Day 5 - Day 6 : Matsumoto - Kamikochi
26 มิถุนายน - 27 มิถุนายน 2016
เช้านี้เป็นเช้าวันที่ 5 ที่เราอยู่ญี่ปุ่น ตื่นขึ้นมาก็รีบจัดการตัวเองและเตรียมตัวเช็คเอาท์จากที่พัก Guest House Ant Hut (หมู่บ้านมรดกโลก ชิราคาวาโกะ) เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองถัดไปของกำหนดการที่แพลนไว้ นั่นคือ เมืองมัสสึโมโต้ (Matsumoto)
ที่มัสสึโมโต้นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เด่นๆ ก็คือเส้นทางการเดินป่าและเดินเขา ณ ที่ราบสูงคามิโคจิ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Japan Alps 🙂
ขอฝากกะทู้ที่ผ่านมาด้วยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Me Myself : ญี่ปุ่นตามใจฉัน
http://ppantip.com/topic/35352353
Me Myself : ญี่ปุ่นตามใจฉัน (ตอนที่ 2)
http://ppantip.com/topic/35387458
Me Myself : ชิราคาวาโกะในวันที่ฝนตก
http://ppantip.com/topic/35707649
เมื่อมาถึงเมือง มัสสึโมโต้ เรารีบหาที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟของเมืองเดินเพียง 5 นาที เมื่อรู้ว่าพิกัดที่พักอยู่ตรงไหน ,, แต่เมื่อยังไม่รู้ก็วนหาตาม Google Map ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะเมื่อลงมาจากรถไฟ เราเองก็งงว่า ต้องออกจากสถานีรถไฟทางฝั่งประตูด้านไหน สรุปออกผิดทาง แต่เดินไปถึงที่พักแป๊บเดียว 55 5
เมื่อถึงที่พักก็จัดการพักร่าง และออกไปหาอะไรกินแค่นั้นจริงๆ อุณหภูมิเมืองนี้นี่เย็นสบายจิงไรจิง แต่ตกกลางคืนลดลงอยู่ที่ 14 องศา นอนสั่นแหง็กๆ 😖
การเดินทางจากเมืองมัตสึโมโต้มาที่ราบสูงคามิโคจิ จะขออธิบายสั้นๆ แบบรวบรัด
1. เดินไปที่สถานีรถไฟ
2. ถ้าไม่มั่นใจในการซื้อตั๋ว ถามเจ้าหน้าที่ตรงบริเวณตู้ขายตั๋วอัตโนมัติว่าต้องทำยังไง เพราะเราเองก็ทำไม่เป็น ถามคุณลุงเจ้าหน้าที่ตรงนั้นเหมือนกัน ลุงใจดีมาก ลุงบอกกดเปลี่ยนภาษาที่หน้าจอเป็นภาษาอังกฤษแล้วทำให้ดูด้วย
3. ราคาตั๋ว 4,550 เยน เป็นราคาไปกลับรวมทั้งบัสและรถไฟ
4. ใส่เงินไป ได้ตั๋วมา จะได้ตั๋วมา 2 ใบ
- ใบแรก : จะแสดงราคา 0 เยน
- ใบที่สอง : จะแสดงราคา 4,550 เยน
5. การใส่ตั๋วที่ซื้อมาเข้าช่องตรวจตั๋วก่อนไปขึ้นรถไฟที่ชานชาลา 7 เพื่อไปคามิโคจิ
- เอาใบที่เป็นราคา 0 เยน ใส่เข้าเครื่องไป แล้วเก็บใบ 4,550 เยน ไว้ตอนขากลับนะจ๊ะ เพราะขากลับจากคามิโคจิ เค้าจะเก็บตั๋วคืน
