มาค่ะ เรามาเริ่มว่าด้วยเรื่องสถานที่ยอดนิยมช่วงนี้ที่หลายคนอยากจะไปเยือนซักครั้งให้เห็นว่าสมคำล่ำลือมั้ย นั่นคือ “อุทยานคามิโคจิ (上高地)” แน่นอนว่าพวกเราก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เคยพยายามจะไปดูให้เห็นกะตาได้ยินกะหูและสัมผัสบรรยากาศของจริงด้วยตัวเองให้รู้ว่าเป็นไง ความพยายามหลายครั้งล้มเหลวเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยอยู่บ่อยครั้งคงเพราะจังหวะไม่ได้ และแล้วปีนี้ฟ้าก็เริ่มจะเห็นใจพวกเราบ้างละได้ไปเยือนจริงๆ ซะทีนะพวกเรา จะพูดเรื่องอะไรก่อนดี ประวัติความเป็นมา วิธีการเดินทางหรืออะไรต๊ะอะไรอาจมีคนเขียนรายละเอียดไว้ให้ได้เป็นข้อมูลมากมายแล้ว ดังนั้นเราจะขอเขียนเฉพาะสิ่งที่เราได้ลองกันเองแทนเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้ทุกคนที่แวะเวียนหรือเผลอๆ เข้ามาอ่านบันทึกนี้ของพวกเราละกันนะ เผื่อใครที่มีจังหวะโบ๊ะบ๊ะเหมือนกันจะอยากลองแบบเดียวกันบ้าง หรือใครจะเข้าไปติดตามและดูคลิปรีวิวคามิโคจิของพวกเราที่ลิ้งค์นี้ก็ได้น้า Review Kamikochi ดินแดนธรรมชาติกับบรรยากาศสุดชิวที่คนนิยมไปกันตอนนี้🏕️🚙


            เริ่มค่ะ!!!! จุดตั้งต้นของทริปนี้คือพวกเราอยากไปตั้งเต็นท์แค้มปิ้งตามสถานที่ต่างๆ ที่พวกเราชื่นชอบ และอยากจะไปเก็บบรรยากาศเป็นความทรงจำครั้งนึงของพวกเรา ดังนั้นเป้าหมายในการไปครั้งนี้แน่นอนว่าสถานที่ตั้งแค้มป์ที่เหมาะ 1 ในนั้นก็คือคามิโคจิ จึงไปแล้วต้องได้นอนค้างในอุทยานเต้าอั้น
เมื่อเป้าหมายหรือธงในใจมีแล้ว กระบวนการคัดสรรสถานที่ซุกหัวนอนจึงเริ่มขึ้น พวกเราเริ่มจากเลือกที่พักที่สมฐานะของพวกเราก่อนอย่างแรกจากเว็บไซท์นี้นะทุกคน https://www.kamikochi.org/plan/accommodation ลองเข้าไปเลือกดูได้ว่ารักใคร่ชอบพอถูกจริตกะที่พักแบบไหน ที่พักค้างคืนแต่ละแบบจะมีความแตกต่างกันที่ทำเลที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก ความเหมาะสมของวัยของคนที่ไปพัก สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคนเนอะความแตกต่างของที่พักแต่ละแบบประกอบการตัดสินใจแบบสรุปย่อๆ เพื่อให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นในการแย่งชิงกับคนอื่นเหมือนกดชิงโควต้าระดับประเทศ คือ 1) เรียวกัง จะอยู่ใกล้สะพานกัปปะบาชิ ที่เป็นมุมมหาชน มีร้านอาหาร ร้านขายของฝาก เดินทางสะดวกถ้าลงป้ายรถบัสคามิโคจิแล้ว เดินไม่ไกล มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีออนเซนให้แช่ผ่อนคลายและมีชุดอาหารแบบตำหรับเรียวกังเช้าเย็นให้เลือก แต่ความสะดวกสบายก็มักมาพร้อมราคาต่อหัวที่ค่อนข้างสูงสวนทางกะเงินในกระเป๋านิดนึง 2) ที่พักอุทยานที่ไม่น่ากลัวแบบที่คิด ราคาต่อหัวปัจจุบันตอนที่เราไป คือ ¥10,000 ต่อหัว เดินประมาณนึงแต่ไม่ไกลมากห่างประมาณ 1 กิโลจากสะพานกัปปะบาชิสามารถเดินเลียบริมแม่น้ำไปได้สวยๆ 3) เคบิ้นและลานกางเตนท์ นี่ล่ะ!!!! ใช่ค่ะพวกเราเลือกที่พักชื่อ Kanoshidaira ตอนแรกพวกเรากะว่าจะกางเต็นท์นอนเอาบรรยากาศ แต่พอผู้ร่วม ทริปเยอะขึ้นและมีเด็กด้วยจึงเปลี่ยนเป็นเคบิ้น 2 ชั้นให้พอกับจำนวนคนที่ไปแทน แน่นอนว่าสมฐานะชาวเราเป็นที่สุด พวกเราเลือกพักแบบเคบิ้น 2 ชั้นพักได้เต็มที่ 8 คนต่อหลัง ราคาต่อหัว ¥6,500 เคบิ้นมีหลายแบบนะทุกคนแล้วแต่จำนวนคนที่ไปเลย ส่วนลานกางเต็นท์จะมีให้เลือก 2 แบบ คือแบบจิ้มทำเลที่ใช่ทำเลที่ชอบสำหรับคนที่เอาเต็นท์มาเอง จ่ายค่าล็อคที่จะกางแล้วลุยเร หรือถ้าใครที่ไม่ได้แบกเต็นท์มาเองเค้าก็มีลานกางเต็นท์ฟิก (เรียกเอง) ที่เค้าจะกางไว้ให้แล้วเราแค่จิ้มเลือกทำเลที่ชอบที่ยังว่างอยู่แล้วขนสัมภาระมุดเข้าได้เร แต่แบบหลังนี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมไปแล้วเท่านั้นนะ ก่อนหน้านั้นจะมีแต่เฉพาะลานสำหรับคนเอาเต็นท์ไปเองนะทุกคน 
           

