ใช้ภาษาเข้าใจง่ายๆตามประสาเม่ามือใหม่ไว้ด้วยนะครับ ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในห้องนี้มีข้อแนะนำ หรือ คำติชม ก็จะรับฟังและนำไปปรับใช้ในการลงทุนต่อไปครับ ขอบคุณมากครับ ที่อ่านมาจนจบ
ช่วงนี้ต้องใช้จิตวิทยา ในการลงทุนอย่างมากก
ฉะนั้นผมจึงมองย้อนกราฟกลับไปที่5ปีก่อน ตอนแรกคิดว่าจะย้อนไปดูที่10ปีก่อน แต่ผมวิเคราะห์ดูแล้ว ว่า เมื่อ10ปีที่แล้ว นิสัยการลงทุนของนักลงทุนต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ทั้งการวิเคราะห์ข่าว การมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยการสื่อสาร รับ-ส่ง ข้อมูลที่เร็วขึ้น หลายอย่างที่เป็นปัจจัย ในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นได้เปลี่ยนไปอย่างมาก แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือความโลภและความกลัวของนักลงทุน
กลับมาที่กราฟอีกที จากการวิเคราะห์กราฟเซท(อาจจะไม่ละเอียด)มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน ถึง3ครั้งในช่วง5ปี เริ่มจากต้นปี ค.ศ.2012-2016 คือ ทุกๆ2ปี ในช่วงใกล้สิ้นปีของแต่ละช่วง (คือใกล้สิ้นปี2011-ต้นปี2012 / ใกล้สิ้นปี2013-ต้นปี2014 / ใกล้สิ้นปี2015-ต้นปี2016) กราฟเซทจะลงมาที่ ประมาณ1200จุดหรือใกล้เคียง และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมของปี2013 และกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมของปี2015 เซทจะดีดตัวขึ้นไปที่ประมาณ1600จุด จุดสูงสุด และจุดต่ำสุดมีความต่างกันที่ประมาณ400จุด(1600-1200=400) ถ้ากราฟยังเดินไปตามรูปแบบที่ผมได้ยกตัวอย่างมานั้น ในเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคม กราฟก็จะยังคงเป็นรูปแบบเทรนด์ขาขึ้นอาจจะอยู่ที่1500-1550จุด และกราฟจะพุ่งขึ้นไปใน เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ไปแตะที่1600จุด แล้วถ้าผ่าน1600จุดไปได้ เราจะมาวิเคราะห์กันอีกทีนะครับ
อีกปัจจัยหนึ่งซึงมีผลอย่างมากต่อกราฟเซทและตลาดหุ้นโดยรวม คือ จิตวิทยาการลงทุน ระหว่าง รายใหญ่ และ รายย่อย วิเคราะห์จากกราฟในเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม ดูเหมือนจะเป็นช่วงพักฐานของกราฟที่1480-1500จุด โดยก่อนหน้ามีการขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่1550จุดในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม แต่ก็ไม่ผ่าน
หลังจากนั้น มี2เหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่มีผลอย่างมากในอนาคตที่จะเกิดกับกราฟ ... เหตุการณ์แรก เมื่อเข้าเดือนกันยายน อยู่ๆก็มีการเทขายหุ้นจนเกิด แพนิคเซล อย่างหนัก ภายในช่วงแค่สัปดาห์เดียว กราฟร่วงจาก1550จุดลงมาที่1410 ร่วงลงถึง140จุด จากการวิเคราะห์ของผมคือ นักลงทุนรายใหญ่เทขายหุ้นเพื่อทำกำไร แต่ดันเกิดในช่วงที่กราฟกำลังไซด์เวย์ระหว่าง1480-1510จุด จึงเกิดการแพนิคเซลตามมาของรายย่อย เมื่อนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยกลับมาวิเคราะห์ตลาดดูอีกครั้ง ปรากฏว่า เศรษฐกิจก็ยังดีอยู่ อาจจะมีข่าวว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย เมื่อผ่านการประชุมเฟดไป ก็ไม่ได้มีอะไรน่าวิตกกังวล รายใหญ่ที่ได้เทขายหุ้นไปแล้ว เห็นราคาหุ้นร่วงลงมาในระยะที่คิดว่าจะทำกำไรได้อีก จึงเข้าซื้ออีกครั้ง ราคาหุ้นก็ดีดกลับมาพร้อมกับการเข้าซื้อของรายย่อยอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่2 ก็เกิดเหตุการณ์ คล้ายๆกันกับเดือนกันยายน ในเดือนตุลาคม(เดือนนี้)แต่เป็นเหตุการณ์ที่สั้นมากภายใน2-3วันเซทร่วงจาก1510จุดลงมาที่1400จุด(ระหว่างวันทำจุดต่ำสุดที่1340จุด...โอ้มายก๊อดดด เป็นไปได้ยังไงหว่า) จากการวิเคราะห์ของผม มองว่า แพนิคเซลก่อนหน้านี้ ทำให้รายใหญ่ได้กำไรมากมายในช่วงสั้นๆ จากการเทขายแล้วมาช้อนซื้อในช่วงสั้น จิตวิทยาของคนที่ได้กำไรมาง่ายๆ จะคิดหาหนทางเพื่อที่จะได้มาอีกครั้ง ประกอบกับการใช้ข่าวในทางไม่ดีมาเทขายเพื่อหวังกำไร จนรัฐบาลต้องออกมาปรามนักลงทุน(น่าจะเฉพาะรายใหญ่)ในตลาดหุ้น ไม่ให้ใช้เหตุการณ์ความโศกเศร้าของประเทศในการหา ผลกำไร ทำให้เซทดีดตัวทันทีใน2วันต่อมา กลับมาที่1475จุด
สรุป...คือ สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภายในช่วงสั้นๆแค่สองเดือน มีผลทำให้นักลงทุนรายย่อยเกิด ความกลัว(มากกก) หรือบางส่วนก็เจ็บหนักจนไม่กล้าลงทุนไปเลย ทำให้จังหวะที่เซทดีดตัว กลับมาต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิมคือ1510จุด จนถึง ณ ตอนนี้เซทเริ่มกลับมาในแบบที่ควรจะเป็น เริ่มเห็นการเข้าซื้อบ้างแล้วของนักลงทุนรายย่อย พร้อมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ(เพราะถ้าไม่เชื่อมั่นคงมีการขายหุ้นออกมาหนักอีก) ประกอบกับราคาน้ำมันที่ขึ้นมาเรื่อยๆ จากการร่วมมือกันของกลุ่มโอเปกที่จะลดการผลิตน้ำมันลง ค่าเงินบาทที่แข็งค่า และกำลังเข้าสู่การท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นของประเทศแถบเขตร้อน จะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาเพิ่มอีก ปัจจัยเหล่านี้มีผลกับราคาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งจะดึงดัชนีให้สูงขึ้นได้มาก ผมจึงวิเคราะห์กราฟเซทได้ว่า จะเป็นไปในทิศทางขาขึ้นจนถึงสิ้นปียาวไปถึงเดือนมีนาคมช่วงดัชนี1500-1650จุด อาจจะทำนิวไฮในรอบ5ปีที่ 1700จุด
ยังไงก็ขอฝากบทวิเคราะห์ สั้นๆ ใช้ภาษาเข้าใจง่ายๆตามประสาเม่ามือใหม่ไว้ด้วยนะครับ ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในห้องนี้มีข้อแนะนำ หรือ คำติชม ก็จะรับฟังและนำไปปรับใช้ในการลงทุนต่อไปครับ ขอบคุณมากครับ ที่อ่านมาจนจบ