เรื่องเล่า..จากทางหลวง (สายเอเซีย ชะอวด-พัทลุง-หาดใหญ่)


.......เมื่อช่วงเดือนสิบที่ผ่านมา  ดิฉันกลับบ้านที่พัทลุง  ตามประเพณีปฏิบัติของลูกหลานชาวใต้  เพื่อไปทำบุญส่งตา-ยาย
ที่บ้าน  สำหรับคนใต้  ในช่วงสารทเดือน10นั้น  ก็เหมือนวันพบญาติกลายๆ   พอเจอกัน  ได้รวมญาติกัน  ก็มีเรื่องราวให้ต้องคุยกันมากมาย   และก็รวมถึงเรื่องผีสางด้วย   เพราะเรื่องส่งตา-ยาย ก็เกี่ยวกับผีสาง  เลยไม่แคล้วที่จะวกไปคุยเรื่องนั้นกัน     ส่วนตัวของดิฉันเองนั้น   ญาติๆรู้อยู่แล้วว่าดิฉันสัมผัสอะไรแบบนั้นได้  เขาเลยไม่ค่อยมาเซ้าซี้ถามเรื่องผีกับดิฉันมากนัก  

.....การเล่าในครั้งนั้น  ที่ญาติๆดิฉันสนใจ  เป็นการเล่าให้ฟังจากลูกพี่ลูกน้องของดิฉัน  คือ พี่จิน  พี่แกไม่ได้เป็นคนมีสัมผัสอะไรหรอก   ออกจะแนวๆไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้มาแต่เดิมด้วยซ้ำ  แต่หลังๆ แกก็เหมือนแบ่งรับแบ่งสู้ว่ามันมีจริงๆ
เพราะพี่จินแกเจอมากับตัว   พี่จินแกก็นั่งเล่าให้ฟังไม่ยาวมาก  แต่ละเรื่องก็สั้นๆนะ  แต่ก็ทำแกมึนตึ้บจนบัดนี้
ว่าที่แกเจอถ้าไม่ใช่ผีแล้วคืออะไร

.....พี่จิน บ้านแกอยู่ชะอวด  จ.นครศรีธรรมราช   เอาจริงๆก็ไม่ไกลจากบ้านดิฉันเท่าไหร่  เพราะแค่ข้ามคลองไป
ก็เป็นดินแดนนครแล้ว   พี่จินอายุเกือบๆ30  แกทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งนึง  ในหาดใหญ่ แกมีคู่หูคือ พี่บ่าว
ก็ไปทำงานโรงงานเดียวกัน  สำคัญคือ ทั้งคู่เนี่ย  ชอบการขับมอเตอร์ไซค์มาก พี่จินขี่เวฟ  พี่บ่าวขี่ฟีโน่


.....พี่จินกับพี่บ่าว  เช่าห้องอยู่ที่หาดใหญ่  แต่พอวันศุกร์เลิกงานเย็น ก็จะพากันขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านที่พัทลุง
เพราะหยุดเสาร์-อาทิตย์  พอเย็นวันอาทิตย์  ทั้งคู่ก็จะบึ่งมอไซค์กลับสงขลา   แล้วชอบขับไปกลับแบบนี้เย็นๆค่ำๆตลอด
พี่จินก็บอกว่า  ที่ชอบขับกลางคืน  เพราะอากาศมันไม่ร้อนดี  ส่วนเรื่องยางรั่วยางแบนตัดปัญหาไปได้เลยเพราะพี่จินแกเป็นช่างเก่า   เรื่องปะยางรถ แกถนัด

.....พอขับไปกลับตอนกลางคืนตลอด  แกกับพี่บ่าวเลยได้เจออะไรแปลกๆระหว่างการเดินทางเยอะ  ดิฉันจึงฟังแกเล่าแล้วนำมาเล่าต่อสู่กันฟังค่ะ  สถานที่คือ ทางหลวงเอเซียสายหลัก เส้น พัทลุง ลงไป หาดใหญ่ ค่ะ