กิจกรรมที่นี่ที่คนส่วนใหญ่นิยมทำกันคือ การเดิน trekking หลายเส้นทางให้เลือกแล้วแต่แรงขา Route แรก เดินแบบเรื่อยเปื่อยตามประสาแบบใกล้สุดก็คือจะเริ่มเดินตั้งแต่จุดลงรถบัสของอุทยานป้ายไทโชอิเคะ (Taishoike) ที่อยู่ใกล้กับบึงไทโช (Taisho Pond) ตอนที่เรานั่งรถบัสมาจะเจอป้ายนี้ก่อนถึงป้ายสุดสายคามิโคจินะทุกคน ถ้ามีเวลาเหลือก่อนเวลาเช็คอินแล้วสัมภาระไม่เยอะก็ลงเดินก่อนซักหนึ่ง เดินเลียบริมแม่น้ำขึ้นไปจนถึงสะพานกัปปะบาชิ ระยะทางประมาณ 4 กิโลได้ Route ถัดไปคือ เดินจากสะพานกัปปะบาชิไปที่บึงเมียวจิน (Myojin Pond) ระยะทางประมาณ 3 กิโลได้ คนที่เดินจะใช้เวลากันประมาณ 20 นาทีได้นะ (บางคนบอกครึ่งชั่วโมง) Route ที่สามคือ เดินจากบึงเมียวจิน (Myojin Pond) เดินเลียบแม่น้ำอะซุสะ (Azusa River) ไปจนถึงโทคุซาวะ (Tokusawa) ระยะทางจะพอๆ กับที่เดินไปบึงเมียวจิน ว่ากันว่าเป็นเส้นทางที่สุดดดของคามิโคจิละนะ ถ้าเดินขึ้นไปอีกซักประมาณ 4 กิโลจะถึงโยโคโอะ ซันโซ (Yokoo Sanso) ที่เป็นจุดที่พวกชอบปีนเขาเค้านิยมมากันเวลาขึ้นไปยอดเขาโจกะทาเคะ (Mount Chogatake) ชมวิวพาโนรามาของเจแปนแอลป์แบบเต็มๆ ตาไปเร