6. ไปรอรถไฟที่ชานชาลา 7 จะมีป้ายบอกชัดเจน นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shinshimashima ใช้เวลา 30 นาที(ไม่ต้องเหิดดูนากาคับพี่น้อง มันสุดสายเป็นสถานีสุดท้าย อยากหลับก็หลับ!!) จากนั้นนั่งรถบัสต่อที่สถานีนั้นเลยไม่เกิน 55 นาที ก็ถึงแล้วครับ แปบเดียวอ่ะ ที่รอบัสจะมีเก้าอี้ให้นั่งยาวเรย ไม่ต้องเดินหารถบัส รถบัสจะมารับเป็นรอบ รอไม่นานครับ
7. ขากลับ เดินมารอรถบัสที่จุดรอบัส ตรงลานกลางแจ้ง รอที่ป้ายหมายเลข 4 นอกนั้นเหมือนตอนมาเลยครับมายังไงก็กลับแบบนั้น
เมื่อมาถึงที่ราบสูง เค้าจะมีให้ลงที่จุดลงบัสจุดแรก เห็นเค้าลงกันเยอะเลยลงด้วย อ๋อ! ลงตรงนี้จะได้วิวแบบนี้นิ๊งายยย ย ติดลุงคนนี้ด้วย 55 5 จากจุดนี้จะเดินไปทาง พ้อยต์หลักที่คนนิยมไปกันเยอะก็ Kappa Bridge นี่แหระ จากจุดนี้เดินไปอีก 3.5 กิโล จริงๆ เดินแป๊บเดียว แต่นี่วอกแวกตลอดทาง เดินเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง
#นี่ใช้เวลาเยอะเกินไปม้ายยยอิบี เดี๋ยวมาดูกันว่ามันน่าเพลิดเพลินแค่ไหน 55 5
นี่แค่ทางเดินชมธรรมชาติเริ่มแรก ทำไมเค้าทำดีจ๊างงง ง ไม้นี่ขัดซะเรียบ เอาซะหน่อย สักรูปสองรูป แต่อยู่ตรงนี้นานมาก 55 5
สะพานนี่ยาวประมาณ 150 เมตร มีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอด เอาจริงๆ น่าจะผ่านไปมากกว่าผ่านมานะ 😂
จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ พร้อมชมทางน้ำไหลไปเรื่อยๆ
เดินไปสักพัก ก็มาเจอท่อนไม้ท่อนนี้โอ๊ยแสงส่องรำไร ชอบอ่ะ ก็เลยถือโอกาศนั่งพักเหนื่อยและถ่ายรูปซะเลย
จากนั้นก็ลุกเดินกันต่อครับ
ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ เจอตายายคู่นี้ จริงๆ ก็มีหลายคู่ วิวและต้นไม้ข้างทางก็สวยอะไรเบอร์นั้น
นี่ก็อีกคู่ ส่วนใหญ่คนที่เดินทางมาที่ราบสูงคามิโคจิ นี่อายุจะเกาะกลุ่มอยู่ที่ประมาณ 50-60 แต่ก็มีบ้างที่เป็นหนุ่มสาวแต่มีจำนวนน้อยกว่า ถ้าถามถึงคนไทยที่มาเที่ยวจะเป็นรุ่นแม่ๆ หรือรุ่นลูกพาพ่อแม่มาเที่ยว
ไม่ทันไร ก็เจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
สำหรับต้นไม้บนที่ราบสูงแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นต้นสนและต้นเบิร์ช
ต้นเบิร์ชคือรูปใหญ่ ใบจะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าไม่มีป้ายบอก ก็ดูไม่รู้หรอกว่าต้นอะไร แต่ใบสวยดี
ทางเดินชมธรรมชาติจะสลับไปสลับมาระหว่างเดินแบบสะพานไม้ และบนดินแบบนี้
หากถามว่าเห็นสัตว์เลื้อยคลานมั้ย? งู? กิ้งก่า?