..เรื่องแรก...ศาลาขาวข้างทาง

....พี่จินเล่าว่า  วันนั้นฝนพรำๆทั้งวัน  เป็นเย็นวันอาทิตย์  พี่จินกับพี่บ่าวก็ออกจากชะอวดตอนเกือบๆทุ่ม จะลงไปสงขลา เพื่อทำงานในวันจันทร์  ฝนไม่ได้ตกหนักนะ  แต่ตกเรื่อยๆ   พี่แกก็ขับแบบเรื่อยๆตามกันไป   ไม่รีบร้อน   เพราะถนนลื่น และรถใหญ่เยอะ   พอเลย4แยกนาโหนดไป สักพัก  ก็เข้าสู่ทางค่อนข้างเปลี่ยว  แล้วฝนเทหนักลงมา

.....หนักชนิดที่ว่าทั้งลมทั้งความแรงของเม็ดฝน  ทำพี่จินเกิดอาการตัวรถโบกส่ายตามแรงปะทะ  จนต้องลดความเร็วลง
พี่จินจำไม่ได้ว่า ตรงนั้นเขาเรียกว่าอะไร  แต่พอเลยโค้งไป จะเป็นทางตรง  แต่ไม่มีบ้านคนเลย  และเพราะพายุฝนที่ลงหนักจนรถเซ  พี่จินเลยชะลอรถ ให้พี่บ่าวขับมาจอดเทียบ  

....พี่จิน แกเห็นศาลาข้างทางสีขาวลางๆ ในความมืดเปลี่ยว  แกเลยชวนพี่บ่าว  เข้าไปหลบพายุฝนให้เบาลงก่อนดีกว่า
ก็เลยพากันขับเข้าไปจอด   พี่จินว่าศาลาหลังนั้น  ดูสวยงาม  ผิดแปลกศาลาข้างทางทั่วไป  ที่มักจะเป็นหลังคาสังกะสีเหลืองๆ  อันนี้ดูลักษณะเป็นศาลาหน้าจั่วทรงไทย สีขาวนวล  ( ใครไปสงขลาจากพัทลุงขาลง  คงเคยเห็น)

.....แกก็พากันจอดรถ แล้วไปนั่งหลบฝนกัน  ก็นั่งสูบบุหรี่แก้หนาวกันอยู่มืดๆนั่นแหละ  รถบนถนนก็วิ่งผ่านไปมา  ก็นั่งกันอยู่2คน ก็นั่งคุยกันเบาๆนะ  ฝนก็เทกระหน่ำหนักไม่หยุดเลยตอนนั้น  ทั้งฝนทั้งลม  ก็นั่งหนาวกันไป
พอผ่านไปสัก15นาทีได้  มัวแต่นั่งคุยกันเพลิน  อยู่ๆพี่บ่าวแกก็สะกิดบอกพี่จินเบาๆว่า

    “จินๆ นั้นใครมานั่งตอนไหนวะ”

...พี่จินแกหันหลังอยู่ ก็เลยหันไปมอง  แกว่า ก็เห็นใครไม่รู้  มานั่งเงาดำตะคุ่ม  อยู่อีกมุมนึงของศาลา  ศาลามันก็กว้างพอตัว  แกว่าแกก็ชะงักนะ เพราะตกใจ  จำได้ว่าตอนเข้ามาจอด  ไม่เห็นว่ามีใครนั่งอยู่  แล้วอยู่ๆโผล่มาจากไหน  โดยที่พวกแกไม่รู้ตัว  หรือว่าเดินมา  ก็ไม่น่าใช่  ทางมันมืดแล้วเปลี่ยวมาก ไม่มีบ้านคนเลยแถวนั้น  

...พี่จินแกเลยตะโกนทักไป...

   “ มาแต่ไหนเล่า   มานั่งด้วยกันต่ะ  สูบยาสูบแก้หนาวด้วยกันหม้าย”

....  ก็ไม่มีเสียงตอบมา   แกสองคนก็นั่งมองไม่วางตาเหมือนกัน  แกว่าเงาที่นั่งนั้น  ดูยังไง ยังไง ก็ร่างคนชายแน่ๆ
แกกับพี่บ่าวก็นั่งกระซิบกระซาบกันแหละว่า ใครวะ  มาตอนไหน   จะเข้าไปใกล้ๆก็กลัว  เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร
แกมากันสองคนก็จริง  แต่ไม่ได้มีอาวุธอะไรติดตัว  นอกจากกุญแจล็อคล้อมอไซค์  ที่พอจะใช้ฟาดได้บ้าง