หลังจากสรุปเรื่องที่พักค้างคืน กิจกรรมที่น่าทำเมื่อไปที่นั่นแล้ว ก็มาถึงการเดินทางที่พวกเราเลือก นั่นก็คือ เช่ารถขับไปจอดที่สถานีบัสของอุทยาน sawando station ค่าจอดรถจะเสียวันละ ¥700 พวกเราไปค้าง 1 คืนเสียค่าที่จอดไป ¥1,400 หน้าตาสถานีก็จะประมาณนี้นะ มีห้องน้ำให้เข้า มีร้านค้าขายพวกของกินของฝาก ของที่ระลึกเอยใดอยู่ ส่วนตั๋วรถบัสอุทยานเราซื้อแบบไป-กลับผู้ใหญ่คนละ ¥2,800 เด็ก ¥1,400 แต่เราไปกันหลายคนเลยสามารถซื้อตั๋วแบบกลุ่มได้ผู้ใหญ่ 8 เด็ก 1 ราคารวม ¥21,400 เท่านั้นจร้า ดูจากตารางค่าตั๋วข้างล่างก็คือผู้ใหญ่ 7 คนขึ้นไปจะเหลือคนละ ¥2,500 แต่เด็กคือตามจำนวนเลยนะ หลังจากซื้อตั๋วแล้วให้ไปรอที่ชานชลา 1 เค้าจะเรียกเป็นกลุ่มพร้อมตั๋วให้ขึ้นตามคิวเลือกที่นั่งได้เลยอิสระ ใช้เวลานั่งรถบัสประมาณครึ่งชั่วโมงถึงป้ายคามิโคจิ 
 

ตั๋วที่ซื้อไว้ต้องเก็บไว้ใช้ตอนขากลับด้วยนะ ถ้าทำหายต้องซื้อใหม่วิธีซื้อก็เหมือนกันคือกดจากตู้ขายหรือซื้อจากพนักงานขายตั๋วก็ได้เหมือนกัน ตั๋วไม่มีระบุรอบรถชัดเจน ใช้ระบบเต็มแล้วออกไปไม่ได้ให้รอบคันถัดไปแทน
 
 
และท้ายสุดคือเรื่องอาหาร พวกเราทำอาหารกินกันเอง ถ้าใครไม่อยากแบกอาหารเครื่องปรุงไป ก็ไปซื้อร้านค้าตรงข้ามที่เช็คอินได้เลยมีทั้งเครื่องปรุง น้ำมันพืช อาหารสด เครื่องดื่มไว้พร้อมราคาไม่แรงมากเท่าอาหารบนเกาะบ้านเรา และที่ต้องระวังคืออาหารและขยะทั้งหลายห้ามวางไว้หน้าเต็นท์หรือที่พักเด็ดขาด เก็บไว้ในบ้านก่อน ใครนอนเต๊นท์เค้าจะมีโรงเรือนสำหรับให้เอาอาหารไปไว้นะอาหารที่เหลือจะวางหน้าเต็นท์ไม่ได้ ส่วนขยะตามธรรมเนียมญี่ปุ่นคือต้องแยกเป็น 3 ประเภทคือขยะที่เผาได้ ขยะที่เป็นพวกกระป๋อง และขยะที่เป็นขวดพลาสติก ตอนเช็คเอ้าท์ค่อยแยกขยะใส่ถุงไปทิ้งที่จุดคืนของตอนเช็คเอ้าท์พร้อมกันทีเดียว ทั้งผ้าปู  ถังน้ำมัน ไฟฉาย และขยะนะทุกคน......เท่านี้เร ใครพร้อมเดินทางก็ลุยยยยย คามิโคจิสวยจริงงงงงง ที่สำคัญเลยคือไม่ได้ลำบากอย่างที่คิดแบบเข้าค่ายบ้านเรานะอยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสซักครั้งแล้วจะประทับใจไปอีกนานเร