ขอตอบว่าไม่เห็นเลยไม่รู้ไปอยู่ไหนหมด เห็นแต่แมลง และเป็ดภูเขา
อากาศเย็นสบายมาก ประมาณ 18 องศา แต่แดดก็ออกจ้ามากเช่นกัน บอกเลยว่าร้อน
จึงถามตัวเองว่า กูใส่เสื้อหนาวมาทำไม 55 5 แต่ไม่ใส่มาก็ไม่ได้หนาวบอบ
เดินต่อสักพักก็เจอน้องเป็ดภูเขาล้าวว ว ไม่แน่ใจว่าใช่เป็ดมัดลาร์ดปล่าว
เหมือนหัวจะเขียวๆ แต่ไม่ค่อยชัดเจน น้องเป็ดนี่ไม่กลัวคนเล้ยย ย
กำลังว่ายทวนน้ำขึ้นไปนะฮะ ก๊าบๆ
อยากถ่ายรูปคู่น้องเป็ด แต่ทำได้แค่นี้อ่ะ
ระหว่างทางจะเห็นแนวกั้นทางเดินซึ่งจะเลียบกับริมน้ำไปแบบนี้ตลอด เค้าจะมีหินเป็นก้อนๆ พร้อมมีเหล็กครอบหินมากั้นตรงขอบทางเดินเพื่อกันน้ำเซาะ
ยิ่งใกล้ถึงสะพาน ยอดเขายิ่งชัดเจนขึ้น สวยจริ๊งง ง ที่นี่เค้าจะเปิดให้เข้าชมมไม่กี่เดือนนะครับ แต่เข้าชมได้ฟรี!!!!!!!!!!!
นั่นไง สะพาน Kappa Bridge แต่เราขี้เกียจเดินข้ามฝากไปร่ะ ฝั่งนู้นจะเป็นร้านค้าและโรงแรม ถ้าต้องการพักค้างคืน ก็มีโรงแรมไว้บริการแต่ค่าห้องแพงโหดสัสรัสเซีย บีไม่สู้ บียอมคะ บียอมนอนในเมืองแล้วค่อยนั่งรถมาเที่ยวคะ 55 5
จากจุดนี้นั่งชมวิวเรื่อยเปื่อย พอหายเหนื่อยก้อค่อยเดินกลับ แต่เอาจริงๆ เริ่มรู้สึกว่าอากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนบนเขาฝนตก แล้วเราจะอยู่ทำไรเอ๋า
บ๊าย บาย คามิโคจิ <3
[CR] คามิโคจิ (Kamikochi 上高地) : สถานที่ที่ควรบันทึกไว้ใน Bucket List
26 มิถุนายน - 27 มิถุนายน 2016
เช้านี้เป็นเช้าวันที่ 5 ที่เราอยู่ญี่ปุ่น ตื่นขึ้นมาก็รีบจัดการตัวเองและเตรียมตัวเช็คเอาท์จากที่พัก Guest House Ant Hut (หมู่บ้านมรดกโลก ชิราคาวาโกะ) เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองถัดไปของกำหนดการที่แพลนไว้ นั่นคือ เมืองมัสสึโมโต้ (Matsumoto)
ที่มัสสึโมโต้นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เด่นๆ ก็คือเส้นทางการเดินป่าและเดินเขา ณ ที่ราบสูงคามิโคจิ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Japan Alps 🙂
ขอฝากกะทู้ที่ผ่านมาด้วยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อมาถึงเมือง มัสสึโมโต้ เรารีบหาที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟของเมืองเดินเพียง 5 นาที เมื่อรู้ว่าพิกัดที่พักอยู่ตรงไหน ,, แต่เมื่อยังไม่รู้ก็วนหาตาม Google Map ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะเมื่อลงมาจากรถไฟ เราเองก็งงว่า ต้องออกจากสถานีรถไฟทางฝั่งประตูด้านไหน สรุปออกผิดทาง แต่เดินไปถึงที่พักแป๊บเดียว 55 5