.....แกว่าพอลังเลว่าจะเอาไงดี  ไอ่เงาคนที่ว่า ก็เริ่มส่งเสียงนะ แบบได้ยินกันทั้งคู่เลย  เป็นเสียงร้องไห้โหยหวนเลย
แกว่า  มันร้องประมาณนี้   ฮืออออออออ หึด  ฮืออออออออออออ เฮออออออ แข่งกับสายฝน   เสียงผู้ชายชัดๆเลย
พี่บ่าวก็ใจกล้า  ตะโกนถามเลย

    “ร้องไซรหล๊าวเติ้ล  (ร้องทำไมคุณ)  มีไหรกะบอกผ๊มสองคนได้นะ”

.....ก็ไม่ตอบนะ  ทีนี้มีรถสิบล้อคันนึง  วิ่งสาดไฟเข้ามาจอด พี่บ่าวกับพี่จินก็ละสายตาหันไปมอง  พอเข้ามาจอด คนบนรถลงมา  ก็มากันสองคน  พอพี่บ่าวหันไปมองตรงจุดที่มีคนนั่งร้องไห้เมื่อกี้ ก็ไม่มีใครแล้ว
ส่วนคนสิบล้อพอเห็นพี่บ่าวกับพี่จินนั่งสูบบุหรี่  ก็เข้ามาคุยมาขอบุหรี่สูบ

  (คือคนใต้จะมีความพิเศษอยู่อย่างนึงในหมู่ลูกผู้ชายคือ  ต่อให้ไม่รู้จักกัน  ถ้าแหลงใต้มาคุยมาทัก   มาขอบุหรี่นี้ มิตรภาพเกิดทันทีเลย  คุยกันได้หน้าตาเฉยเหมือนรู้จักกันแบบนั้นแหละ)

....พี่จินกับพี่บ่าว เลยได้สองบ่าวรถสิบล้อ เป็นเพื่อนคุย  พอคุยๆกัน พี่จินแกก็เล่าให้ฟังว่า  เมื่อกี้มีคนนั่งตรงนี้คนนึง
(แกชี้ไปตรงมุมเสานั้นแหละ) แต่พอพวกสิบล้อเข้ามา หายไปไหนไม่รู้ ไวจริงๆ เมื่อกี้ยังนั่งร้องไห้อยู่เลย

....พอพวกสิบล้อได้รู้  ก็แบบ ห๊า!!  ไปๆ ไปกันเถอะโดนแล้วนั่นเติ้ล2คน  ก็ว่าจะมานั่งพักสักแปป  หาที่อื่นนั่งดีกว่า
....พี่จินก็งงสิ  ถามไปว่า  โดนอะไร  พวกสิบล้อก็ว่า  ศาลานี้  เคยมีสิบล้อเข้ามาจอดนอนพัก  พอตอนเช้ามีคนมาเจอคนขับโดนยิงตาย   มีแต่พวกสิบล้อลือกัน ว่าเจอผีสิบล้อที่ตาย  อยู่ศาลานี้  เขาไม่เชื่อเพราะไม่เคยเจอ  เลยจะเข้ามานั่งพัก  พอมารู้จากพี่จิน ว่าพึ่งเห็นคนมานั่งร้องไห้  พวกสิบล้อนั้นก็เลยพากันขึ้นรถขับออกไปเลย  คงเพราะกลัว

.....พี่จินกับพี่บ่าว พอเห็นสิบล้อสองคนรีบออกรถ ก็กลัวไปด้วย  ว่าใช่แน่ๆ  เลยรีบใส่เสื้อกันฝนแล้วรีบพากันบิดรถออกมาเลย  ทั้งๆที่ฝันยังตกหนักนั่นแหละ แกไม่กล้ารอแล้ว  เลยพากันไปนั่งศาลาถัดไปแทน   ทุกวันนี้ หากใครเดินทางขับรถไปสงขลาจากพัทลุง  สังเกตซ้ายมือดีๆ เมื่อผ่านสี่แยกนาโหนดไปแล้ว จะเจอศาลาสีขาวที่ว่าอยู่ค่ะ  เชิญไปนั่งพักกันได้ตามสะดวกเลย   แต่กลางคืนจะเปลี่ยวและมืดมากๆ  น่ากลัวที่สุด


...เรื่องที่2   บางกล่ำ...