เมื่อถึงที่พักก็จัดการพักร่าง และออกไปหาอะไรกินแค่นั้นจริงๆ อุณหภูมิเมืองนี้นี่เย็นสบายจิงไรจิง แต่ตกกลางคืนลดลงอยู่ที่ 14 องศา นอนสั่นแหง็กๆ 😖
การเดินทางจากเมืองมัตสึโมโต้มาที่ราบสูงคามิโคจิ จะขออธิบายสั้นๆ แบบรวบรัด
1. เดินไปที่สถานีรถไฟ
2. ถ้าไม่มั่นใจในการซื้อตั๋ว ถามเจ้าหน้าที่ตรงบริเวณตู้ขายตั๋วอัตโนมัติว่าต้องทำยังไง เพราะเราเองก็ทำไม่เป็น ถามคุณลุงเจ้าหน้าที่ตรงนั้นเหมือนกัน ลุงใจดีมาก ลุงบอกกดเปลี่ยนภาษาที่หน้าจอเป็นภาษาอังกฤษแล้วทำให้ดูด้วย
3. ราคาตั๋ว 4,550 เยน เป็นราคาไปกลับรวมทั้งบัสและรถไฟ
4. ใส่เงินไป ได้ตั๋วมา จะได้ตั๋วมา 2 ใบ
- ใบแรก : จะแสดงราคา 0 เยน
- ใบที่สอง : จะแสดงราคา 4,550 เยน
5. การใส่ตั๋วที่ซื้อมาเข้าช่องตรวจตั๋วก่อนไปขึ้นรถไฟที่ชานชาลา 7 เพื่อไปคามิโคจิ
- เอาใบที่เป็นราคา 0 เยน ใส่เข้าเครื่องไป แล้วเก็บใบ 4,550 เยน ไว้ตอนขากลับนะจ๊ะ เพราะขากลับจากคามิโคจิ เค้าจะเก็บตั๋วคืน
6. ไปรอรถไฟที่ชานชาลา 7 จะมีป้ายบอกชัดเจน นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shinshimashima ใช้เวลา 30 นาที(ไม่ต้องเหิดดูนากาคับพี่น้อง มันสุดสายเป็นสถานีสุดท้าย อยากหลับก็หลับ!!) จากนั้นนั่งรถบัสต่อที่สถานีนั้นเลยไม่เกิน 55 นาที ก็ถึงแล้วครับ แปบเดียวอ่ะ ที่รอบัสจะมีเก้าอี้ให้นั่งยาวเรย ไม่ต้องเดินหารถบัส รถบัสจะมารับเป็นรอบ รอไม่นานครับ
7. ขากลับ เดินมารอรถบัสที่จุดรอบัส ตรงลานกลางแจ้ง รอที่ป้ายหมายเลข 4 นอกนั้นเหมือนตอนมาเลยครับมายังไงก็กลับแบบนั้น
เมื่อมาถึงที่ราบสูง เค้าจะมีให้ลงที่จุดลงบัสจุดแรก เห็นเค้าลงกันเยอะเลยลงด้วย อ๋อ! ลงตรงนี้จะได้วิวแบบนี้นิ๊งายยย ย ติดลุงคนนี้ด้วย 55 5 จากจุดนี้จะเดินไปทาง พ้อยต์หลักที่คนนิยมไปกันเยอะก็ Kappa Bridge นี่แหระ จากจุดนี้เดินไปอีก 3.5 กิโล จริงๆ เดินแป๊บเดียว แต่นี่วอกแวกตลอดทาง เดินเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง
#นี่ใช้เวลาเยอะเกินไปม้ายยยอิบี เดี๋ยวมาดูกันว่ามันน่าเพลิดเพลินแค่ไหน 55 5
นี่แค่ทางเดินชมธรรมชาติเริ่มแรก ทำไมเค้าทำดีจ๊างงง ง ไม้นี่ขัดซะเรียบ เอาซะหน่อย สักรูปสองรูป แต่อยู่ตรงนี้นานมาก 55 5
สะพานนี่ยาวประมาณ 150 เมตร มีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอด เอาจริงๆ น่าจะผ่านไปมากกว่าผ่านมานะ 😂
จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ พร้อมชมทางน้ำไหลไปเรื่อยๆ