....บางกล่ำ  เป็น อำเภอหนึ่งของสงขลาค่ะ   ตัวอำเภออยู่ด้านใน ห่างจากถนนเอเชียค่อนข้างเยอะ   ด้านที่ถนนหลวงตัดผ่านนั้น อุดมไปด้วยความเปลี่ยวและวังเวงมากๆยามค่ำคืน  เพราะตัดผ่านไปบนเนินเขา  ที่อุดมด้วยต้นยาง และต้นไม้
ถ้ามารถยนต์ก็คงจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่  แต่ลองขับมอเตอร์ไซค์ผ่านช่วง บางกล่ำตอนมืดๆดึกๆ ดูสักที อาจจะซึ้งใจ


….พี่จินเล่าว่า   วันนั้นที่ลงไปสงขลา  แกลงไปกันดึกมากแล้ว  เพราะติดธุระ  ออกจากชะอวด ก็3ทุ่มกว่าๆ ไปกัน2คัน2คนเหมือนปกติ  หลายๆคนอาจจะสงสัย  ว่าทำไมพี่แกไม่นั่งไปด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอด   พี่จินแกเคยบอกเอาไว้ว่า  ที่ต้องไป2คัน2คน เพราะเดินทางกลางคืน  เรื่องยางรั่วมันปะได้  แต่เผื่อเกิดฉุกเฉินรถใครเสีย  ก็จะใช้อีกคันลากไป  คือแกก็รอบคอบนะ

.....พี่จินว่า ไปถึง4แยกคูหา  ที่ อำเภอรัตภูมิ ก็ปาเข้าไป5ทุ่มได้  อากาศเย็นสบายดี  แกก็จอดกินก๋วยเตี๋ยวที่4แยกคูหาก่อน เอาแรง  เพราะเป็นจุดสุดท้ายแล้วก่อนถึงหาดใหญ่ที่มีความเจริญ  หลังจากนั้นลงไป มันจะมืดและเปลี่ยวมาก
แล้วทางหลวงช่วงบางกล่ำนั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องโจรขับมอเตอร์ไซค์ประกบ แล้วถีบรถ เอาปืนจี้ชิงทรัพย์  เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง


....เคยมีรุ่นพี่ชาวพัทลุงคนหนึ่งที่ดิฉันรู้จัก เป็นผู้หญิงทะเลาะกับแฟน  แฟนไล่ออกจากห้อง เลยน้อยใจขับรถมอเตอร์ไซค์
จากหาดใหญ่  จะกลับบ้านพ่อแม่ที่พัทลุงตอนดึกแล้ว  ไม่รู้พี่แกนึกยังไง  คงเพราะน้อยใจมาก  และไม่อยากให้แฟนตามเจอง่ายๆ ก็ไปคนเดียวทั้งที่ดึกแล้ว   พอไปถึงทางเปลี่ยวช่วงบางกล่ำ  พี่แกก็โดนโจร3คน ขี่มอเตอร์ไซค์ประกบ   เอาปืนจี้ให้จอด  พอจอด พวกโจรไม่เอาเงินนะพอเห็นเป็นหญิง  แต่พาเข้าไปในป่ายางแล้วรุมข่มขืนแล้วปล่อยไป  นี่คือความน่ากลัวของเส้นทางเส้นนี้

......พี่จินกับพี่บ่าวเอง  แกก็พอรู้ข่าวคราว  เรื่องพวกโจรที่ชอบออกมาดักปล้น  แกก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน  คือเอากุญแจล็อคล้อรถอันใหญ่ๆมาห้อยแฮนด์รถไว้   แกว่าถ้าเจอการประกบ  อย่างน้อยๆ แกจะเหวี่ยงกุญแจใส่หน้าโจรให้เสียหลัก แล้วแกจะรีบบิดหนี   นี่คือวิธีที่แกพอจะทำได้โดยไม่ต้องพกอาวุธให้เป็นการผิดกฎหมาย

.....แกว่าตอนนั้นถนนค่อนข้างโล่ง  มีรถใหญ่วิ่งประปราย  และแต่ละคันก็ใช้ความเร็วสูง  แกก็ขับไปตามปกติ  จนมาถึงช่วงนึง  เป็นทางตรง และมืดสุดๆ  ทั้งต้นไม้ข้างทางและต้นไม้ในเกาะกลางถนน ก็ต้นสูงใหญ่มากๆ  มองเผินๆ เหมือนกำลังขับรถเข้าไปในอุโมงค์ต้นไม้  อากาศเย็นมาก  รถก็ไม่มีวิ่งตามหลัง  ก็มีแต่เสียงรถของ2คนกระหึ่ม  
พอขี่ๆ พี่จินว่า พี่บ่าวที่ขับนำหน้าอยู่ก็จอดรถ   พี่จินเลยจอดตาม  ก็ถามกัน

   “จอดไซรล่ะ”

   “ใครนอนอยู่บนไหล่ทางนั้น”

....พี่บ่าวแกก็ชี้กลับไป  ตรงแถวๆเกาะกลางถนนให้พี่จินมอง  ที่ขับเลยมาแล้วสัก50เมตร  พี่จินแกมองไปตามที่พี่บ่าวชี้  
ก็เห็นจริงๆ  เหมือนเป็นกองอะไรสักอย่างยับยู่ยี่ตรงโคนต้นไม้  แล้วมีเหมือนร่างคนนอนกองอยู่บนถนนตรงไหล่ทาง
พี่จินแกก็ว่า

    “รถใคร ชนต้นไม้ หม้ายวะ ไปแลถิ” (รถใครชนต้นไม้หรือเปล่า ไปดูหน่อย)

.....แกสองคนก็ตั้งใจจะพากันย้อนกลับดู  เผื่อมีคนประสบอุบัติเหตุจะได้ช่วย  พอดี มีรถสิบล้อวิ่งมา  ไฟสว่างวาบมาแต่ไกลด้วยความเร็ว  พี่จินกับพี่บ่าวจะคอยให้รถผ่านไป  ว่าจะอาศัยไฟรถสิบล้อ..มองตรงเงา ที่เป็นร่างคนที่เห็นๆนั่นด้วย
แกว่า พอสิบล้อวิ่งสาดไฟมาถึงตรงจุดที่เห็นเป็นเงาร่างคน  กับเหมือนซากรถยนต์ติดต้นไม้ ปุ๊บ
แกว่าเงานั้นก็หายไปเฉยๆเลยพอแสงไฟกระทบ

......พอรถวิ่งเลยไปแล้ว  แกพากันหันไปมองอีก  เงาที่เป็นร่างคนนอนก็ไม่มี  เงาที่เหมือนซากรถอัดก๊อปปี้ต้นไม้ ก็ไม่อยู่
หายไปแบบงงๆเลย  แกก็พากันต้องใจ ร้อง เห้ย!!!
จะว่าแกสองคนตาฝาด  ก็ไม่น่าจะตาฝาดพร้อมๆกันแบบนี้  แกก็ว่า  “เอากูแล้ว”
พี่จินพี่บ่าวขึ้นรถได้  ก็รีบบิดหนีจากตรงนั้นเลย

…..แกว่าแกเอาไปเล่าให้คนที่โรงงานฟังเรื่องนี้   ก็มีคนนึงเป็นคนบางกล่ำ  พอรู้ ก็มาบอกพี่จินว่า  ไม่รู้เหรอ  ทางตรงนั้น
รถชนบ่อยจะตาย   มันมืด มันเปลี่ยว แล้วทางตรง  คนขับชอบใส่เต็มที่   คนที่เคยเจอแล้วรอดมาเล่า ก็ว่าเหยียบมาเต็มที่ ดีๆ เหมือนมีคนวิ่งตัดหน้า จนตกใจผวา  ดีไม่เสียหลัก   แกว่ารายล่าสุดที่ตาย  ไม่รู้ขับยังไง กระบะ   ชนอัดต้นไม้ จนโครงรถบิดงอ แทบจะพันกับต้นไม้ได้รอบ   ไส้ทะลักออกจากพุงทั้งยวง  แล้วร่างคนตายก็กระเด็นออกมานอนกองอยู่อีกฝั่งถนนเลย  พี่จินว่า ไม่รู้ที่แกเจอมานอนหลอกนั้น  จะใช่รายนั้นหรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน

ต่อเม้น2ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่