เดินไปสักพัก ก็มาเจอท่อนไม้ท่อนนี้โอ๊ยแสงส่องรำไร ชอบอ่ะ ก็เลยถือโอกาศนั่งพักเหนื่อยและถ่ายรูปซะเลย
จากนั้นก็ลุกเดินกันต่อครับ
ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ เจอตายายคู่นี้ จริงๆ ก็มีหลายคู่ วิวและต้นไม้ข้างทางก็สวยอะไรเบอร์นั้น
นี่ก็อีกคู่ ส่วนใหญ่คนที่เดินทางมาที่ราบสูงคามิโคจิ นี่อายุจะเกาะกลุ่มอยู่ที่ประมาณ 50-60 แต่ก็มีบ้างที่เป็นหนุ่มสาวแต่มีจำนวนน้อยกว่า ถ้าถามถึงคนไทยที่มาเที่ยวจะเป็นรุ่นแม่ๆ หรือรุ่นลูกพาพ่อแม่มาเที่ยว
ไม่ทันไร ก็เจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
สำหรับต้นไม้บนที่ราบสูงแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นต้นสนและต้นเบิร์ช
ต้นเบิร์ชคือรูปใหญ่ ใบจะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าไม่มีป้ายบอก ก็ดูไม่รู้หรอกว่าต้นอะไร แต่ใบสวยดี
ทางเดินชมธรรมชาติจะสลับไปสลับมาระหว่างเดินแบบสะพานไม้ และบนดินแบบนี้
หากถามว่าเห็นสัตว์เลื้อยคลานมั้ย? งู? กิ้งก่า?
ขอตอบว่าไม่เห็นเลยไม่รู้ไปอยู่ไหนหมด เห็นแต่แมลง และเป็ดภูเขา
อากาศเย็นสบายมาก ประมาณ 18 องศา แต่แดดก็ออกจ้ามากเช่นกัน บอกเลยว่าร้อน
จึงถามตัวเองว่า กูใส่เสื้อหนาวมาทำไม 55 5 แต่ไม่ใส่มาก็ไม่ได้หนาวบอบ
เดินต่อสักพักก็เจอน้องเป็ดภูเขาล้าวว ว ไม่แน่ใจว่าใช่เป็ดมัดลาร์ดปล่าว
เหมือนหัวจะเขียวๆ แต่ไม่ค่อยชัดเจน น้องเป็ดนี่ไม่กลัวคนเล้ยย ย
กำลังว่ายทวนน้ำขึ้นไปนะฮะ ก๊าบๆ
อยากถ่ายรูปคู่น้องเป็ด แต่ทำได้แค่นี้อ่ะ
ระหว่างทางจะเห็นแนวกั้นทางเดินซึ่งจะเลียบกับริมน้ำไปแบบนี้ตลอด เค้าจะมีหินเป็นก้อนๆ พร้อมมีเหล็กครอบหินมากั้นตรงขอบทางเดินเพื่อกันน้ำเซาะ
ยิ่งใกล้ถึงสะพาน ยอดเขายิ่งชัดเจนขึ้น สวยจริ๊งง ง ที่นี่เค้าจะเปิดให้เข้าชมมไม่กี่เดือนนะครับ แต่เข้าชมได้ฟรี!!!!!!!!!!!
นั่นไง สะพาน Kappa Bridge แต่เราขี้เกียจเดินข้ามฝากไปร่ะ ฝั่งนู้นจะเป็นร้านค้าและโรงแรม ถ้าต้องการพักค้างคืน ก็มีโรงแรมไว้บริการแต่ค่าห้องแพงโหดสัสรัสเซีย บีไม่สู้ บียอมคะ บียอมนอนในเมืองแล้วค่อยนั่งรถมาเที่ยวคะ 55 5
จากจุดนี้นั่งชมวิวเรื่อยเปื่อย พอหายเหนื่อยก้อค่อยเดินกลับ แต่เอาจริงๆ เริ่มรู้สึกว่าอากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนบนเขาฝนตก แล้วเราจะอยู่ทำไรเอ๋า
บ๊าย บาย คามิโคจิ <3
ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น